หลังจากผ่านสมรภูมิปะทะคารมครั้งนั้น ตอนนี้ส่วนใหญ่ ฮุ่ยหมิงจะเข้าครัวไปทำอาหารกินเอง นางชอบกินอาหารรสจัดแต่คนในบ้านชอบกินรสจืด อาหารส่วนใหญ่ที่แม่ครัวทำจึงมีแต่รสชาติจืดชืดบวกกับน้ำมันหยาดเยิ้มทำให้ฮุ่ยหมิงกินไม่ลง เมื่อคำนวณดูแล้ววันนี้น่าจะเป็นวันที่สิบหลังจากวันเกิดของจางลี่เซียน นางจะได้เจอองค์ชายใหญ่หวงเฟยหลงที่ร้านขายผ้า ดังนั้นวันนี้ฮุ่ยหมิงจึงตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหาร นางตั้งใจทำอาหารสุดฝีมือ เขาว่ากันว่าหากต้องการได้ใจชายต้องคว้ากระเพาะเขาให้ได้ก่อน นางจะทำให้องค์ชายใหญ่หวงเฟยหลงลืมรสชาติอาหารของนางไม่ลงจนต้องร้องขอให้ทำอีก ไม่รู้ว่าเขาชอบอาหารรสชาติแบบไหน ฮุ่ยหมิงจึงเลือกทำอาหารรสจัดอย่างไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งหนึ่งจาน หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวานหนึ่งจาน และน้ำซุปไก่ตุ๋นยาจีนไว้ซดให้คล่องคออีกหนึ่งอย่าง ตบท้ายด้วยของหวานอย่างสาลี่ตุ๋นลำไย มีครบทุกรสชาติรับรองว่าดิ้นไม่หลุดแน่นอน
เมื่อจัดการเตรียมของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฮุ่ยหมิงจึงเข้าไปเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า นางเลือกสวมใส่ชุดสีแดงเข้มเพราะฮุ่ยหมิงคนก่อนมีแต่ชุดโทนสีเข้มกับสีแดงเป็นส่วนใหญ่ เลือกแต่งหน้าแบบจัดเต็มเพื่อเสริมเสน่ห์เย้ายวนให้ตนเอง นางมีดวงตาหงส์ที่โฉบเฉี่ยว จมูกโด่งเชิดรั้นบ่งบอกว่าเป็นคนเอาแต่ใจ โครงหน้าเรียวยาวรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสด หน้าอกกับสะโพกก็อร่าอร่ามใหญ่โตไม่น้อย ไหนจะเอวคอดกิ่วนี่อีก องค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้ฮุ่ยหมิงดูเป็นนางร้ายที่หยิ่งผยองและเย้ายวนสุดๆ เมื่อมองกระจกก็ได้แต่ตกตะลึงกับรูปร่างหน้าตาของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าเป็นนางในโลกปัจจุบันหน้าตาสะสวยเย้ายวนขนาดนี้จะเลือกผู้ชายที่ดีสักกี่คนก็ได้ ไม่ต้องมามัววิ่งตามผู้ชายให้เหนื่อยแบบนี้หรอก
“เฟยเฟิ่ง พวกเราไปกันเถอะข้าแต่งตัวเสร็จแล้ว”
“คุณหนูสวยมากเจ้าค่ะ สวยกว่าทุกวันเลย” เฟยเฟิ่งกล่าวชมด้วยความตกตะลึง วันนี้คุณหนูของนางแต่งตัวได้สวยมากถึงจะแต่งหน้าแบบจัดเต็ม แต่เครื่องสำอางก็ไม่หนาเตอะจนทำให้ดูมีอายุ กลับเสริมให้ดูมีเสน่ห์เย้ายวนและอ่อนเยาว์ลงเสียอย่างนั้น
“ฮึ เจ้าพูดแบบนี้แสดงว่าวันอื่นข้าไม่สวยอย่างนั้นหรือ”
“โถ่ว คุณหนูไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ท่านสวยทุกวันอยู่แล้วเพียงแต่วันนี้สวยเป็นพิเศษ หน้าตาก็ดูสดใสงดงามมากเจ้าค่ะ” เฟยเฟิ่งรีบพูดประจบเอาใจเจ้านาย
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะเดี๋ยวข้าจะไปไม่ทัน” ฮุ่ยหมิง เมื่อได้ยินคำชมก็ยิ้มจนตาหยีรีบชวนเฟยเฟิ่งออกไป ได้แต่ขบคิดในใจว่าวันนี้องค์ชายใหญ่หวงเฟยหลงจะมองว่านางงดงามอย่างเฟยเฟิ่งหรือไม่ แล้วเขาหน้าตาเป็นอย่างไร หล่อเหลาหรือไม่
ในนิยายบอกไว้ว่า รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาแต่น้อยกว่าพระเอกอย่างหวงเฟยเทียนนิดนึง แค่คิดก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้ว
ก่อนทั้งสองคนจะเดินไปถึงประตูใหญ่หน้าจวนก็ได้บังเอิญเจอองค์รัชทายาทกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับจางลี่เซียนพอดี
“พี่สาว ขออภัยด้วย พอดีพี่เฟยเทียนมีธุระกับท่านพ่อ ข้าจึงเชิญเขามานั่งรอในศาลาเท่านั้นเจ้าค่ะ” จางลี่เซียนรีบปรี่เข้ามาย่อตัวทำความเคารพฮุ่ยหมิง ปากก็เอ่ยขอโทษไปด้วย พร้อมกันนั้นไหล่เล็กก็สั่นไหวน้อยๆ แน่นอนว่าคนที่อยู่ไม่ไกลย่อมเห็นได้ชัดเจน
“เจ้ามาขอโทษข้าด้วยเหตุใด” ฮุ่ยหมิงถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตาขวาของนางเริ่มกระตุกขึ้นมาทันที นางยังไม่ทำอันใดสักหน่อยแค่เดินผ่านมา แต่จางลี่เซียนทำยังกับว่านางเข้าไปด่าทอทุบตีแล้วเสียอย่างนั้น
“ข้ากลัวท่านเข้าใจผิดว่าพี่เฟยเทียนมาหาข้า ท่านอย่าด่าทอทุบตีข้าเลยนะเจ้าคะ ทั้งๆ ที่ท่านเตือนข้าแล้วว่าไม่ให้เข้าใกล้พี่เฟยเทียนอีก ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่งท่าน เป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงๆ” จางลี่เซียนพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดูแล้วช่างน่าสงสาร ดวงตากลมโตของนางคลอด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็ก จมูกโด่งสวย ริมฝีปากบางสีชมพู ผิวขาวราวหิมะ รูปร่างบอบบางของนางช่างเหมือนตุ๊กตาเคลือบแก้วที่แตกหักง่ายหากไม่ทะนุถนอมให้ดี รัศมีของนางเอกผู้ถูกกระทำลอยมาแต่ไกลเชียว
“ข้าไม่ใช่ของใคร เจ้าเป็นผู้ใดกันถึงคิดว่าตนเองมีสิทธิ์สั่งคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้ข้า” หวงเฟยเทียนรีบก้าวขาเข้ามายืนประจันหน้ากับฮุ่ยหมิงด้วยความไม่พอใจ เขาดึงจางลี่เซียนเข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง
“ขออภัยเพคะองค์รัชทายาท หม่อมฉันว่าพระองค์กับลี่เซียนคงมีเวลาว่างมากไปกระมัง หม่อมฉันแค่เดินผ่านมา ยังไม่ได้แสดงตนเป็นเจ้าของใคร มีแต่คนข้างหลังของพระองค์ไม่ใช่รึ ที่เรียกขานกันอย่างสนิทชิดเชื้อและหม่อมฉันยังไม่ได้เข้าไปตบตีด่าทอใคร อ้อลืมไป ถ้าข้าเคยห้ามเจ้าไม่ให้พบกับองค์รัชทายาทหวงเฟยเทียนผู้สูงส่งก็ขอโทษด้วย ต่อไปนี้เจ้ากับเขาจะพบกันพลอดรักกันอันใดก็ไม่ใช่เรื่องของข้า เชิญพวกท่านทั้งสองตามสบาย” ฮุ่ยหมิงหันไปพูดกับจางลี่เซียนด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่หัวใจกลับสั่นไหว ฮึ่มมม ยัยนางร้ายไม่รักดี ช่างรักช่างหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้นจริงนะ ขนาดไม่อยู่แล้วร่างกายยังมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้อีก กำลังจะไปทำธุระสำคัญแท้ๆ ดันมาเจอคนพวกนี้เสียได้ ฮุ่ยหมิงบ่นในใจอย่างอารมณ์เสีย
“ฮึ อย่างนั้นก็ดี หวังว่าลับหลังข้าเจ้าคงไม่ด่าทอตบตีรังแกนาง หากข้าได้ยินเรื่องราวเหล่านี้อีกข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
หวงเฟยเทียนมองมาด้วยสายตาเหยียดหยาม แม้วันนี้นางจะไม่โมโหตบตีน้องสาวหรือจงใจแต่งตัวมายั่วยวนเขาเพียงใด เขาก็ไม่สนใจคนแบบนางสักนิด
“เพคะ หม่อมฉันไม่ตบนางให้เสียมือหรอก แต่หากนางมายั่วโมโหหม่อมฉันก่อนก็อีกเรื่องนะเพคะ” ฮุ่ยหมิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มอย่างมาดร้าย เห็นอยู่ว่าการที่จางลี่เซียนมาพูดกับฮุ่ยหมิงด้วยถ้อยคำแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อกับหวงเฟยเทียนจะทำให้ฮุ่ยหมิงโกรธแต่จางลี่เซียนก็ยังทำ ถ้าไม่โง่ก็คงเป็นพวกตอแหล อยากให้นางแสดงด้านไม่ดีออกไปหรือ ไม่หลงกลหรอกจ้าเพราะข้าไม่ใช่จางฮุ่ยหมิงคนเดิม รู้ไว้ซะด้วย
หลังจากผ่านพระเอกนางเอกของเรื่องมาได้ ฮุ่ยหมิงก็รีบตรงไปร้านขายผ้าในตลาดอย่างรวดเร็ว นางกลัวไม่ทันเวลาหากพลาดโอกาสวันนี้ไป นางคงได้แต่งเป็นพระชายาเอกผู้ชั่วร้ายของหวงเฟยเทียนเป็นแน่
เมื่อมาถึงร้านขายผ้าก็รีบสอดส่ายสายตาหาองค์ชายใหญ่หวงเฟยหลงทันที นางต้องจับเขาทำสามีก่อนจะเกิดเหตุการณ์นั้น ฮุ่ยหมิงต้องเลือกเดินเส้นทางใหม่ แม้ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยเลือกแต่งกับคนที่เขารักเราย่อมดีกว่า ที่สำคัญได้ข่าวว่าองค์ชายใหญ่หวงเฟยหลงยังไม่มีสาวใช้อุ่นเตียงหรือพระสนมสักคน ชีวิตในจวนองค์ชายใหญ่ของนางคงไม่โหดร้ายเท่าในวังหลวง มองอย่างไรก็ดีกว่า ฮุ่ยหมิงคนนี้ไม่ยอมให้ตัวเองเข้าไปทรมานใน วังหลวงอย่างเด็ดขาด ตอนใกล้จบยังต้องตายอีกแบบนี้ยอมไม่ได้
“คุณหนูระวังเจ้าคะ ระวัง ระวัง กรี๊ดดด” เฟยเฟิ่งมองไปที่ฮุ่ยหมิงแล้วร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น คุณหนูของนางเดินเซไปชนเด็กขนผ้าที่กำลังขนผ้ากองท่วมหัวได้อย่างไร
“กรี๊ดดดด” ฮุ่ยหมิงแกล้งร้องเสียงดังด้วยความตกใจ นางไม่ได้เดินเซไปชนเด็กขนผ้าหรอกนางตั้งใจเดินชน เนื่องจากมัวแต่ตกตะลึงกับความหล่อเหลาของหวงเฟยหลง รู้ตัวอีกทีก็เห็นแต่แผ่นหลังของเขาเดินออกไปไกล จึงแกล้งเดินเซชนคนแล้วกรีดร้องให้ผู้ชายมาช่วย เหมือนที่เคยเห็นในละครทีวีหรือในนิยาย แต่ภาพที่ออกมาก็น่าอนาถพอสมควร นางล้มลงบนผ้ากองโตโดยมีหวงเฟยหลงรองรับอยู่ด้านล่าง ผ้าที่เหลือหล่นลงมาทับนางจนหัวยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงไปหมด
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่” หวงเฟยหลงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางมองสำรวจรอบตัวนางอย่างละเอียด เพื่อสังเกตว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหน เขาได้ยินเสียงกรีดร้องในร้านจึงหันกลับมาดู พบว่าฮุ่ยหมิงกำลัง จะล้ม ไวเท่าความคิดเขารีบพุ่งพรวดเข้าไปรับนางไว้โดยไม่รีรอ นางคือรักปักใจในวัยเด็กของเขา เขาหลงรักนางเรื่อยมาไม่สามารถมองหญิงอื่นได้เลย
“มะ หม่อมฉันไม่เจ็บตรงไหนเพคะองค์ชายขอบพระทัยมากเพคะ” ฮุ่ยหมิงหน้าแดงรีบร้อนบอก ฮือ ทำไมองค์ชายใหญ่หวงเฟยหลงถึงได้หล่อเหลาขนาดนี้กันเล่า หัวใจดวงน้อยของนางเต้นระรัวไปหมดแล้ว คิ้วเข้มหนา ดวงตาคมดุจเหยี่ยว มองเข้าไปนัยน์ตาเป็นสีอัลมอนด์ จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากกว้างเรียวบาง โครงหน้าคมเข้มเห็นสันกรามนูนชัดเจน รูปร่างก็สูงใหญ่ นี่มันนายแบบชัดๆ เขาหล่อน้อยกว่าพระเอกตรงไหนกัน สำหรับฮุ่ยหมิงแล้วเขาเป็นนายแบบชื่อดังได้เลย แต่ผู้หญิงสมัยนี้ส่วนใหญ่ชอบผู้ชายลักษณะ สูง ขาว หล่อตี๋ หุ่นดี หน้าหวาน อย่างหวงเฟยเทียนที่เป็นพระเอก จึงไม่ได้มองว่าหวงเฟยหลงหล่อเท่าที่ควรจะเป็น
“ข้าขอโทษด้วย ที่ทำให้เจ้าตกใจ เจ้า เอ่อ มาเดินตลาดหรือ” เมื่อเห็นนางหน้าแดงหวงเฟยฟลงคิดว่าตนเองทำให้นางตกใจจึงกล่าวขอโทษออกไป แต่คำพูดต่อมาก็ทำให้เขาอยากตบปากตัวเองยิ่งนัก เขาอยากหาเรื่องพูดคุยกับนางแต่พอจะพูดกลับพูดไม่ออก ได้แต่เขินอายหน้าแดงยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างนั้น เฮ้อ เขาอยากบอกว่าเขาชอบนาง แต่ก็กลัวนางเกลียดเหลือเกิน หวงเฟยหลงได้แต่คิดในใจ
“เพคะองค์ชายใหญ่ แต่วันนี้คงแดดแรงเกินไปกระมัง หม่อมฉันเลยหน้ามืดเป็นลม ต้องขอประทานอภัยพระองค์มากกว่าที่ทำให้เดือดร้อน” ฮุ่ยหมิงพูดไปก็ทำหน้าเศร้าสลดไป นางยกมือน้อยๆ ขึ้นมากุมศีรษะแสดงให้เห็นว่ากำลังหน้ามืดจะเป็นลมขึ้นมาอีกรอบ แม้รู้ว่าการแสดงของตัวเองห่วยแตกไม่ใช่น้อยก็เถอะ คนไม่เคยอ่อยผู้ชายทำได้เท่านี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ฮุ่ยหมิงให้กำลังใจตัวเอง
“เจ้ารีบไปหายาหอม ยาดม มาให้คุณหนูจางฮุ่ยหมิงเดี๋ยวนี้ แล้วไปตามหมอหลวงมาด้วย” หวงเฟยหลงหันไปสั่งบ่าวรับใช้เสียงเข้ม สีหน้าของเขาวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“องค์ชายใจเย็นก่อนเพคะ หม่อมฉันแค่เป็นลมได้นั่งพักในสถานที่อากาศถ่ายเท ผู้คนไม่พลุกพล่านก็ดีขึ้นแล้วเพคะ” ฮุ่ยหมิงพยายามส่งสายตาทอดสะพานให้เขาเต็มที่
“คุณหนูเป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ” เฟยเฟิ่งรีบเข้ามาประคองฮุ่ยหมิงออกจากอ้อมแขนของหวงเฟยหลง ได้แต่คิดในใจว่าแผนการแกล้งล้มของสาวงามที่คุณหนูทำช่างดูออกได้ง่ายดาย ใครๆ ก็เห็นว่าท่านตั้งใจเดินชนคนอื่นจนล้ม แถมยังส่งสายตาออดอ้อนให้องค์ชายใหญ่อีก ส่วนองค์ชายใหญ่ก็เหมือนคนตาบอด มองไม่ออกเสียอย่างนั้น แถมยังเป็นห่วงคุณหนูของนางจนร้อนรน ไปหมด พวกท่านทำอะไรกันเจ้าคะยังกับข้าดูงิ้วของนักแสดงฝึกหัด แต่ดูไปแล้วพวกท่านช่างเหมาะสมกันเสียจริง เฟยเฟิ่งค่อนขอดอยู่ในใจ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปนั่งพักในศาลาท้ายตลาดก่อนดีหรือไม่ คนไม่พลุกพล่าน อากาศในศาลาริมสระบัวก็สดชื่น เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง” หวงเฟยหลงเสนอขึ้นมา เขาเป็นห่วงไม่อยากให้นางต้องเดินไกลจะให้นั่งพักที่ร้านขายผ้าคงไม่เหมาะเช่นกัน อีกทั้งในใจเขาอยากพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัว เพราะวันนี้เขาได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปราบโจรกบฏต่างเมือง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามหรือสี่เดือนไม่รู้จะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่