บทที่ 11 ต่างคนต่างมีชีวิตใหม่(2)

3532 Words
บทที่ 11 ต่างคนต่างมีชีวิตใหม่(2) แอ๊ดดด!!! ปังงง!!!..เสียงเปิดและปิดประตูห้องพัก ทำให้หญิงสาวที่ยืนมองทิวทัศน์อุดมสมบูรณ์ของป่าไม้เขียวขจีผ่านกระจกหน้าต่างบานเลื่อนขนาดใหญ่นั้น ต้องหันไปมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอก็ถามเขาว่า “ยาคุชิ คุณหายไปไหนมา..” “ผมไปซื้อเสื้อผ้ามาให้คุณ เอาไปเปลี่ยนสิ” ยาคุชิยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาเจ้าชู้มองหญิงสาวเอาเสื้อเชิ้ตของเขามาดัดแปลงใส่เป็นชุดเดรส ซึ่งดูแล้วเซ็กซี่สวยมากในสายตาของเขา “คุณจะกักขังฉันไว้อย่างนี้ไม่ได้ สามวันแล้วนะที่ฉันไม่ได้ติดต่อทางบ้านเลย ป่านนี้คุณพ่อคงให้คนออกตามหาฉันจนวุ่นวายแล้ว” เจสสิก้ารับถุงกระดาษมียี่ห้อดังมาถือไว้ และเมื่อชายหนุ่มจะคว้าเธอไปกอด เธอก็รีบเดินหนีไปนั่งปลายเตียง “ไม่มีใครออกตามหาคุณหรอก” ยาคุชิยกมือค้างเมื่อคว้าเอวบางแต่ได้เพียงลม เขาเดินไปนั่งข้างเธอ แล้วล้มตัวนอนตะแคงข้าง ใช้ข้อศอกค้ำยันฟูกนุ่มไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับปลายผมยาวนุ่มเกี่ยวนิ้วเล่นไปมา “หมายความว่าไง ไม่มีใครออกตามหาฉัน” เจสสิก้าปัดมือหนาที่ป้วนเปี้ยนอยู่แผ่นหลังของเธอ “ก็คนของผมโทรไปบอกคุณลุงโอชิว่าคุณมาทำงานด่วนที่ต่างจังหวัดไง” ยาคุชิกระตุกยิ้มชิดเส้นผมยาวสลวยบนฝ่ามือของเขา “ฉันอยากกลับบ้าน คุณพาฉันกลับบ้านนะ” เจสสิก้าอ้อนวอนแล้วเขยิบก้นถอยหลังหนี แต่ครั้งนี้เธอหนียาคุชิไม่ได้ “คุณจำความหลังของเราได้ไหม บ้านหลังนี้ ห้องนี้ เราเคยมีกันและกัน” ยาคุชิรู้ทันจึงรีบสวมกอดและอุ้มให้เธอมานอนเกยบนตัวของเขา “ไม่! ฉันจำไม่ได้” เจสสิก้าผลักคนตัวหนักให้ออกห่าง แต่ยาคุชิไม่ยอม เขาดันให้เธอนอนหงายบนฟูก และเมื่อหญิงสาวขัดขืนเขาก็นอนทับตัวเธอไว้ “หึ! แน่ใจเหรอว่าจำไม่ได้” ยาคุชิหัวเราะในลำคอ เขาประสานมือเขาและเธอให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และก่อนที่จะยกมือกดไว้เหนือหัวของเธอนั้น เขาก็โน้มหน้าลงจูบปากอิ่มอย่างดูดดื่ม “ยาคุชิ นี่คุณจะทำอะไรฉัน” เจสสิก้าครางอู้อี้เมื่อถูกจูบกระชากวิญญาณ เธอผลักไสชายหนุ่ม แต่สัมผัสของเขาทำให้เธอร้อนรุ่มจนเสียวซ่านขนกายลุกซู่ “ก็จะทำให้คุณจำเรื่องของเราไง” ยาคุชิกระซิบเสียงแหบแห้งชิดร่องอกหอมกรุ่นผ่านเสื้อเชิ้ตของเขา เมื่อได้ยินเสียงนิ้วมือของตัวเองกระทบร่องเนื้อเสียงดังเจาะแจ๊ะๆ “ยะ ยาคุชิ ปละ ปล่อยนะ” เจสสิก้าร้องห้ามว่า ‘อย่าๆ’ แต่ร่างกายของเธอสั่นระริกเด้งสะโพกกลมกลึงรับกับนิ้วมือใหญ่ที่ชักเข้าชักออกอยู่ในช่อดอกไม้ของเธอ “ไม่ปล่อย ผมจะทำให้คุณจำเรื่องของเราให้ได้” ยาคุชิถอดนิ้วออกจากร่องเนื้อ และไม่รอช้าที่จะแปลงร่างเป็นเด็กแรกเกิด “ฉันจะ จำได้แล้ว มะ ไม่ต้องทำแล้ว” เจสสิก้าครางเสียงกระเส่า ใบหน้าสวยแดงซ่านเมื่อเห็นยาคุชิดูดเลียน้ำหวานบนนิ้วของเขา “ถ้าคุณจำได้ ก็เล่าให้ผมฟังสิ ว่าเราสองคนรักและเข้ากันได้ดีมากแค่ไหน” ยาคุชิอุ้มสะโพกงอนให้มาเกยทับบนหน้าขาของตัวเอง ดวงตาแดงหื่นกระหายจ้องมองร่องรักฉ่ำไปด้วยน้ำหวาน “ฉะ..” เจสสิก้าไม่ทันได้พูด ‘ฉันไม่เคยรักคุณ’ ก็ต้องหยุดพูดเมื่อสัมผัสได้ว่าเกสรดอกไม้ของเธอกำลังจะถูกผึ้งตัวผู้ซอนไซเข้ามาดูดน้ำหวาน “ทำไมคุณถึงแต่งงานกับไอ้คนไทยนั้น คุณรักมันเหรอ” ยาคุชิถึงจะเสียวซ่านมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็กักกลั้นไม่ยอมใส่ความแข็งแรงเข้าไปในช่อดอกไม้ เพราะเขาอยากแกล้งเธอ ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับรสเสน่ห์หาที่เขาสร้างขึ้น “ทำไมคุณถึงไปเหยียดเตชินท์เขาอย่างนั้น” เจสสิก้าต้องการยาคุชิมากแค่ไหน แต่เธอก็อดกลั้นความอยากไว้จนผิวเนื้อแดงเถือก “บอกผมมาสิ คุณรักไอ้เตชินท์เหรอถึงแต่งงานกับมัน ทั้งที่คุณยังเป็นภรรยาผมนะ” ยาคุชิเล่นกับความรู้สึกของตัวเองและของเธอ ไม่ยอมมอบความใหญ่โตให้หญิงสาว “ภรรยาเหรอ แล้วยูโกะล่ะคุณเอาเธอไปไว้ที่ไหน ฉันรู้นะคุณพาเธอไปอยู่ต่างประเทศด้วยไม่ใช่เหรอ” เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต เจสสิก้าโกรธยาคุชิมากจึงทุบตีแผ่นอกกว้างอย่างบ้าคลั่ง “ผมเลิกกับเธอแล้ว” ยาคุชิปล่อยให้หญิงสาวทุบตี แต่เขาไม่ได้ปล่อยให้เธอเป็นอิสระเมื่อคนใต้ร่างพยายามดิ้นขัดขืน เขาก็กอดรัดเธอไว้ “คุณจะเลิกหรือจะอยู่กับเธอ คุณมาบอก ฉะ ฉัน ทะ ทำไม” เสียงตัดพ้อว่าชายหนุ่ม แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางกระเส่า เมื่อยาคุชิทำตัวเป็นงูใหญ่พันธการเธอไปจนถึงปลายเท้า และเลื้อยขึ้นมาหยุดตรงหว่างขาขาว “ผมอยากให้คุณรู้ไง” ยาคุชินอนทับหน้าท้องเป็นลอน มือใหญ่จับเท้าสองข้างมาจูบแล้วเอาไปเกยบนบ่า ใบหน้าก็ก้มลงจูบเบาๆตรงจุดอ่อนไหวของเธอ “ชายชั่วหญิงเลว เหมาะสมกันดีแล้วนี่” เจสสิก้าปากกับใจไม่ตรงกัน เธอว่าชายหนุ่มแต่ร่างกายทุกส่วนสัดสั่นระริกยามยาคุชิแตะต้อง “คุณว่าผมชั่วเหรอ แล้วคุณล่ะดีแค่ไหน อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้นะ คุณมีอะไรกับยูโกะ คุณไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้องทั่วไป แต่คุณสองคนมีอะไรกัน” ยาคุชิไม่ยอมหยุดทำให้เธอเสียวซ่าน เขายังคงดูดเลียกลืนกินน้ำหวานที่ไหลเยิ้มออกมาจากเกสรดอกไม้งาม “อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ” เจสสิก้าซ่านสยิวสั่นระริกไปทั้งตัว แต่เธอไม่ยอมแสดงให้ชายหนุ่มรู้ก็กักกลั้นเสียงครางไว้จนหน้าตาเซ็กซี่แดงก่ำ “หึ! นี่ถ้าคุณลุงโอชิรู้ว่าลูกสาวแสนสวยเป็นพวกผู้หญิงรักร่วมเพศ ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าคุณลุงโอชิจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ยาคุชิรู้ว่าต้องทำยังไงให้หญิงสาวเสียวสะท้าน ซึ่งเขากัดเบาๆตรงกลีบเนื้อ แล้วเหลือบตามองความรู้สึกของเธอ “ยะ ยาคุชิ คุณห้ามบอกคุณพ่อเรื่องนี้เด็ดขาดนะ” เจสสิก้าห้ามเสียงสั่น มือสองข้างที่คอยผลักไสชายหนุ่มกับแปรเปลี่ยนลูบไล้เส้นผมและกดให้ใบหน้าของเขาแนบชิดเนินเนื้อของเธอมากขึ้น “หึ ไอ้เตชินท์ล่ะ จะให้ผมบอกมันด้วยไหม ว่ามันแย่งเมียผม” ยาคุชิกัดฟันพูดชิดร่องเนื้อหวานปานน้ำผึ้ง แล้วคลานขึ้นไปนอนทับคนตัวน้อย เขามองหน้าสวยเซ็กซี่อย่างหื่นกระหาย “ถ้าเตชินท์รู้เรื่องนี้ ฉันจะฆ่าคุณ” เจสสิก้าทำเสียงดังขู่ชายหนุ่ม “ผมกลัวมากเวลาคุณขู่ผม” ยาคุชิยิ้มยิงฟัน และไม่ต้องการฟังเสียงด่าทอจากหญิงสาว จึงจูบปากนุ่มอย่างดุเดือดเร่าร้อน “คุณมันผู้ชายสารเลว” เจสสิก้าทุบหน้าอกแกร่งรัวๆเพื่อกลบเกลื่อนความสยิว ซึ่งเธอปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบมากเวลายาคุชิรุนแรงกับเธอ “เลวแบบผม แต่คุณก็ชอบไม่ใช่เหรอ ดูสิแตะต้องตรงไหนเนื้อนุ่มก็สั่นระริกสู้มือผมเชียวนะ สงสัยอยากให้ผมเข้าไปในตัวคุณแล้วสินะ” ยาคุชิหื่นมาก เขาจับให้หญิงสาวนอนหันหลัง และก่อนที่จะจับความใหญ่โตเข้าไปในตัวเธอนั้น ชายหนุ่มได้ถุยน้ำลายใส่เนื้อแท้ของเขา “ไม่นะ ฉันไม่ต้องการคุณ ปล่อยฉัน ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ปละ ปล่อย ฉันนน” เจสสิก้ากรี๊ดร้องเสียงยาว เมื่อยาคุชิดันความแข็งแรงใส่ดอกไม้ของเธอ “แต่ผมต้องการคุณ ผมคิดถึงคุณมากรู้ไหมเจสสิก้า” ยาคุชิคำรามเสียงกระหึ่มเมื่อดอกไม้งามบีบรัดจนเขาต้องเร่งความเร็วกระแทกกระทั้ง ทำตามคำสั่งของหญิงสาว ซึ่งเธอบอกให้ชายหนุ่มเปลี่ยนท่านั้นทำท่านี้ จนเธอและเขาถึงจุดหมายปลายทางหลายครั้งต่อหลายครั้ง… ห้าวันต่อมา.. เตชินท์ยืนหันหน้าเข้าหาบานกระจกหน้าต่าง ดวงตาคู่เข้มไหวสะท้านสั่นไปตามแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนด้านนอก “ไปไหนของเขานะ น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง” เตชินท์บ่นให้ภรรยายังไม่ทันขาดคำ เขาก็ต้องหันหลังไปมองเมื่อประตูห้องถูกเคาะ ก็อกก!!.. “ใคร!” เตชินท์ถามเสียงดัง เสียงถามของเจ้านาย ทำให้อะซุมที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องรีบตอบเสียงขึงขังว่า “คุณเตชินท์ครับ ผมเองครับ อะซุมครับผม..” เตชินท์ถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง เมื่อเห็นว่าเป็นลูกน้องคนสนิท เขาจึงถามชายหนุ่มว่า “นายมีอะไรเหรออะซุม..” อะซุมมองเตชินท์ ซึ่งชายหนุ่มยังอยู่ในชุดทำงานของวันนี้ เขาจึงถามว่า “คุณเตชินท์ยังไม่เตรียมตัวอีกเหรอครับ นี่ก็จะสองทุ่มแล้วนะ อีกอย่างงานเลี้ยงที่บ้านของท่านนายกก็จะเริ่มแล้วนี่ครับ..” “ฉันไม่รู้จะใส่ชุดแบบไหนไปงานเลี้ยงนะสิ ได้ข่าวว่าในงานเลี้ยงต้องใส่ชุดกิโมโนไม่ใช่เหรอ” เตชินท์เดินนำหน้าอะซุมเข้าไปยืนตรงโต๊ะเครื่องแป้ง เขายิ้มมุมปากเมื่อเห็นตัวเองในกระจก แล้วภาพเก่าครั้งในอดีตของเขาและเกวลินก็ผุดขึ้นมาทันที.. “ทำไมอาบน้ำเร็วจังคะ” เกวลินนั่งรีดชุดสูทให้สามี เมื่อเห็นเขาเดินออกจากห้องน้ำเธอก็รีบร้อนลุกขึ้น เดินไปหาเขา “พี่กลัวไม่ทันงานเลี้ยงนะสิ นี่จะสามทุ่มแล้วด้วย” เตชินท์เดินไปยังตู้เสื้อผ้า เขาเปิดตู้และปลดผ้าเช็ดตัวออกจากเอวเอาไปพาดไว้ประตูผ้า และเปิดลิ้นชักเอาบ็อกเซอร์ที่เมียพับเป็นระเบียบมาใส่ “มานั่งนี่ค่ะ เดียวเกวเป่าผมให้ค่ะ” เกวลินเมื่อเอาสูทไปวางไว้ที่เตียง เธอก็เดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งลากเก้าอี้สั่งด้วยสายตาชื่นชมรูปร่างกำยำของสามี “ติดกระดุมเสื้อให้พี่หน่อยสิ” เตชินท์ใส่เสื้อเชิ้ตแต่ไม่ยอมติดกระดุม จึงทำให้เห็นแผ่นอกแข็งแกร่ง หน้าท้องนี่เป็นลอนเชียว “เกวว่าใส่เชิ้ตตัวใหม่ดีกว่าค่ะ” เกวลินบอกสามี พลางถอดเสื้อเชิ้ตสีดำออกจากตัวเขา แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ไม่ถึงสองวินาที เธอก็เดินกลับมาหาชายหนุ่ม “ให้พี่ใส่สีขาวเหรอ” เตชินท์ถามพลางกางแขนสองข้างออก เขาไม่ได้ขัดขืนเมื่อน้องใส่เสื้อเชิ้ตให้ “ค่ะ จะได้เข้ากับสูทไงค่ะ” เกวลินพยักหน้าให้สามี และเมื่อติดกระดุมเสื้อทุกเม็ดให้สามีแล้ว เธอก็เดินไปเอาสูทมาให้สามี “สูทตัวนี้มันขาดนี่เกว เกวจะให้พี่ใส่ไปขายหน้าเพื่อนๆเหรอ”เตชินท์ไม่พอใจที่เกวลินจะให้เขาใส่สูทเก่า และมันก็ขาดตรงกระเป๋าด้านข้างด้วย “เกวเย็บและเอาไปซักแห้ง เหมือนชุดที่ซื้อใหม่ให้แล้วค่ะ หอมด้วย” ก่อนที่จะใส่สูทให้สามี เกวลินได้ก้มดมกลิ่นหอมของสูท พร้อมทั้งเอาให้เขาดูตรงที่ขาด “ขอบใจเกวมากนะ” เตชินท์ทึ่งมากเมื่อสูทสีกรมเงาราคาแพงมียี่ห้อ ถูกเย็บอย่างประณีตละเอียดด้วยฝีมือของน้องน้อย “มาค่ะ เกวผูกเนกไทให้” เกวลินเอาสูทไปพาดไว้กับพนักเก้าอี้ และจับแขนกำยำสองข้างให้พี่ชินท์หันมายืนเผชิญหน้ากับเธอ “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปงานเลี้ยงบริษัทกับพี่” เตชินท์ยืนให้น้องผูกเนกไท เขาถามเธอพร้อมทั้งยกมือลูบหัวของเธออย่างทะนุถนอม “เกวกลัวไปทำให้พี่ขายหน้าพวกเพื่อนๆ แล้วทำให้เพื่อนๆที่ทำงานมองพี่ไม่ดี เกวไม่ไปดีกว่าค่ะ” เกวลินส่ายหน้าพลางจับให้พี่ชินท์ยืนหันหน้าเข้าหากระจก เธอกระซิบเสียงน่ารักบอกสามีว่า “สามีของเกวหล่อมากค่ะ..” คำชมของน้องทำให้เตชินท์มองสำรวจเงาตัวเองในกระจก เขาเหลือบตามองหน้าหวานแล้วกระซิบเบาๆบอกน้องผ่านกระจกว่า “พี่รักเธอนะ..” เพล้งงง!!..กระปุกครีมทาผิวของภรรยาถูกเหวี่ยงใส่ผนังห้องโดยไม่รู้สาเหตุเสียงดัง เพล้งงง!!..และชายหนุ่มก็เผลอตัวคำรามเรียกชื่อของหญิงสาวที่เขานึกถึงว่า “เกวลิน ผู้หญิงสำส่อน!..” ด้านอะซุมตกใจมากที่เห็นเจ้านายทำหน้ายักษ์ดวงตาคู่เข้มแดงก่ำ ซึ่งเขาได้เข้าไปสะกิดเรียกชายหนุ่มอย่างเกรงกลัวว่า “คุ คุณเตชินท์..” เตชินท์ยังตกอยู่ในห้วงของความเจ็บแค้นที่ถูกเมียที่เขายังรักใช้เท้าเหยียบจนหัวใจแตกสลาย แต่เสียงเรียกของลูกน้องดังจนทำให้ชายหนุ่มตื่นจากพะวง และถามอะซุมว่า “อะไรเหรออะซุม..” “คุณเตชินท์เป็นไรเหรอครับ แล้วเมื่อกี้นี้คุณเรียกใครครับ ผมได้ยินไม่ชัด เกวลินอะไรนี่แหละครับ” อะซุมถามพลางเดินไปหยิบกระปุกครีมมาถือไว้ “ฉันเรียกใครเหรอ” เตชินท์ถามอะซุมเสียงเรียบ ซึ่งเขาทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยักหน้าให้อะซุมเอากระปุกครีมของเจสสิก้าไปวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง “เกวลิน ใครเหรอครับ” อะซุมสงสัยจึงถาม เตชินท์ไม่ตอบแต่เขากลับย้อนถามลูกน้องว่า “ฉันเรียกชื่อเกวลินเหรอ..” ท่าทางและสีหน้าเจ็บปวด เหมือนคนอกหักรักคุดของเจ้านาย ทำให้อะซุมเปลี่ยนเรื่องทันที ซึ่งเขาได้บอกเจ้านายว่า “คุณเตชินท์เข้าไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเตรียมชุดให้คุณเอง..” “นายรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” เตชินท์ถาม “ไม่รู้ครับ” อะซุมตอบ และก่อนที่เขาจะเดินไปยังห้องแต่งตัวของเจ้านาย เขาก็โน้มตัวขออนุญาต “อ้าว ไม่รู้ แล้วนายจะจัดการยังไงฮ่ะ” เตชินท์มองลูกน้องทำนั้นทำนี้ แล้วลูกน้องก็เดินมาหาเขาพร้อมยื่นผ้าเช็ดตัวให้ “ถ้าคุณเตชินท์ไม่รังเกียจ ผมขอให้แม่ของผมขึ้นมาช่วยผมจัดชุดให้คุณได้ไหมครับ” อะซุมถามเจ้านายอย่างหวาดหวั่น “แม่ของนายเหรอ” เตชินท์ทำหน้าสงสัย “ครับ แม่ผมเป็นคนไทยครับ” อะซุมบอก คำพูดของอะซุม ทำให้เตชินท์หันไปถามลูกน้องว่า “แล้วนายก็ปะ..” คำว่า ‘นายเป็นคนไทยเหรอ’ ถูกลูกน้องพูดแทรกขึ้นว่า “ผมเป็นลูกครึ่งครับ ไทยญี่ปุ่น” อะซุมมองหน้าเจ้านาย “ตอนนี้แม่ของนายอยู่ไหน” เตชินท์ถามหาแม่ของอะซุม “แม่ผมเป็นแม่บ้านทำความสะอาดอยู่ตึกนี้ครับ พักอยู่กับผมด้านหลังตึกครับ” อะซุมบอก “ที่นั่นใช่ไหม” เตชินท์เดินไปมองตึกเตี้ยๆผ่านหน้าต่าง ซึ่งตึกนั้นเก่ามาก เห็นครั้งแรกเขาก็นึกว่าเป็นโกดังเก็บของ “ครับ” อะซุมตอบเมื่อเจ้านายหันมาถาม “ฉันอยากเจอแม่ของนาย” เตชินท์บอกอะซุม “ครับ เดี๋ยวผมไปตามแม่ผมมาพบคุณครับ” อะซุมดีใจมากที่เจ้านายอยากเจอแม่ของเขา เพราะแม่ของเขาก็อยากเจอเตชินท์เหมือนกัน... ยี่สิบนาทีต่อมา..อะซุมก็พาแม่เข้ามายืนอยู่ในห้องพักของเตชินท์ ซึ่งแม่ดูจะเกรงกลัวเตชินท์มาก นางจึงคอยแต่ยืนหลบอยู่ข้างหลังของลูกชาย “แม่ครับนี่คุณเตชินท์เจ้านายผมครับ ที่ผมเล่าให้แม่ฟังว่าคุณเตชินท์เป็นคนไทยไงครับ” อะซุมขยับตัวหันไปพูดกับแม่เป็นภาษาไทยผสมภาษาญี่ปุ่น เตชินท์มองสองแม่ลูกสลับกันไปมา แล้วถามอะซุมว่า “นี่นายพูดไทยได้ด้วยเหรออะซุม..” “ได้นิดหน่อยครับ” อะซุมบอก “อื้อ งั้นนายพาแม่ของนายไปนั่งที่ห้องรับแขกสิ ฉันมีเรื่องมากมายอยากคุยกับนายและแม่ของนาย” เตชินท์พยักหน้าให้สองแม่ลูก “ครับ” อะซุมขานรับ และประคองแม่ให้เดินตามเจ้านายไปยังห้องรับแขก ซึ่งเขายังยืนมือประสานกันและแนบไว้ตรงหน้าท้อง ด้านแม่ของเขานั้นก็นั่งบนพื้น “น้าครับอย่านั่งพื้นเลยครับ ขึ้นมานั่งบนโซฟาดีกว่าครับ” เตชินท์รีบบอกแม่ของอะซุม ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดภาษาไทยอย่างเต็มประโยค “จะดีเหรอค่ะ” แม่ของอะซุมมองหน้าลูกชาย แล้วหันไปพูดภาษาไทยกับเตชินท์ “ดีสิครับ อะซุมพยุงแม่ของนายมานั่งนี่สิ” เตชินท์ยิ้ม เมื่อได้ยินแม่ของอะซุมพูดไทยอย่างชัดเจน “แม่ครับลุกขึ้นครับ” อะซุมทำตามเตชินท์ พาแม่ไปนั่งบนโซฟา ซึ่งเขาจะกลับไปยืนที่เดิม แต่เมื่อเตชินท์บอกให้เขานั่ง เขาก็นั่งข้างแม่ “ผมเตชินท์ จะเรียกผมชินท์หรือเตก็ได้นะครับ” เตชินท์แนะนำตัว “ฉะ ฉันชื่อดวงพรค่ะ คุณตะ เตชินท์จะเรียกฉันว่านางดวงก็ได้นะคะ” แม่ของอะซุมบอกเจ้านายของลูกชาย “ครับ ผมจะเรียกน้าดวงล่ะกัน” เตชินท์ยิ้มรับไมตรีจากแม่ของอะซุม ท่าทีตื่นเต้นพูดเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องให้ของแม่ทำให้อะซุมบอกเจ้านายว่า “แม่ผมดีใจมากนะครับที่ได้เจอคุณเตชินท์..” “น้าดวงอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกนะ” เพราะความรู้สึกถูกชะตากับหญิงชราตรงหน้า จึงทำให้เตชินท์จึงพูดไปด้วยความจริงใจ “แม่ผมอยากลับเมืองไทยครับ แต่กลับไม่ได้” อะซุมอยากให้แม่ได้สมหวัง และเขาคิดว่าเตชินท์ต้องช่วยแม่เขาได้ ชายหนุ่มจึงบอกเตชินท์ “อ้าว ทำไมละ” เตชินท์สงสัยจึงมองหญิงชรา “คือแม่ผมไม่มีสัญชาติครับ” ก่อนที่เขาจะเล่าเรื่องของเขาและแม่ให้เจ้านายฟัง เขาก็ยื่นมือไปจับมือแม่ เมื่อแม่พยักหน้าให้ เขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆให้เจ้านายฟัง “หมายความว่าไงไม่มีสัญชาติ” เตชินท์ทำหน้างง “แม่ยอมทิ้งสัญชาติไทยมาเป็นคนญี่ปุ่น เพราะหลงรักชายญี่ปุ่น แต่ก็ไม่สามารถเป็นคนญี่ปุ่นได้ เพราะชายคนรักหลอกแม่ และเอาแม่ไปขายให้กับยากูซ่า แล้วแม่ก็ถูกยากูซ่าบังคับให้เป็นหญิงบริการครับ” อะซุมไม่ได้อายและน้อยใจที่เกิดมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ และมีแม่เคยเป็นโสเภณีมาก่อน “งั้นแสดงว่า นายก็ไม่มีสัญชาตินะสิ” เตชินท์ถาม “ครับ แต่ผมโชคดีที่คุณโอชิรับผมเข้าทำงานตั้งแต่ผมอายุสิบห้า” อะซุมเล่าทุกเรื่องให้เตชินท์ฟัง เล่าแม้กระทั่งตัวเขาเกิดมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ “รวมทั้งน้าดวงด้วยใช่ไหม” เตชินท์ถามเสียงเบา แต่สายตาอ่อนโยนกลับหันไปมองหญิงชราที่เอาแต่นั่งกระแซะลูกชาย “ครับ” อะซุมพยักหน้าให้เจ้านาย “น้าดวงมีญาติพี่น้องที่เมืองไทยไหมครับ” ความรู้สึกของหญิงชราที่จากบ้านเกิดเมืองนอนมาหลายสิบปี ทำให้เตชินท์รับรู้ได้ “ไม่มีค่ะ แต่น้าอยากกลับไปอยู่ที่เมืองไทยค่ะ อยากไปตายที่นั่นไม่รู้ชาตินี้จะได้กลับหรือเปล่าก็ไม่รู้” ดวงพรพูดเสียงสั่นเล็กน้อย “ถ้าแม่กลับแล้ว ผมจะอยู่กับใครล่ะครับ” อะซุมกอดแม่ “แม่อยากให้อะซุมไปอยู่เมืองไทย อยากให้ลูกได้มีสัญชาติไทย” ดวงพรก็กอดลูกชาย ซึ่งสองแม่ลูกพากันปลอบขวัญซึ่งกันและกัน คำพูดของน้าดวงพรคุยกับลูกชาย ทำให้เตชินท์สีหน้าเคร่งขรึม รู้สึกเห็นใจและสงสาร ถึงเรื่องมันจะยากและนานแค่ไหนเขาก็อยากช่วยสองแม่ลูกนี้ให้มีสัญชาติ โดยเฉพาะน้าดวงพร เขาจะทำให้ความฝันของนางเป็นจริงให้ได้…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD