“เชอร์ นี่ตกลงแกเลิกกับเวหรือยัง”
เสียงของ ปลายฝัน ที่เป็นเพื่อนสนิทเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่กำลังเดินออกจากคลาสสุดท้ายของวัน
“เลิกแล้ว แต่เวไม่ยอมเลิก” เชอร์รีลตอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สบายใจเท่าไหร่นัก “แถมเวยังโกรธมากด้วยที่โดนฉันบอกเลิก”
ปลายฝันได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะเธอเองก็เป็นเพื่อนของทั้งคู่มาตั้งแต่มัธยมปลาย ทั้งเวคากับเชอร์รีลต่างเป็นแฟนคนแรกของกันและกัน ฝ่ายชายรักเพื่อนของเธอมาก ก็ไม่แปลกที่จะโกรธเมื่อโดนบอกเลิกด้วยเหตุผลแบบนั้น
“แล้วนี่แกจะเอายังไงต่ออะเชอร์ เวตามรังควานหรือเปล่า” เพื่อนสนิทถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเพราะตัวเองก็รู้จักนิสัยของเวคาดีเช่นกัน
“เวขู่ว่าถ้าฉันยังพูดเรื่องเลิกกันอีก จะพังบริษัทของพ่อ”
“เฮ้ย! ขนาดนั้นเลยเหรอเชอร์”
เชอร์รีลพยักหน้าเป็นคำตอบเพียงเบา ๆ ระหว่างนี้เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้น เธอหยิบออกมาดูเมื่อเห็นเบอร์ปลายสายเป็นบิดาก็รีบกดรับ
“สวัสดีค่ะพ่อ”
//เชอร์อยู่ไหนน่ะลูก เลิกเรียนหรือยัง//
“เลิกแล้วค่ะ กำลังจะกลับคอนโด”
//เย็นนี้มาหาพ่อหน่อยสิ มีเรื่องสำคัญจะให้ลูกช่วย//
ผู้เป็นลูกสาวถอนหายใจออกมาหนัก ๆ พ่อของเธอเอ่ยมาขนาดนี้คงไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ “คราวนี้ต้องไปกินข้าวกับใครอีกล่ะคะ”
//ลูกมาก็จะรู้เอง คนนี้เหมาะสมกับลูกมาก พ่อยากให้เชอร์ได้มาเจอด้วยตัวเอง เจอกันนะลูก//
“แต่พ่อคะ เชอร์ไม่...”
ยังไม่ทันจะพูดจบนายชลิตผู้เป็นบิดาก็วางสายไปเสียแล้ว ส่วนเธอก็ได้แต่มองหน้าจอนิ่ง ๆ อย่างไม่สบายใจ
“ทำไมแกทำหน้าอย่างนั้นวะเชอร์” ปลายฝันถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนซี้ดูไม่ดีเอาเสียเลย
“พ่อน่ะสิ จะให้ไปดูตัวอีกแล้ว”
ได้ยินคำตอบ ปลายฝันทำเพียงยกมือขึ้นลูบหัวไหล่เพื่อนเบา ๆ เพื่อปลอบใจ ก่อนจะทำท่าขนลุกเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก “แกอย่าให้เวรู้เชียวนะ ไม่งั้นมีหวังเละแน่”
เรื่องนี้แหละที่เธอหนักใจ ถึงเวคาจะเงียบไม่ติดต่อมาหลายวันแล้ว คาดว่าน่าจะติดงานที่ต้องช่วยผู้เป็นพ่อ แต่ถ้าหากเขารู้ว่ามีการไปกินข้าวดูตัวเกิดขึ้น จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน แต่เธอ...ไม่มีทางเลือก
เชอร์รีลยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกเช็กความเรียบร้อยของชุดที่เธอสวมอยู่ วันนี้เลือกชุดเดรสแขนสั้นและยาวจนถึงข้อเท้า อย่างน้อย ๆ การที่สวมชุดเรียบร้อยขนาดนี้อาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่สนใจเธอก็ได้
กระเป๋าคู่ใจถูกหยิบมาจากบนโต๊ะแล้วก็รีบออกจากห้อง เพราะตอนนี้ผู้เป็นบิดาได้โทรมาตามหลายรอบ อีกทั้งยังส่งคนขับรถมารอหน้าคอนโดแล้วเรียบร้อย
ใช้เวลาอยู่บนท้องถนนกว่าหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงร้านอาหารที่ผู้ชายคนนั้นอยู่ด้านใน
‘ทำตัวดี ๆ นะลูก อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อบริษัทของพ่อ ที่จริงพ่อไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลยนะ แต่เป็นข้อเสนอที่คุณกรเสนอมา บอกว่าถ้าลูกไปกินข้าวด้วยแล้วจะยอมเซ็นเอกสารร่วมลงทุนให้ คุณกรดูท่าจะชอบลูกมากเลย หากจะพัฒนาความสัมพันธ์ พ่อว่าก็ไม่เลวนะ’
เชอร์รีลได้แต่ถอนหายใจออกมาหลายครั้งติดกันเมื่อนึกถึงคำพูดของบิดาที่เอ่ยบอกทางโทรศัพท์ก่อนที่จะมาถึง
สองเท้าก้าวเดินเข้าไปด้านในร้านอาหารแล้วเอ่ยบอกชื่อของกรวิทกับพนักงาน จากนั้นเธอก็ถูกพามายังห้องวีไอพีที่อยู่ด้านใน
รู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย...
ประตูเปิดออก ทำให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านใน กรวิทนั้นดูดีมากแม้อายุห่างจากเธอถึงเจ็ดปี แต่ก็ดูไม่แก่อะไร ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะรู้สึกชอบเขาบ้างก็ได้ แต่สำหรับเชอร์รีลแล้ว ไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลยสักนิด
“สวัสดีค่ะคุณกร” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม แล้วก้าวขาเข้าไปด้านใน ทันทีที่เธอเดินเข้ามา ประตูห้องก็ปิดลง ตอนนี้เหลือเพียงเธอและเขาสองคนเท่านั้น
“สวัสดีครับ น้องเชอร์” ผู้ชายตัวสูงเอ่ยทักทายพร้อมกับลุกขึ้นเดินตรงมาหา ทำให้เชอร์รีลก้าวถอยหลังอัตโนมัติอย่างระวังตัว
“กลัวพี่เหรอครับ” น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มนวล แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกไม่วางใจเอาเสียเลย
“เปล่าค่ะ ไม่ได้กลัว เพิ่งเจอกันครั้งแรกเลยรู้สึกประหม่าไปหน่อยค่ะ” ระหว่างที่ตอบเชอร์รีลก็เดินอ้อมไปอีกทางแล้วเลือกที่จะนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ถัดจากที่เขานั่งเมื่อครู่
“ถ้าอย่างนั้นก็ทานอะไรสักหน่อยนะครับ พี่สั่งอาหารอร่อย ๆ เมนูพิเศษสำหรับน้องเชอร์โดยเฉพาะเลย” กรวิทพูดคุยอย่างสนิทสนมพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ค่ะ แต่เชอร์อยู่นานไม่ได้นะคะ พอดีมีรายงานที่ต้องทำส่งอาจารย์อีกค่ะ” เรื่องนี้มันเป็นเพียงข้ออ้าง
“ครับ กินข้าวเสร็จ แล้วรอคุยงานไม่นานเดี๋ยวพี่ไปส่งนะครับ”
“คุณกรมีคุยงานกับลูกค้าเหรอคะ” เธอถามขึ้นด้วยความแปลกใจ หากมีคุยงานแล้วจะนัดเธอมาวันนี้เพื่ออะไร เป็นการเกะกะเปล่า ๆ
“ยังไม่ใช่ลูกค้าหรอกครับ เพิ่งเจรจาจะทำธุรกิจร่วมกัน” กรวิทตอบกลับมาด้วยท่าทีสบาย ๆ แล้วมันก็ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“เหรอคะ แล้วนัดเชอร์มาด้วยแบบนี้จะไม่เกะกะเหรอคะ เหมือนเชอร์เป็นส่วนเกินยังไงไม่รู้”
“น้องเชอร์ไม่ต้องคิดมากครับ มีน้องเชอร์นั่งอยู่ด้วย พี่ว่ามันทำให้พี่รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยล่ะ”
ผู้ชายคนนี้กำลังจีบเธออยู่อย่างไม่คิดปิดบัง เชอร์รีลได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ เป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารมาเสิร์ฟพอดี เธอจึงเลือกที่จะนั่งทานข้าวเงียบ ๆ และสนทนากับเขาให้น้อยที่สุด
ไม่นานเมื่อมื้ออาหารค่ำจบลง ประตูห้องวีไอพีก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงคุ้นตาที่ก้าวเข้ามาด้านใน เชอร์รีลได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนคู่กับลูกน้องคนสนิท ก่อนที่เวคาจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับเธอ
“สวัสดีครับคุณเวคา ขอบคุณที่อุตส่าห์ปลีกเวลามาตามคำเชิญของผมนะครับ” กรวิทเอ่ยทักอย่างไม่รีรอพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายเพื่อทักทาย
“ผมไม่รู้ว่าคุณกรมีแขก ไม่อย่างนั้นคงเลื่อนนัดไปวันอื่น จะได้ไม่รบกวน” เสียงเข้มพูดลอดไรฟันออกมาในขณะที่กำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างที่สุด
และคนที่รู้ว่าเวคากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ก็คงจะมีแค่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไม่รบกวนหรอกครับ แค่นัดกินข้าวกับน้องเชอร์น่ะ เดี๋ยวก็จะกลับกันแล้ว”
“น้องเชอร์?” เวคาเลิกคิ้วสูง “ดูสนิทกันจังเลยนะครับ ไม่ทราบว่าเป็นแฟนกันเหรอครับ”
คำถามของเวคาทำเอาหัวใจของเธอเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ หากกรวิทตอบอะไรออกไปแล้วไม่เข้าหูอีกฝ่าย มีหวังการคุยงานครั้งนี้คงได้มีการนองเลือดแน่
“ยังไม่ได้เป็นแฟนหรอกครับ ผมกำลังจีบน้องอยู่ เลยให้คุณพ่อของน้องช่วยนัดออกมาทานข้าวน่ะครับ”
“เหรอครับ” คำพูดที่ออกมาผ่านน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทำให้ตอนนี้เชอร์รีลเดาไม่ได้เลยว่าเวคากำลังจะทำอะไรต่อไป เขานิ่งเกินไปจนดูน่ากลัว
“ผมว่าเรารีบคุยดีกว่านะครับคุณเวคา ถ้าช้าเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมต้องไปส่งน้องเชอร์ดึก” ระหว่างที่พูดกรวิทก็ถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับมือเธอเอาไว้ ทำให้เชอร์รีลต้องรีบบิดมือออกจากการถูกเกาะกุมแทบไม่ทัน
และตอนนี้สายตาของเวคาก็จับจ้องมายังมือของเธอที่ถูกผู้ชายอีกคนกุมเอาไว้ ปลายนิ้วที่เคาะลงบนที่วางแขนเป็นจังหวะสม่ำเสมอมันทำให้รู้ว่า เขากำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างยากลำบาก
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณกรก็เริ่มบอกรายละเอียดมาได้เลยครับ”
หากไม่ติดว่าตอนนี้กำลังติดต่องานสำคัญให้กับปริณผู้เป็นพ่อ เขาคงอาละวาดพังห้องวีไอพีจนเละไปแล้วแน่ ๆ ไม่รู้ว่าเป็นความซวยของใครที่โลกมันดันกลมเหวี่ยงเขาให้มาเจอกับเชอร์รีลในวันนี้ ทั้งที่งานยุ่งไม่ได้ติดต่อเธอมาหลายวันแล้ว
///////////////////////////////////////////////////////