บทที่2 รักษามารดา
“ชีวิตที่ผ่านมา พวกท่านจะตอบแทนข้าอย่างไรดี” ได้ยินคำถามของหญิงสาวทุกคนก็นิ่งเงียบลง พวกเขารู้สึกผิดจริงๆ แต่ไม่คิดว่าน้องสาวจะทวงหนี้เช่นนี้
“อาหรานพ่อและพี่ชายผิดต่อเจ้า ชีวิตนี้พวกเราจะดูแลเจ้าให้ดี งานหนักต่อไปนี้มอบให้พี่ชายเจ้าทั้งหมด เจ้ารับผิดชอบเพียงดูแลบ้านและมารดาเจ้าก็เพียงพอ ปีหน้าอาหรงแต่งงาน พี่สะใภ้จะดูแลงานบ้านแทน” ฉีหยงพยายามปลอบประโลมบุตรสาวในประโยคเดียว
แต่ฉีหรานกลับตาแดงก่ำและมองเขา
“ท่านพ่อ ท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่”
เมื่อเห็นเด็กหญิงร้องไห้ คนอื่นๆก็ต้องการเข้าไปปลอบนาง ฉีหยงรู้สึกผิดมากขึ้น
“ข้ารักลูกๆทุกคนเท่ากัน” ฉีหยงกล่าว
“เช่นนั้นท่านจะเพิกเฉยต่อข้าเหมือนในชีวิตที่ผ่านมาอีกหรือไม่ ในเมื่อท่านก็ยังคงรักพวกข้าเท่าๆกันเหมือนเดิม”
ประเด็นนี้ไม่คิดเลยว่าจะออกมาจากปากเล็กๆ แต่นี่เป็นคำพูดที่ระบบเคยกล่าวกับนาง ฉีหรานไม่ใช่คนโง่ นางประเมินคำพูดของระบบและพบว่า หากพ่อและพี่ชายรักนางเท่าเดิมกับชีวิตก่อนหน้า ชะตาของนางก็คงขาดเหมือนเดิม
ความหวาดกลัวของเด็กสาวอยู่ในสายตาทุกคน ฉีปิง ฉีปั๋วที่อายุน้อยกว่าเริ่มร้องไห้ตาม ทำให้ทั้งบ้านเริ่มวุ่นวายขึ้นมา
“อย่าร้องๆ พ่อและพี่ชายจะรักอาหรานมากกว่าเดิมพันเท่า ไม่มีใครสำคัญเท่าอาหราน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่” ฉีมู่พี่สี่ผู้ใจเย็นรีบปลอบน้องสาวและขยิบตาให้พ่อและพี่น้องช่วยกันพูด พวกเขาจึงรีบยืนยันคำพูดของคนที่สี่ทันที
“อาหราน ต่อไปเจ้าเป็นเจ้าหญิงของบ้าน พวกเราจะเลี้ยงจนเจ้านิสัยเสียเหมือนคุณหนูในเมือง ขาวและอ้วน” ฉีเล่อกล่าวปลอบน้องสาวด้วย
“ข้าไม่อยากอ้วน” ฉีหรานกลั้นสะอื้นเถียงพี่ชาย
“ไม่อ้วน ไม่อ้วน ข้าแค่เปรียบว่าจะเลี้ยงเจ้าอย่างดี”
“อาหราน พ่อไม่ขอให้เจ้าเชื่อพวกเราในทันที มีคำกล่าวว่าคำพูดเชื่อไม่ได้เท่าการกระทำ ให้เวลาพ่อและพี่ชาย พวกเราจะปฏิบัติให้เจ้าเห็น”
“ข้าจะรอดู!”
ในที่สุดพายุลมฝนบ้านฉีก็ผ่านพ้นไป ฉีหรานวิ่งเข้าครัวเพื่อเริ่มทำอาหารเย็น ธัญพืชหยาบถูกนึ่งและนำไปย่าง เพราะมีข้าวมากขึ้นจึงไม่ต้องกินข้าวต้มจืดๆอีกต่อไป
มื้อเย็นจบลงฉีหรานไม่อยากนอนกับพ่อและแม่อีกต่อไป นางจึงปูฟูกนอนบนพื้นหน้าเตียงหนึ่งวัน เห็นเช่นนั้นฉีหยงก็ตั้งใจให้ลูกชายทำเตียงให้น้องสาวของพวกเขาในวันพรุ่งนี้
เมื่อแน่ใจว่าลูกสาวหลับไปแล้ว ฉีหนิงจึงกระซิบสามี
“เมื่อเย็นเป็นอะไรกัน ใครทะเลาะกันหรือ”
“อาหนิงอย่าคิดมาก ลูกๆปรับความเข้าใจกันเท่านั้น ต่อไปพวกเขาจะสนิทสนมกันมากขึ้น”
ฉีหนิงถอนหายใจโล่งอก นางรู้ว่าการมีพี่น้องมากมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมีแรงงานมากและช่วยปกป้องซึ่งกันและกันได้ดีกว่าหากเกิดเรื่อง
แต่ข้อเสียคือทำให้ปรองดองกันได้ยาก มากคนมากความ นางเลี้ยงลูกห้าคนมาเพียงลำพังย่อมรู้ดีว่าดูแลลูกยากแค่ไหน กว่าพวกเขาจะรักกันอย่างดีในทุกวันนี้
ลูกคนที่สองฉีเล่อนั้น มักจะตีลูกคนอื่นๆเสมอ เขาโมโหร้ายมาก ลูกคนที่สามฉีเมิ่งมีจิตใจส่วนหนึ่งเป็นสีดำเขามักมองโลกในแง่ร้ายเสมอ ลูกคนที่สี่ฉีมู่ก็หัวอ่อนและเชื่อฟังเกินไปเขาผอมกว่าพี่น้องเพราะมักจะถูกขู่เอาข้าวไปหรือมอบให้ด้วยความเต็มใจ ลูกคนที่ห้าฉีปิงและลูกชายคนโตฉีหรงนั้นดีที่สุด พวกเขาดูเป็นผู้ใหญ่และไม่ค่อยสร้างปัญหา
อย่างไรก็ตามหลังจากให้กำเนิดลูกสาว พี่ชายทั้งหลายก็อิจฉาน้องสาว เพราะเป็นน้องสาวคนเล็กฉีหนิงจึงให้ความสำคัญมาก นางยังไม่เหมือนบ้านอื่นๆและชอบลูกสาวมากกว่าลูกชาย ดังนั้นจึงทนุถนอมลูกสาวมาก
ดูได้จากการที่นางโยนลูกคนที่หกให้คนที่ห้าดูแลตั้งแต่เริ่มป่วย แต่ยังให้ลูกสาวดูแลรับใช้อยู่ข้างกาย
“ผ่านหนาวมาอย่างยากลำบาก ปีนี้ดีขึ้นหรือไม่ ราคาข้าวเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ดีเท่าไหร่ กับดักบนเขาถูกชาวบ้านที่ขึ้นไปหาของป่าทำลายลงหลายส่วน พวกเขาบอกว่ามันเกะกะขวางทางจึงดักสัตว์ไม่ค่อยได้ ที่ดักได้บ้างก็มีโดนเอาไป ข้าคิดไว้แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ ให้ลูกชายคนโตกับคนที่สองผลัดกันขึ้นไปนอนเพิงบนเขา”
“อันตรายไปหรือไม่ ตอนดึกมีทั้งยุงและสัตว์ร้าย”
“ไม่เป็นไร เพียงอยู่บริเวณเชิงเขาหรือตามท้องถนน ลูกคนที่สี่ไม่ใช่ไปฝึกงานกับช่างไม้มาหรือ ในช่วงนั้นได้ช่วยช่างไม้สร้างบ้านไม้ไผ่สองสามหลัง สร้างบ้านไม้ไผ่สำหรับให้นอนเฝ้ากับดักก็น่าจะดี”
“เป็นไปได้ก็อย่าไปภูเขาตะวันตกเลย ภูเขาใหญ่สูงกว่า มีสัตว์ร้ายมากกว่า”
“ตกลง อาหนิงไม่ต้องกังวล ลูกชายเติบโตต้องมีครอบครัว ข้าเริ่มมองหาลูกสะใภ้ให้ลูกชายคนโตในปีหน้า บ้านจะมีแรงงานเพิ่มอีกคนหนึ่ง เห็ดขายได้ในอำเภอมากกว่าผักป่า มีแรงงานหนึ่งคนเก็บเห็ดได้มากกว่า”
“เอาเงินที่ใด” ฉีหนิงหนักใจเล็กน้อย นางไม่อยากให้สุขภาพของตัวเองกลายป็นปัญหาของลูกชาย ปีนี้ฉีหรงอายุสิบเจ็ดปีแล้ว สามารถแต่งงานได้แล้ว แต่ต้องเลื่อนไปหนึ่งปีเพราะไม่มีเงิน
หากยังเป็นเช่นนี้ต้องเลื่อนไปอีกกี่ปีเพื่อมีเงินเพียงพอ แค่คิดแม่ก็หนักใจแล้ว
“ไม่ต้องคิดเยอะ ตอนนี้ไม่ใช่ลูกสาวพบเพื่อนที่ดีและขายงานไม้ไผ่สานของเราหรอกหรือ”
“ระวังจะมีคนมาหลอก อย่าให้นางไปพบผู้คนเพียงลำพัง” แม้เป็นชาวบ้านธรรมดาแต่นางฉีหนิงรู้ดีว่างานไม้ไผ่สานไม่ได้มีค่าขนาดนั้น ผู้คนจะลำบากมาแลกเปลี่ยนกับครอบครัวของเขาโดยเฉพาะได้ยังไง
ฉีหยงไม่ได้อธิบาย เพียงเกลี้ยกล่อมให้ภรรยานอนหลับพักผ่อนก่อนจะก้มลงมองลูกสาวที่ปลายเตียง เด็กสาวไม่ได้ขยับตัวแต่นางยังไม่หลับจริงๆ
.
วันต่อมา ฉีหรานตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของระบบเหมือนทุกวัน
[ตื่นๆได้แล้วเจ้านาย วันนี้ต้องขยันและเก็บแต้มให้ได้มากที่สุด]
‘ระบบขายหญ้าล้ำค่าเมื่อวานได้รึยัง’
[แลกเปลี่ยนแล้ว ระดับเพิ่มขึ้นเป็นสองในตอนนี้ ปลดล็อกร้านขายยาแถวแรก]
ถึงจะบอกว่าแถวแรกแต่มันก็เหมือนกับร้านขายอาหารแถวแรกที่มีเพียงข้าวขาวให้เลือกซื้อ แต่ความจริงหากต้องการอะไรเป็นพิเศษยังสามารถถามจากระบบได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของระดับระบบเท่านั้นจึงจะซื้อได้ อย่างธัญพืชหยาบ
‘ตกลง ไว้ค่อยดูแล้วกัน ท่านแม่ต้องกินยาให้ตรงเวลา’
ฉีหรานลุกจากเตียงเป็นคนแรกอย่างคุ้นเคย เพราะเมื่อคืนนอนพื้นจึงปวดตัวเล็กน้อย ผ้าห่มก็เป็นของเก่าของพี่ชายและไม่อบอุ่นเลย ร่างกายยังคงรู้สึกไม่ดีเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม
อย่างไรก็ตามเมื่อมาอยู่หน้ากองไฟก็รู้สึกดีขึ้น หลังจากต้มน้ำไว้บนเตาใหญ่ ก็เริ่มทำอาหารโดยใช้เตาเล็ก วันนี้เป็นผัดผักป่า ผัดเห็ดป่า และแผ่นธัญพืชที่ทำไว้เมื่อคืนถูกนำมาอุ่นเท่านั้น
ส่วนอาหารของมารดานั้นยังคงสำคัญ เป็นน้ำแกงเห็ดป่าใส่ผักป่าที่มีรสหวานส่วนหนึ่งกับข้าวต้มที่มีเกลือมากหน่อย เมื่อเคาะไหเกลือก็พบว่าใกล้หมดแล้ว ฉีหรานนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันเข้าเมืองของพี่ชาย
หญิงสาวไม่หยุดพักเหมือนเมื่อวาน นางเดินไปหยิบเหลียงมาใส่เห็ดที่ตากลมไว้บนตะแกรงเมื่อวานนี้ เห็ดป่าเป็นของชอบของผู้คนในเมือง แต่ชาวบ้านไม่ค่อยนิยมนำไปขาย ว่ากันว่ามันถูกกว่าข้าว พวกเขาให้เวลากับการทำงานในทุ่งมากกว่า
เห็ดป่ามีค่าเพียงสิบอีแปะต่อจิน ขณะที่ข้าวมีค่าหกถึงสิบอีแปะต่อจินแล้วแต่ฤดูกาล และผลผลิตโดยรวมก็มากกว่าเยอะ ไม่แปลกที่ชาวบ้านจะไม่สนใจเงินเล็กน้อยในสายตา เลือกจะกินเองมากกว่าหากเก็บได้
มีเพียงบ้านคนหาของป่าขายเท่านั้นที่ใส่ใจอย่างแท้จริง เมื่อหลายปีก่อนเพราะมีข้อพิพาทกับคนในหมู่บ้านเรื่องที่พ่อและพี่ชายหาของป่าไปขายในเมืองมากเกินไป ทำให้ชาวบ้านเก็บของป่าไม่ทันกิน
ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านจึงกล่าวว่าภูเขาหลังหมู่บ้านซึ่งไม่สูงมากและเดินง่ายกว่า จะถูกสงวนไว้สำหรับให้ชาวบ้านหากินเท่านั้นไม่อนุญาตให้นำไปขายในเมือง ส่วนที่ต้องการหาของป่าขายก็ใช้ภูเขาอื่นรอบๆแทนที่
บ้านฉีไม่สนใจ แต่เดิมพวกเขาไม่ได้ไปหาของป่าในป่าหลังหมู่บ้านอยู่แล้ว แต่ที่โดนร้องเรียนก็เพราะความริษยาของบางคนเท่านั้น เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรคนที่มีอาชีพเป็นพรานป่า หรือหาของป่าขายอีกต่อไป
ฉีหรานยังจำได้ว่าเมื่อย้ายมาแรกๆ น้องชายคนที่หกยังไม่เกิด แม่และพี่ชายมักจะไปที่ภูเขาตะวันตกเพื่อป้องกันข้อพิพาทกับคนในหมู่บ้านอยู่แล้ว บางครั้งก็เจองู มีครั้งหนึ่งเจอหมาป่าหลงฝูง ทำให้พี่ใหญ่บาดเจ็บเกือบตาย
หญิงสาวสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อนึกถึง แต่ก็จำได้เช่นกันว่าในป่านั้นมีของล้ำค่ามาก อัตราความล้ำค่าก็มากกว่าจากป่าอื่นๆ
ฉีหรานเลิกคิดเรื่องนั้นชั่วคราว ขณะส่งอาหารให้มารดา ตาก็มองระบบร้านค้าตรงหน้า นางรู้ว่าไม่มีคนอื่นเห็นนอกจากตัวเอง จึงตั้งใจอ่านข้อมูล ‘ยา’ ในแถวแรก
ในแถวแรกมียาเปิดเพียงสองชนิด คือยาแก้หวัด กับยาแก้ปวด ซ้ำยังเป็นเม็ดไม่ใช่แบบน้ำ ยาแบบเม็ดในเมืองมีราคาสูงกว่า แต่แต้มที่ใช้ก็เยอะมากไม่เหมาะจะนำออกมาขายเลย
ยาหนึ่งเม็ดใช้หนึ่งร้อยแต้ม ไม่ต้องพูดถึงฉีหราน แม้นางมีแต้มมากกว่านี้ก็ยังต้องคิดดีดีก่อนจะซื้อยาเหล่านี้ แต่ดูเหมือนอาการของมารดาจะไม่สามารถใช้ยาเหล่านี้ได้
หลังจากกินอาหารหมดชามฉีหรานก็มองหน้ามารดาของตัวเองและพูดกับระบบ ‘สแกนร่างกายท่านแม่ที’ ฉีหรานไม่รู้เรื่องการแพทย์ แต่ยังอยากรู้ว่าอาการป่วยของมารดานั้นเกิดจากอะไร อย่างน้อยระบบยังสามารถช่วยจับคู่ยาในระบบแลกเปลี่ยนได้
[เริ่มการสแกน] เสียงระบบดังขึ้นครู่หนึ่ง
“อาหรานมีอะไรรึเปล่า” ฉีหนิงเห็นลูกสาวมองตัวเองก็อดถามไม่ได้
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเพียงคิดว่าท่านแม่ป่วยมาหลายปีแล้ว แต่ยังคงงดงาม”
“ปากหวานจริงๆ แค่กๆ” ฉีหนิงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ท่านแม่ระวัง อย่าตื่นเต้น เอาล่ะข้าเก็บสำรับก่อน ท่านพ่อกินข้าว” ฉีหรานเก็บสำรับพร้อมเรียกบิดาออกไปกินข้าว
ในเวลานั้นเสียงของระบบก็ดังขึ้น นางจึงหันไปเรียกพี่ชายมาตักอาหารไปทาน และแยกตัวไปนั่งเงียบๆอยู่หลังบ้าน
[สแกนเสร็จสิ้น พบว่าร่างกายนี้มีประสิทธิภาพเพียง60%เท่านั้น และค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ เมื่อต่ำกว่า50%มีโอกาสมากที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิต]
ฉีหรานได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจมาก นางเรียนรู้เรื่องเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ชาติที่แล้ว และรู้ว่านั่นคือ6ส่วน และห้าส่วน แต่เหลือเพียงหนึ่งส่วนก่อนจะเกิดอันตรายกับมารดา นั่นเป็นปัญหาใหญ่มาก
‘มีวิธีมั้ย’ หญิงสาวสอบถามอย่างร้อนใจ เริ่มร้องไห้ออกมาเบาๆอย่างกลั้นไม่อยู่
[หักอีก100คะแนนเพื่อวิเคราะห์ระดับต่ำ]
‘ใช้แบบที่ดีที่สุดไม่ได้หรือ’
[ระดับไม่เพียงพอ]
ฉีหรานที่ร้อนใจยอมแพ้ นางเข้าใจเรื่องที่ระดับมีผลต่อการกระทำของระบบ ดังนั้นจึงไม่เซ้าซี้และตกลง
‘รีบวิเคราะห์’
ตอนนี้คะแนนที่หามาเมื่อวาน ขายหญ้าเลือดสิบต้นได้ร้อยแต้ม สัตว์เล็กๆขายออกสองตัวแต่ถูกเปลี่ยนเป็นข้าวในครอบครัวแล้ว ยังมีหญ้าพิเศษเมื่อวานนี้ที่แลกได้พันสองร้อยแต้ม
ตอนนี้ใช้แต้มสแกนพื้นที่สองรอบยี่สิบ สแกนร่างกายร้อยแต้ม วิเคราะห์อีกร้อยแต้ม ทำให้เหลือ1080คะแนน ไม่รู้ว่าจะเพียงพอซื้อยารักษาท่านแม่หรือไม่
[ใช้เวลาวิเคราะห์สิบชั่วโมง]
ได้ยินอย่างนั้นฉีหรานก็อ้าปากเล็กน้อย ปาดน้ำตาอย่างรวกๆและกลับเข้าครัว เลิกสนใจระบบชั่วคราว คว้าตะกร้าเพื่อเตรียมขึ้นเขากับพี่ชายในวันนี้
วันนี้ฉีหรงและฉีเมิ่งจะเข้าเมืองเพื่อนำงานไผ่สานและของป่าไปขายในเมือง เพราะของป่ามีไม่มากจึงไปเพียงสองคน
ฉีหยงต้องการสร้างเพิงไม้สำหรับอาศัยที่ตีนเขาตะวันตก ดังนั้นจึงพาลูกชายที่เหลือทั้งหมดไปที่ภูเขา โดยมีฉีหรานติดตามมา
หมู่บ้านมีถนนสามสาย แต่หากต้องการเข้าหรือออกจากหมู่บ้านยังต้องใช้ถนนเส้นหลักและมันพาดผ่านบ้านทุกหลัง แต่หากต้องการไปภูเขาตะวันตก หรือภูเขาหลังหมู่บ้านก็สามารถใช้เส้นทางอื่นๆได้
เพราะบ้านฉีอยู่ทางทิศเหนืออย่างโดดเดี่ยว พวกเขาจึงมีพื้นที่หลังบ้านเป็นภูเขาทิศเหนือของหมู่บ้าน ขณะที่ภูเขาหลังหมู่บ้านนั้นอยู่ทิศตะวันออก
แน่นอนพรานป่ามักล่าสัตว์ในเขาตะวันตกมากกว่า ฉีหยงก็เช่นกัน เขาอื่นๆแม้มีความสมบูรณ์ แต่มีสัตว์ไม่มากเท่าเขาสูง
เมื่อมาถึงตีนเขาตะวันตก พ่อและลูกชายก็เริ่มมองหาพื้นที่เหมาะสม ทางเลือกของฉีหรงคือการเปิดพื้นที่รกร้างตีนภูเขาเพื่อสร้างลานบ้านเล็กๆ
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดสร้างบ้านเพิ่ม เพราะลำพังค่ายาของภรรยาก็หาแทบไม่ทันแล้ว ยังต้องเลี้ยงปากท้องทั้งครอบครัว ปัญหาด้านทรัพยากรจึงตึงเครียดมาก ลูกๆไม่สามารถหยุดทำงานได้เลย อย่าว่าแต่ใช้เวลาในการเปิดพื้นที่รกร้าง
แต่ตอนนี้เมื่อหมดปัญหาเรื่องปากท้องเพราะมีการแลกเปลี่ยนข้าวของฉีหรานมาเสริม ฉีหยงจึงตัดสินใจว่าจะต้องขยับขยายบ้านฉีได้เสียที
ฉีหรานมองพี่ชายและบิดาพยายามเปิดพื้นที่รกร้างตีนเขา ก่อนเสียงเตือนของระบบจะดังขึ้น
[เจ้านายต้องการให้สแกนหาพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์หรือไม่]
‘ทำได้ด้วยหรือ’ ฉีหรานไม่เคยใช้งานระบบวิธีนี้มาก่อน อาจเพราะชีวิตก่อนนางโง่เขลาเกินไป
[ทำได้แน่นอน ระบบต้องการเพิ่มระดับให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้]
‘ชีวิตก่อนเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้’ ชีวิตก่อนระบบไม่ได้กระตือรือร้นขนาดนี้
[นั่นเพราะระบบสูญเสียอย่างมากเพื่อพาเจ้านายกลับมา และต้องการการเรียกคืน วิธีการเดียวคือเอาชนะระบบอื่นๆในการแข่งขัน] ไม่รู้ทำไมฉีหรานรู้สึกว่าระบบดูเหมือนจะหดหู่เล็กน้อย
‘การแข่งขันอะไร’
[นั่นเป็นการแข่งขันระหว่างระบบ การแข่งขันสะสมแต้ม]
‘ตกลง ข้าจะตอบแทนเจ้า’ ฉีหรานมีความตั้งใจมากขึ้นเช่นกัน นางไม่ใช่หมาป่าตาขาว ระบบช่วยให้นางย้อนกลับมาแก้ไขอดีต เช่นนั้นก็ควรได้รับการตอบแทน
[เจ้านายต้องการสแกนหรือไม่]
‘ลองดู สแกนพื้นที่ใช้เท่าไหร่’
[ใช้เท่ากันกับสแกนทั่วไปคือสิบแต้ม]
‘งั้นทำเลย’ ฉีหรานเดินเก็บเห็ดป่าที่ขึ้นด้านข้าง ขณะที่พ่อและพี่ชายยังคงคุยกันว่าควรเปิดที่ดินตรงไหนดี
ที่ดินบนภูเขาไม่เหมือนทุ่ง ชาวบ้านสามารถเปิดที่ดินเองได้แต่พวกมันไม่สามารถปลูกข้าวได้ และต้องเสียภาษีไม่ต่างกันนัก ดังนั้นคนจึงไม่นิยมเปิดพื้นที่รกร้างเว้นแต่มีแรงงานจำนวนมากในบ้าน และมีแรงงานเหลือใช้
[เดินไปอีกร้อยเมตรทางด้านขวา ที่ดินแถบนั้นดีกว่าระแวกใกล้เคียง อุดมสมบูรณ์และมีหินใต้ดินน้อย]
ฉีหรานฟังอย่างตื่นเต้น ก่อนจะลองเดินไปดูด้วยตัวเอง พื้นที่แถบนี้ยังห่างไกลจากหมู่บ้านมากขึ้น มีพื้นที่เนินเล็กน้อยถัดออกไปอีกสองร้องเมตร มองเห็นถนนสายเล็กๆที่ตัดตรงไปยังถนนหน้าหมู่บ้านได้
หญิงสาวได้ยินเสียงน้ำไหลและคาดว่านี่เป็นต้นลำธารที่ไหลไปยังหลังบ้านของพวกนาง
“ท่านพ่อ ลองมาดูทางนี้เถอะ” ฉีหรานมองพื้นที่อย่างพึงพอใจ พื้นที่ภูเขาไม่สามารถปลูกข้าวได้เพราะมีความลาดเอียง แต่ก็ดูดีหากปลูกอย่างอื่น
“ไหน” ฉีหยงมาตามเสียงเรียกของลูกสาว เขาเกือบไม่เห็นด้วยหากจำไม่ได้ว่าเมื่อวานเพิ่งตกลงให้นางเป็นใหญ่ในบ้าน ดังนั้นควรฟังนาง
“ตรงนี้มีดินนุ่มกว่า ไม่มีต้นไม้เกินข้อกำหนด และหินน้อย” ฉีหรานชี้ไปรอบๆ พื้นที่กว้างมากจนทำให้ทุกคนตื่นตา ส่วนใหญ่เป็นหญ้าที่ขึ้นสูงเหนือหัว มีต้นไม้ที่ถูกหญ้าปกคลุมไม่กี่ต้น แต่มันรกมาก รู้เลยว่าหากเปิดที่ดินผืนนี้ต้องใช้เวลานาน
“อาหราน นี่มันลึกเกินไป ถ้าเราออกไปตีนเขาหน่อยจะดีกว่ามั้ย”
“ยังไงก็ตั้งใจปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่แล้ว ระหว่างดูกับดักสัตว์ ก็ดูพืชผลด้วยเลย ไม่ดีหรือ” ฉีหรานเห็นพ่อและพี่ชายลังเลก็อธิบายต่อไป
“ต่อไปในอนาคตยังต้องการขายข้าวหรือไม่ เมื่อนั้นพื้นที่ราบเล็กๆตรงนั้นจะถูกใช้ปลูกข้าว ทุ่งด้านล่างนั่นก็ไม่มีคนครอบครอง มันเชื่อมต่อกันพอดีไม่ใช่หรือ ปลูกบ้านไว้ตรงนี้มีแต่ได้กับได้”
“ตกลง เราฟังน้องสาวของพวกเจ้า” ฉีหยงเองก็มีความฉลาดสูง เขามองลูกสาวที่มองการณ์ไกลตั้งแต่ยังเด็กแล้วรู้สึกผิดเล็กน้อย ดูเหมือนชาติก่อนคนทั้งบ้านจะทำสมองหายไปจริงๆ เชื่อข้ออ้างไร้สาระของสองแม่ลูกเซี่ยได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นเราจะถางตรงไหนก่อนดีท่านพ่อ” ฉีเล่อไปไม่เป็นเมื่อมองความรกของพื้นที่
“อาปิง อาปั๋ว พวกเจ้าพาน้องสาวและพี่สาวเข้าไปหาของป่าใกล้ๆ อย่าเข้าไปลึก อาเล่อ อามู่ตามพ่อมา” ฉีหยงแยกกลุ่มทันที เขารู้ว่ารายได้หลักของครอบครัวมาจากเห็ดป่า ผักป่า ยังต้องใช้เงินในครอบครัวอีกมาก ดังนั้นจะลดจำนวนคนเข้าป่าไม่ได้
ดูเหมือนช่วงนี้จะยังขายข้าวไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฉีหรานไม่ได้อธิบายเรื่องการแลกเปลี่ยนแต่นางไม่ได้พูดถึงการขายข้าว พวกเขาก็ไม่สามารถพูดได้ และไม่สามารถคาดหวังอนาคตที่ยังมาไม่ถึงได้
แต่เมื่อมีข้าวสำหรับในบ้านก็ไม่ต้องพยายามหาเงินเพิ่มสำหรับจ่ายในส่วนนั้น ความกดดันน้อยลง ฉีหยงตัดสินใจเปิดพื้นที่รกร้างด้วยตัวเอง แม้ไม่ประสบความสำเร็จแต่ภาษียังใช้ข้าวสารของฉีหรานจ่ายได้ใช่มั้ย อาจจะต้องลำบากลดอาหารลงบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ขยับขยายทำอะไรเลย
มีลูกชายหกคนในบ้าน ลูกสาวอีกหนึ่ง ปีหน้าลูกชายคนหนึ่งต้องแต่งงาน หากไม่มีที่ดินเพาะปลูกจะมองหาลูกสะใภ้ดีดีได้ที่ไหน ชาติก่อนลูกสะใภ้คนโตก็เกียจคร้านและไม่เป็นที่พอใจมาก ฉีหยงจึงมีความตั้งใจมากขึ้น
เพราะการแต่งงานคือเรื่องของทั้งชีวิต เขาไม่ต้องการผิดต่อลูกชายและลูกสาวอีกครั้ง
ฉีหรานไม่รู้ว่าพ่อและพี่ชายคิดอย่างไร นางสะพายเหลียงและเดินเข้าป่าตามรอยเท้าของพี่ห้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะป่าตะวันตกอันตรายกว่า มีงูและสัตว์ร้ายในป่านี้
พื้นที่รกร้างบนภูเขายังไม่ถือว่าเป็นเขตป่า แต่เพื่อป้องกันไม่ให้โดนสัตว์ป่าทำลายสวน ชาวบ้านมักจะต้องล้อมรั้ว ฉีหรานจึงมองหาป่าไผ่ใกล้ๆไปด้วย
ไม่สามารถตัดไม้บนภูเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต นี่เป็นกฎเกณฑ์ของหมู่บ้าน เว้นแต่ไม้ไผ่ที่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด ไม้อื่นๆต้องส่งภาษีให้ทางการอย่างถูกต้อง แต่ส่วนมากหัวหน้าหมู่บ้านก็มักจะอลุ่มอล่วยเล็กๆน้อยๆ เพื่อช่วยลูกบ้านประหยัดเงิน
ฉีหรานจำได้ว่าไม้ที่ใช้สร้างบ้าน และหินก็ต้องเสียภาษีเช่นกัน พ่อยังมอบปลาหมึกแห้งที่ได้มาจากเขตที่เดินทางผ่าน ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านยินดีประนีประนอมลดค่าใช้จ่ายไปได้มากในตอนสร้างบ้านคราวแรก
หญิงสาวยังใช้การสแกนอย่างไม่เสียดาย ทุกๆสองร้อยตารางเมตรจะต้องถูกสแกน ทำให้ต้องใช้แต้มเป็นจำนวนมาก
ข้อดีคือสามารถเก็บพืชตัวอย่างได้มากมาย ฉีหรานยังชี้ให้พี่ห้าและน้องหกช่วยจดจำ เผื่อในอนาคตพวกเขาขึ้นเขาและพบจะได้สามารถนำลงไปให้นางได้
คราวนี้มีพืชล้ำค่าเพียงหนึ่งต้นหลังเดินไปตลอดแนวตีนเขา ไกลถึงสองลี้ ถึงตอนนี้พี่น้องจึงหยุดเท้าและต้องการกลับบ้าน ไม่ลืมว่าต้องทำอาหารให้มารดาตอนกลางวัน