ครั้นสามีออกไปทำงาน เฉินอ้ายเหม่ยก็ลองเก็บมีดและดาบในบ้านที่มีออกมาทดลองใช้ นางพบว่าตนเองขว้างมีดสั้นได้คล่องแคล่ว ครั้นหลับตาควงกระบี่โดยไม่ต้องคิดก็ทำได้ออกมาเป็นกระบวนท่าที่แสนพิศดาร แม้แต่เกาทัณฑ์ที่สามีแขวนไว้ห้องข้างในเมื่อลองเอามายิง นางก็ทำได้แม่นราวกับจับวาง
‘มิน่าเล่า! ข้าถึงขว้างมีดสั้นปักไก่ป่าได้อย่างแม่นยำ ในเมื่อข้ามิใช่มือปราบอย่างท่านพี่ ก็อาจจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บ’
นางแอบออกไปสืบเสาะที่มาของตนเองในช่วงกลางวัน การตระเวนไปในอำเภอก็เพื่อหวังว่าจะมีใครสักคนทักทายด้วยชื่อที่นางไม่เคยได้ยิน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นชื่อจริงของนางที่มิให้เฉินอ้ายเหม่ยอย่างที่สามีของนางสรรหามาให้ แต่ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนก็ไม่พบเบาะแสแม้สักครึ่งคำ
เฉินอ้ายเหม่ยจึงเริ่มทำอาหารกลางวันใส่ปิ่นโตไปส่งสามีถึงที่ว่าการอำเภอ นางคิดจะตีสนิทกับคนที่นั่นเพื่อสืบหาความจริงที่เกี่ยวกับตนเอง
“ถ้าจะว่าไปหัวหน้ามือปราบสวีมักจะรู้เห็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้ บางทีข้าก็คิดนะว่านางอาจจะเป็นพวกเซียนที่เรียกภูติผีวิญญาณมาสอบถามได้ ในอำเภอเชียนเยามือปราบก็มีกันเท่านี้ แต่ไม่รู้ว่าหัวหน้าสวีแอบวางสายสืบเอาไว้กี่คน”
นางฟังแล้วรู้สึกสนใจสวีเสี่ยวถงฮูหยินนายอำเภอผู้นี้ขึ้นมา หลังจากที่ได้พบกับสตรีผู้นั้นครั้งแรก รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดูท่าเรื่องเล่าที่โรงน้ำชาคงจะไม่เกินความจริง...นางคือผู้ที่ฆ่าหน้ากากเงินในการประลองยุทธ์
สามีของเฉินอ้ายเหม่ยบอกว่าตอนที่เขาพบตัวนางนั่น ในตัวของนางมีเงินซ่อนอยู่ในตัวห้าร้อยตำลึง เงินส่วนนั้นเขายื่นคืนให้นางเมื่อนางฟื้นตัวขึ้น นางจึงใช้ว่าจ้างคนติดตามสวีเสี่ยวถง เพื่อดูว่าแต่ละวันของหัวหน้ามือปราบผู้นั้นพบปะผู้ใดบ้าง?
“ท่านพี่! ท่านรู้จักมือปราบสวีมานานเท่าใดแล้ว?”
“ข้ารู้จักนางตั้งแต่แปดเก้าขวบ พวกเราถูกส่งเรียนเขียนอ่านอักษรในที่เดียวกัน นางเป็นหัวเฉลียวฉลาดและใจกล้าบ้าบิ่น ตอนที่ข้าที่ถูกรังแกก็ได้นางเป็นคนช่วยเหลือ”
เฉินอ้ายเหม่ยจึงขอให้สามีช่วยเล่าเรื่องการประลองยุทธ์ระหว่างสวีเสี่ยวถงกับหน้ากากเงินให้ฟัง
“ท่านพี่ก็อยู่ในการประลองนั้นด้วยนี่เจ้าคะ”
“ถ้าข้าเล่าแล้วเจ้าจะให้รางวัลอย่างไร?”
เฉินอ้ายเหม่ยลูบอกของสามีก่อนจะสอดเข้าไปในสาบเสื้อจากนั้นก็ ดูดเม้มติ่งหูของเขา ชายหนุ่มอุ้มนางขึ้นหนีบเอวจูบอย่างดูดดื่ม แล้วพาภรรยาผู้เย้ายวนตรงไปรับรางวัลบนเตียงนอน
เขาเอนร่างนางลงแล้วตามลงไปจูบอย่างร้อนรุ่ม ตั้งแต่คืนแต่งงานเขากับนางก็แนบสนิทชิดใกล้กันทุกคืน แรกๆ เขาก็ยังไม่ปล่อยให้นางได้นอนจนกว่าจะฟ้าสางแต่หลังๆ เขาใช้เวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนถึงค่อนคืน จากนั้นค่อยปล่อยให้นางพักผ่อน
“อี๋อ๋า....อือ...อ๊าว...”
นางส่งเสียงครางรัญจวนคล้ายจะทนไม่ไหวเมื่อเขาแยกขาของนางออกแล้วก้มลงไปดูดชิมติ่งอ่อนและร่องนุ่มที่เจือความชุ่มชื้นนยามที่ตวัดลิ้นลงไปถี่ยิบ มือสองข้างของนางขยี้จนผมของเขายุ่งเหยิง
“ทะ ท่าน...พะ...พี่...โอ๊ววว....!”
เขาใช้นิ้วเข้าไปตรวจตราความพร้อมในช่องน้อยอยู่พักใหญ่จนนางกระตุกร่างบางสองสามครา ชายหนุ่มจึงเลื่อนตัวขึ้นไปคุกเข่าอยู่เหนือร่างอ้อนแอ้น ส่วนลับของเขาตั้งตรงอยู่หน้านาง หญิงสาวคว้าหมอนข้างๆ หนุนศีรษะให้สูงขึ้นเมื่อเขาแอ่นบั้นท้ายเข้าหา นางลูบไล้สิ่งนั้นอย่างคุ้นมือ
“ขยับมาให้ตรงสิเจ้าคะ” เสียงของนางแผ่วพร่า
นางส่งเสียงอึกอักในลำคอในขณะที่สามีแหงนหน้าร้องครางอย่างสุขสม นางผงกศีรษะอย่างคร่ำเคร่งจนเขาร้องเสียงกระเส่าให้หยุด ชายหนุ่มสอดใส่ความเป็นบุรุษเข้าไปในร่างนางแล้วโยกร่างไหว
“น้องหญิง วันนี้เจ้าดูเตรียมพร้อมยิ่งนัก” เขากับนางเริงรักกันอย่างเต็มคราบ เหยาอิงหมิงรู้สึกเรี่ยวแรงของนางคล้ายจะมีไม่จบสิ้นเมื่อได้อยู่บนร่างของนาง
ครู่ใหญ่เสียงครวญคร่ำของสองสามีภรรยาของยุติลง เหงื่อจากไรผมของเขาหล่นลงบนเนินเนื้อเหนือทรวงอกของเฉินอ้ายเหม่ย
“อืม...วันนี้ข้ารู้สึกว่าเราสองคนช่างเร่าร้อนนัก” เขาทั้งพูดทั้งใช้ปลายนิ้วเย้าหยอกกับยอดอกของนางเบาๆ
“ท่านพี่! อยากยังไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ?”
“ถ้าเจ้าไม่เหนื่อย ข้าจะกล้าเหนื่อยได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นว่าสามียังคงทำสีหน้ากรุ้มกริ่มนางก็ใช้มือปรนนิบัติเขาอีกครั้ง
“อะ อืม...เจ้าเห็นหรือไม่? ข้ายังไม่เหนื่อยเลยสักนิด” เขาชะโงกหน้าขึ้นมองส่วนของร่างกายที่อยู่ในมือของนาง ก่อนจะใช้มือช้อนท้ายทอยนางมารับจูบเร่าร้อน
หญิงสาวพลิกกายขึ้นข้างบน จูบติ่งหู ปลายคาง ซอกคอไล่ต่ำมาตามส่วนอกและตุ่มไตเล็กๆ ทั้งสองข้างของเขา ชายหนุ่มสะท้ายเฮือกเมื่อนางตวัดปลายลิ้นกับยอดอกของตน ก่อนจะเลื่อนร่างขึ้นแล้วสอดสิ่งที่อยู่ในมือให้ร่างกายของนางเก็บมันเข้าไป
เสียงครางต่ำดังแรงของเหยาอิงหมิงสร้างความพอใจให้นางที่ควบขี่อยู่ข้างบนยิ่งนัก สองมือของเขาประสานกับมือของนาง เด้งบั้นท้ายขึ้นรับกับจังหวะที่นางแอ่นกาย
“น้องหญิงก้มลงมาอีกได้หรือไม่? ข้าอยาก....” เขาแตะปลายลิ้นไล้ไปตามริมฝีปากล่าง กลืนน้ำลายเบาๆ เมื่อมองเห็นเต้าทั้งสองที่สั่นไหวอยู่ตรงหน้า
ผ่านไปอีกสองเค่อคนทั้งสองจึงได้ซุกซบกอดก่ายกัน นางยิ้มแล้วจูบแผ่นอกของเขาซ้ำๆ หลายครา
“ท่านพี่คงจะอารมณ์ดีพอจะเล่าให้ข้าฟังแล้วกระมัง?”
เหยาอิงหมิงยิ้มร่าเล่าเหตุการณ์ตื่นเต้นในคืนนั้นให้กับภรรยาฟัง เฉินอ้ายเหม่ยยิ่งฟังก็ยิ่งทึ่งกับความเก่งกาจของหัวหน้ามือปราบสวี ไม่เพียงแต่นางส่งคนไปตามติดหัวหน้าสวีแต่ดูเหมือนจะมีบางคนตามติดตัวนางมาเช่นกัน เฉินอ้ายเหม่ยรู้สึกว่าตนเองถูกจับตามองแต่ก็ไม่ได้บอกสามี
บ่ายวันต่อมานางคว้าตัวคนที่แอบติดตามตัวนางมาได้ เมื่อสอบเค้นแล้วก็พบว่านั่นคือคนที่มือปราบโหลวส่งมา เฉินอ้ายเหม่ยประเมินแล้วว่าหากตามสืบเสาะความจริงจากมือปราบหญิงโหลวฉางซีได้ ก็น่าจะง่ายกว่าการตามสืบหัวหน้ามือปราบสวี
แนวคิดนี้นับว่าเป็นจริง เมื่อนางเป็นคนไปแอบติดตามโหลวฉางซีด้วยตนเองก็ได้ยินโหลวฉางซีพูดคุยกับโหลวเซียงอี๋
“อาซ้อให้คนจับตามองเฉินอ้ายเหม่ยเอาไว้แล้ว”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ? นางก็ความจำเสื่อมไปแล้วนี่?”
“สัญชาตญาณอย่างไรล่ะ? นักฆ่าทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณ”
************************