บทที่ 12
ต่างคนต่างมีชีวิตใหม่(3)
งานเลี้ยงบ้านของนายกรัฐมนตรี..เตชินท์สีหน้าเรียบเฉยนั่งอยู่ในรถ ดวงตาคู่นิลมองแขกเหรื่อระดับไฮโซพากันเดินเป็นคู่เข้าไปในงานผ่านกระจกรถด้านข้าง
เมื่อเจ้านายเอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมพูดและจะสนใจลงจากรถเข้าไปในงาน จึงทำให้อะซุมลงจากรถและเปิดประตูรถให้ “คุณเตชินท์ครับ..”
ด้านเตชินท์พยักหน้าให้ลูกน้อง เขาถอนหายใจอย่างแรงทีหนึ่ง แล้วก้าวออกไปยืนข้างรถ และก่อนที่จะเดินเข้าไปในงานเลี้ยงเตชินท์ก็ถามลูกน้องว่า
“นี่นายไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าคุณเจสสิก้า เธอไปไหน..”
“ผะ ผม..” อะซุมไม่ทันได้พูดจบประโยคว่า ‘ผมไม่รู้จริงๆครับ’ เขาก็ต้องหยุดพูดเมื่อเตชินท์พูดแทรกขึ้นว่า “โอเคนายไม่รู้ก็ไม่ต้องพูด..”
“ครับ” อะซุมไม่กล้าสบตาของเจ้านาย จึงรีบก้มหน้าและขยับตัวหลีกทางให้เตชินท์เดินเข้าไปในงาน ซึ่งเขาก็คอยเดิมตามชายหนุ่ม
“คุณเตชินท์ทางนี้ครับ” เสียงของนายกรัฐมนตรีซูกิเรียก จึงทำให้เตชินท์รีบสาวเท้าเข้าไปหา ซึ่งเตชินท์ถูกน้าดวงพรสอนให้รู้จักขนบธรรมเนียมของญี่ปุ่น เขาโค้งคำนับพร้อมเอ่ยทักทายว่า
“สวัสดีครับท่านซูกิ คุณหญิงซิกาโกะ..”
“เป็นกันเองดีกว่านะคุณเตชินท์” ซูกิมองเตชินท์คำนับภรรยาได้เหมือนคนญี่ปุ่น เขายิ้มแล้วเข้าไปตบบ่ากว้าง มองสำรวจการแต่งตัวของชายหนุ่มที่ใส่ชุดกิโมโนได้เท่มาก มากจนเป็นที่จับตามองของแขกเหรื่อหลายคน
“ครับ นี่เป็นของฝากจากคุณพ่อครับ” เตชินท์เอาห่อของขวัญให้คุณหญิง และเอาเหล้าสาเกราคาแพงให้ท่านซูกิ
“ขอบคุณมากนะคุณเตชินท์”คุณหญิงซิกาโกะฝากคำขอบคุณถึงโอชิ ด้านนายกรัฐมนตรีซูกิเมื่อดูเหล้าสาเกอายุสิบเก้าปีแล้ว เขาก็พูดกับเตชินท์ว่า
“คุณโอชินี่รู้ใจผมจริงๆ แล้วเขาเป็นไงบ้าง ผมได้ข่าวว่าเขาไม่ค่อยสบายไม่ใช่เหรอ..”
“คนแก่นะครับ ก็สามวันดีสี่วันไข้ครับ” เตชินท์บอก พลางยื่นมือไปจับทักทายแขกหลายคนที่นายกรัฐมนตรีซูกิแนะนำให้เขารู้จัก
“คุยกันตั้งนาน ผมยังไม่เห็นหนูเจสสิก้าเลย” ท่านซูกิถามเตชินท์
“นั้นสิ หนูเจสไม่มาด้วยเหรอคุณเตชินท์” คุณหญิงซิกาโกะมองหาเจสสิก้ารอบงาน
เตชินท์มองอะซุม และหันกลับมามองคุณหญิงซิกาโกะและท่านซูกิ แล้วพูดเสียงอ้ำอึ้งว่า “คือว่า คุ..”
ซึ่งเขาไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงของเจสสิก้าก็ดังขึ้น “ชินท์ค่ะ..”
“คุณเจส” เตชินท์ตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตุว่าเจสสิก้าเดินมากับใคร เพราะเขาจะได้ไม่ต้องหาคำแก้ตัวเวลาใครต่อใครถามหาหญิงสาว
ด้านเจสสิก้าก่อนที่จะผละออกจากยาคุชิ เธอได้แต่มองเขาตาเขียวปัด ซึ่งชายหนุ่มขยิบตาทำหน้าทะเล้นให้เธอ เธอหมั่นไส้เขามากจึงสะบัดหน้าหนีแล้วรีบเดินเข้าไปหาเตชินท์ พร้อมเอ่ยทักทายแขกเหรื่อทุกคน
“สวัสดีค่ะคุณลุงซูกิ คุณหญิงป้าซิกาโกะ..”
“ไงหนูเจสสิก้า ” นายกรัฐมนตรีซูกิเอ่ยทักทาย
ด้านคุณหญิงซิกาโกะก็เอ่ยถามเจสสิก้าว่า
“หนูเจส นี่ป้าคิดว่าหนูไม่มาเสียแล้ว..”
“งานครบรอบแต่งงานของคุณหญิงป้ากับคุณลุงทั้งที หนูต้องมาสิคะ”
เจสสิก้าตอบคุณหญิงซิกาโกะเสียงอ่อนโยน
“ไป! คุณเตชินท์ ผมจะพาไปรู้จักแขกคนอื่นๆ” นายกรัฐมนตรีซูกิจูงมือภรรยา แล้วเดินนำหน้าแนะนำให้เตชินท์รู้จักแขกระดับใหญ่ๆ
“ครับ” ด้านเตชินท์ก็เดินจูงมือเจสสิก้า เขาทักทายแขกทุกคนที่นายกรัฐมนตรีแนะนำให้เขารู้จัก
ในช่วงเวลาที่นายกรัฐมนตรีซูกิแนะนำให้เตชินท์รู้จักเพื่อนพ้องของเขาอยู่นั้น ทุกคนก็ต้องชะงักแล้วพากันหันไปมองเมื่อมีเสียงแทรกขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณลุงซูกิ” ยาคุชิเดินเข้าไปทักทาย แต่สายตากรุ้มกริ่มกับเหลือบมองเจสสิก้า ซึ่งหญิงสาวพยายามทำเป็นไม่สนใจ ทั้งที่เมื่อครู่ก่อนที่เขาจะพาเธอมาที่นี่ เขาและเธอยังมีเซ็กส์กันในรถอยู่เลย
“อ้าว ยาคุชิ” ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิรับคำทักทายของยาคุชิ โดยพยักหน้าให้ภรรยารับของฝาก ซึ่งยาคุชิก็หันไปทักทายภรรยาของท่านนายกรัฐมนตรี ซูกิ “คุณหญิงป้าซิกาโกะสวัสดีครับ..”
“สบายดีนะยาคุชิ นี่กลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไรละ” คุณหญิงซิกาโกะถาม
“กลับมาได้หลายเดือนแล้วครับ” ยาคุชิตอบ พร้อมทั้งขยับเข้าไปยืนชิดเจสสิก้า ซึ่งเขาทำไม่ให้ใครได้เห็นและสงสัยว่าเขาและเธอมีอะไรกัน โดยเฉพาะ เตชินท์ ‘ไอ้งั่งเอ้ย’ ยาคุชิกัดฟันว่าเตชินท์ในใจ
“นี่พ่อของเราไม่มาเหรอ” ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิถามยาคุชิ
“คงตามมาทีหลังครับ” ยาคุชิตอบพลางแอบจับมือของเจสสิก้า
“อื้อ ไป เราไปนั่งคุยกันที่โต๊ะกันเถอะ” ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิพยักหน้ารับรู้ พลางเชิญแขกทุกคนให้ทำตัวตามสบาย แล้วเขาก็พาภรรยาเดินไปที่โต๊ะอาหาร ซึ่งเตชินท์ก็เดินเคียงข้างเมื่อท่านนายกรัฐมนตรีเชิญ
“อย่ามาทำอะไรรุ่มร่ามกับฉันแบบนี้ต่อหน้าใครต่อใครนะ” เจสสิก้าหยิกมือของยาคุชิ
ด้านยาคุชิหน้าเขียวเพราะเจ็บเมื่อถูกทำร้าย แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย เขาประสานมือกับมือของเธอ พร้อมพูดเสียงเหี้ยมว่า
“พอเห็นผัวใหม่ทำเป็นลืมผัวเก่าคนนี้เลยนะ..”
“หยาบคาย ปล่อย!” เจสสิก้าสะบัดมือของยาคุชิ เมื่อได้รับอิสรภาพแล้ว เธอก็รีบเดินอย่างเร็วไปเกาะแขนของเตชินท์
ยาคุชิตาลุกวาวเป็นเปลวไฟมองผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเมียวิ่งไปเกาะแขนชายอื่น เขาแสยะยิ้มและหัวเราะเสียง หึ!! ในลำคอ
“ชินท์ค่ะ” เจสสิก้าไม่ยอมห่างเตชินท์ เมื่อเห็นยาคุชิเดินตามมา ซึ่งชายหนุ่มพยายามที่จะเข้ามานั่งใกล้เธอ
“คุณเจสเป็นไรหรือเปล่า ทำไมมือเย็นจังครับ” เตชินท์จับมือของเธอมากุมไว้ แล้วพยักหน้าให้เธอนั่งเก้าอี้ข้างคุณหญิงซิกาโกะ
“ฉันไม่ ปะ..” เจสสิก้าไม่ทันได้พูด ยาคุชิก็พูดแทรกขึ้นว่า
“ทำไมไม่แนะนำผมให้รู้จักกับสามีของคุณบ้างล่ะครับคุณเจส”ยาคุชิเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงข้างท่านนายกรัฐมนตรีซูกิ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว
“ชะ ชินท์ค่ะนี่ยาคุชิค่ะ เป็นลูกชายคุณอาเซนทาค่ะ”เจสสิก้าไม่ยอมสบตาของยาคุชิ
ด้านเตชินท์หน้าซีดเหลือง เพราะเขาเริ่มมีอาการแปลกๆท้องใส้ปั่นป่วนเหงื่อผุดเป็นเม็ดๆตามหน้าผากและง่ามมือเมื่อกลิ่นอาหารบนโต๊ะโชยมาเตะจมูก ซึ่งเขาไม่รู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
‘ทำไมอาหารพวกนี้เหม็นจังวะอยากจะอ้วกด้วย’ เตชินท์พูดคนเดียวในใจ พร้อมทั้งยกมือขึ้นปิดจมูกเวลาเขาหายใจเข้าปอดแรงๆ
เมื่อสามีเงียบไม่ยอมพูดอะไร เจสสิก้าก็แปลกใจจึงหันมอง และเมื่อเห็นสีหน้าซีดของสามี เธอก็ยื่นมือไปแตะแก้มของชายหนุ่มพร้อมทั้งถามว่า
“ชินท์ คุณไม่สบายเหรอทำไมเหงื่อเต็มหน้าอย่างนี้คะ?..”
“มะ ไม่นี่ครับ” เตชินท์รีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนหน้าผาก พลางเหลือบตามองหน้าภรรยา เขายิ้มแล้วเปลี่ยนจุดสนใจจากเขาไปที่เธอ ถามเธอว่า “เมื่อกี้นี้คุณเจสพูดอะไรนะ..”
ด้านเจสสิก้ากลัวสามีจะจับผิดจึงพูดคำเดิมว่า
“ฉันแนะนำคุณให้รู้จักคุณยาคุชิค่ะ..”
“อ้อ ครับ เราเคยเจอกันที่บริษัทแล้วครั้งหนึ่ง” เตชินท์หายใจทางปากเสียงดังฟูๆ เขาปรับสีหน้าพะอืดพะอมให้เป็นปรกติแล้วมองหน้ายาคุชิ
“ใช่ครับ เราเคยเจอกันที่บริษัท แต่น่าเสียดายผมไม่ได้อยู่แสดงความยินดีกับตำแหน่งงานของคุณ ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ยาคุชิพูดกับเตชินท์ แต่สายตายิ้มมีเลศนัยมองเจสสิก้า ซึ่งเธอคอยตักอาหารให้เตชินท์
“ไม่เป็นไรครับ” เตชินท์บอกยาคุชิ แล้วฝืนกินแกงกะหรี่ที่เจสสิก้า บอกว่าเป็นของโปรดของเขา ‘ใช่’ แกงกะหรี่คืออาหารที่เขาชอบกินมากที่สุด แต่ในเวลานี้ทำไมเขาเหม็นเกลียดแกงนี่มาก ไม่อยากกินเลยจริงๆ
“คุณคงไม่โกรธผมนะครับ” ยาคุชิพูดไปยิ้มมุมปากไป
ซึ่งคำพูดของยาคุชิคลุมเครือน่าสงสัย จึงทำให้เตชินท์ถาม
“โกรธคุณเรื่องอะไรเหรอครับ..”
ยาคุชิกระตุกยิ้มเมื่อได้สบตาคู่งามแล้วพูดว่า “ก็ที่ผมไปกะ..” แต่เขาก็ไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคว่า ‘ก็ผมหายไปกับคุณเจสไงครับ’
เมื่อเจสสิก้าพูดขึ้น “ชินท์ค่ะเทไวน์ให้เจสหน่อยสิคะ..”
เตชินท์ทำตามภรรยาขอร้อง พร้อมพูดกับยาคุชิว่า
“วันนั้นพ่อของคุณก็ตามหาคุณด้วยนะ..”
ยาคุชิพูดชิดขอบแก้วน้ำเมาว่า“เหมือนที่คุณตามหาคุณเจสใช่ไหมครับ..”
ครั้งนี้เตชินท์เริ่มไม่พอใจท่าทางรู้ทันของยาคุชิ จึงถามชายหนุ่มว่า
“คุณหมายความว่าไง..”
“มองหน้าผมอย่างนี้ คุณคิดว่า..” ยาคุชิไม่ทันได้พูดจบประโยคว่า ‘ผมกับคุณเจสหายไปด้วยกันเหรอครับ” เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจสสิก้าพูดขึ้นว่า
“ชินท์ค่ะ ฉะ ฉันไม่ได้ไปกับยาคุชินะ คือว่าวันนั้น เจสออกไปทะ..”
เจสสิก้าไม่ทันได้พูดว่า ‘ฉันไปทำธุระให้คุณพ่อที่ต่างจังหวัดค่ะ’ เธอก็หยุดพูด เมื่อเตชินท์พูดขึ้น “คุณพ่อบอกผมแล้ว..”
“คุณพ่อบอกอะไรคะ” เจสสิก้าถามสามี
“คุณไปทำงานที่ต่างจังหวัด ทำไมไม่บอกผม ผมจะได้ตามคุณไปด้วย”
เพราะผู้ใหญ่หลายคนฟังการสนทนาของเขากับยาคุชิ ซึ่งเตชินท์ไม่อยากให้เจสสิก้าเสียหายเป็นที่นินทาของแวดวงสังคมชั้นสูง เขาจึงพูดโกหกทั้งที่อยากรู้มากว่าภรรยาตัวเองหายไปไหนและไปกับใคร
“ฉะ ฉันขอโทษค่ะที่ไม่ได้โทรบอกคุณ” เจสสิก้าไม่อยากให้สามีเห็นความจริงที่เธอเก็บซ้อนไว้ เธอจึงแกล้งมองไปทางอื่น
หลังจากได้กินกิมจิรสเปรี้ยวก็ทำให้อาการพะอืดพะอมหายไป แต่มันก็มาอีกครั้งเมื่อได้ชิมเต้าหู้ทอด ซึ่งครั้งนี้เขาไม่ไหวแล้วจะอาเจียนเสียให้ได้ เตชินท์จึงยกมือขึ้นปิดปากไว้ “อุ๊บ!..”
อาการของสามีเหมือนจะอาเจียน ทำให้เจสสิก้าเป็นห่วง เธอจึงถามเขาว่า “ชินท์ คุณเป็นอะไรคะ..”
“เอ้ย! คุณเตชินท์เป็นอะไรเหรอ ทำไมคุณเตชินท์หน้าซีดจัง” ทุกคนต่างพากันถามชายหนุ่มเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อเห็นหน้าซีดไม่มีสีเลือดของเตชินท์
“ผมขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ” เตชินท์ลุกขึ้นยืน และก็โค้งคำนับเป็นการขออนุญาตจากแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งเขาไม่รอให้ท่านซูกิกอนุญาต เตชินท์ก็รีบร้อนเดินออกไป
“ชินท์รอฉันด้วยค่ะ” เจสสิก้าเรียกสามี พร้อมทั้งลุกขึ้นยืน
ด้านคุณหญิงซิกาโกะเห็นเตชินท์เดินไปไกลแล้ว เธอจึงบอกให้เจสสิก้ารีบตามไปดู “หนูเจสรีบไปดูคุณเตชินท์เถอะ..”
“ค่ะ หนูของตัวไปดูชินท์ก่อนนะคะ” เจสสิก้าไม่สนใจสายตาแดงก่ำของยาคุชิที่มองจะกินเลือดกินเนื้อเธอ ซึ่งเธอรีบเดินอย่างเร็วไปดูสามี…
ยี่สิบนาทีต่อมา..ทุกคนต่างหันไปมองเมื่อเห็นเจสสิก้าพยุงเตชินท์มายืนเกาะพนักเก้าอี้ ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิเป็นห่วงชายหนุ่มจึงถามว่า
“เป็นไงบ้างคุณเตชินท์ โอเคไหม?..”
เตชินท์หน้ายังซีด และถึงจะเสียพลังงานจากอาเจียนไปมาก แต่เขาก็ยังมีแรงเลื่อนเก้าอี้ให้เจสสิก้านั่ง แล้วชายหนุ่มก็นั่งข้างเธอ พร้อมทั้งพูดกับทุกคนว่า “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ..”
“น้ำเย็นค่ะชินท์” เจสสิก้าเอาน้ำเปล่าให้ชายหนุ่มดื่ม
“ขอบคุณครับ” เตชินท์จิบน้ำเย็นเล็กน้อย แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น เขาทำท่าจะอาเจียนเมื่อมองอาหารบนโต๊ะ
“แต่ดูแล้ว คุณเตชินท์ยังไม่ดีขึ้นเลยนะคะ” คุณหญิงซิกาโกะมองหน้าเตชินท์และหันไปยิ้มให้เจสสิก้า
“ผมก็ไม่รู้ครับ ว่าตัวเองเป็นอะไรอยู่ๆก็วิงเวียนหัวครับ ยิ่งได้กลิ่นอาหารพวกนี้แล้ว ผมเหม็นจนอยากจะอาเจียนเลยครับ” เตชินท์เล่าอาการที่เป็นให้ทุกคนฟัง
“อาการแบบนี้ผมเคยเป็นตอนคุณหญิงท้อง” ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิหัวเราะชอบใจเวลาพูดถึงอดีตตอนตัวเองแพ้ท้องแทนเมีย
“ค่ะ คุณลุงพูดอะไรคะ” ด้านเจสสิก้าตกใจในคำพูดของท่านซูกิ
“ก็อาการคนแพ้ท้องแทนเมียไงหนูเจส” คุณหญิงซิกาโกะพูดไปยิ้มไป
คำพูดของคุณหญิงซิกาโกะและท่านซูกิ ทำให้เตชินท์ไอสำลักน้ำเย็นจนหน้าตาแดงก่ำ “แคร๊กกก มะ เมี่อกี้นี้คุณหญิงว่าอะไรนะครับ..”
“นี่ถ้าคุณโอชิรู้ว่าหนูเจสท้อง คงดีใจแย่ ป้าดีใจด้วยนะหนูเจส กี่เดือนแล้วจ๊ะ” คุณหญิงไม่ได้ตอบคำถามเตชินท์ แต่เธอกับหันไปพูดดีใจกับเจสสิก้า
ด้านเจสสิก้ารีบปฏิเสธเสียงสั่นเล็กน้อยว่า “ดะ เดี๋ยวค่ะ อย่าเข้าใจผิดกันสิคะ หนูไม่ได้ท้องค่ะ..”
“อ้าวหรอ ป้าก็นึกว่าคุณเตชินท์แพ้ท้องแทนหนูเจสเสียอีก ป้าขอโทษนะที่พูดไม่คิด” คุณหญิงยังสงสัยการอาการของเตชินท์
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณชินท์อาจจะเหนื่อยจากงานก็ได้ค่ะ” เจสสิก้าตอบคุณหญิง พลางแอบมองหน้ายาคุชิ ซึ่งชายหนุ่มก็จ้องตาเธอเขม่งเช่นกัน
“ใช่ครับ ผมเครียดเรื่องงานนะครับ” เตชินท์ผู้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภรรยา เขาไม่อยากดมกลิ่นอาหาร จึงกลั้นลมหายใจ จนหน้าตาแดงก่ำ
“แปลกจังอาการโอ๊กอ๊ากแบบนี้ เหมือนแพ้ท้องแทนเมียมากเลยนะคุณเตชินท์” เมื่อสีหน้าอาการมันฟ้อง ท่านซูกิจึงไม่หยุดพูด
“อย่าหาว่าฉันจับผิดคุณเลยนะคุณเตชินท์ อาการที่คุณเป็นเนี่ยเหมือนคนแพ้ท้องแทนเมียจริงๆนะคะ นี่ถ้าคุณมีภรรยาอีกคน ฉันคิดว่าภรรยาอีกคนของคุณคงท้องแน่ๆค่ะ” คุณหญิงซิกาโกะก็พูดเสริมเมื่อสามีพูดจบประโยค
ทุกคนหันไปมองเตชินท์และเจสสิก้าด้วยสายตาเดียวกัน จึงทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิดุภรรยา “คุณหญิง พูดอะไรของคุณนะ..”
คุณหญิงซิกาโกะหน้าซีด พูดเสียงเบาให้สามีได้ยินเพียงคนเดียวว่า
“ก็จริงนี่ค่ะ คุณจำเพื่อนของฉันได้ไหม เธอเป็นหมัน แต่สามีของเธอมีอาการแบบคุณเตชินท์นี่แหละ มารู้อีกทีสามีของเธอแอบไปมีภรรยาอีกคนค่ะ และภรรยาใหม่ของเขาก็ท้องจริงๆ..” ถึงคุณหญิงจะกระซิบคุยกับท่านซูกิ แต่เจสสิก้าก็ได้ยิน เธอจึงพูดเสียงเบาหวิวให้ทุกคนรับรู้ แล้วหันไปมองเสี้ยวหน้าของสามี
“คุณหญิงป้าพูดอะไรคะ คุณชินท์มีเจสคนเดียวจะแพ้ท้องแทนเมียได้ไงค่ะ จริงไหมคะชินท์..”
“..” เตชินท์เงียบพยักหน้าให้เจสสิก้าเมื่อได้จ้องตาคู่งาม คำพูดของคุณหญิงซิกาโกะทำให้เขานึกถึงเกวลิน ถ้าเจสสิก้าไม่ได้ท้อง แล้วอาการบ้าบอที่เขาเป็นนี้หมายความว่าไง
‘เครียดเรื่องงานเหรอ ไม่นี่ หรือว่าจะจริงอย่างที่คุณหญิงซิกาโกะพูด เขาแพ้ท้องแทนเมียเหรอ แล้วใครล่ะเมียเขาอีกคนถ้าไม่ใช่เกวลิน ไม่จริง! ผู้หญิงแพศยานั้นไม่มีวันท้องกับเขาแน่ ถึงเธอจะท้องเขาก็ไม่มีวันรับลูกชู้มาเป็นลูกของเขาแน่’ เตชินท์หน้าเครียดขรึมเมื่อนึกถึงเกวลินท้อง…
ประเทศไทย
วันเดียวกัน แต่เวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมง..
เกวลินในตอนนี้ เธอมีไซนัสและโทนี่ดูแลเอาใจใส่อย่างทะนุถนอมยิ่งกว่าไข่ในหิน ซึ่งเธออยากกินอะไรเธอก็ได้กิน ไม่ต้องคอยอดและกินแต่ของที่ไม่มีประโยชน์กับลูกในท้อง
“แน่ใจนะคุณเกว จะกินแกงกะหรี่นี่” ไซนัสเป็นห่วงคนท้อง ไม่อยากให้กินอีก เพราะหลายวันก่อนเธอวิ่งเข้าห้องน้ำอาเจียนจนเป็นลมไปก็เพราะได้กลิ่นเครื่องแกงกะหรี่นี่แหละ
“กลิ่นหอมจังน่ากินมากค่ะ” เกวลินพยักหน้าให้ไซนัส เธอจำได้แม่นยำว่ามีใครคนหนึ่งชอบกินแกงนี้มาก ส่วนเธอนะเหรอ..ไม่เคยชอบเลยสักนิด
“ผมว่าคุณอย่ากินเลยครับ ขืนกินเดี๋ยวก็อาเจียนจนเป็นลมอีกหรอก” ไซนัสห้ามเมื่อเห็นเกวลินตักแกงกะหรี่
“ฉันอยากกินค่ะ” คนท้องน้ำตาไหลเมื่อถูกขัดใจ
“เอ้า กินก็กินครับ โทนี่ตักแกงกะกรี่ให้คุณเกวสิ” ไซนัสเมื่อเห็นเกวลินร้องไห้ ชายหนุ่มก็รีบพยักหน้าให้ชายคนรักตักอาหารให้คนท้อง
“งั้นก็ค่อยๆกินนะครับ” โทนี่ทำตามไซนัสบอก
“อื้อ อร่อยมากค่ะ หอมเครื่องแกงมากเลย คุณโทนี่คุณไซนัสกินสิคะ มะ เดี๋ยวฉันตักแกงจืดวุ้นเส้นให้นะคะ” คนท้องตักอาหารให้ชายหนุ่มสองคน
“แปลกจัง ทำไมถึงกินได้ ทั้งที่หลายวันก่อนคุณห้ามเราไม่ให้เอาแกงกะหรี่ขึ้นโต๊ะ” ไซนัสพูดพลางช่วยตักแกงกะหรี่ให้หญิงสาว
“คนแพ้ท้องนะคุณ เดี๋ยวกินได้เดี๋ยวกินไม่ได้ แม่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนแม่ท้องผม” โทนี่หยุดพูดเมื่อไซนัสพูดแทรกขึ้นว่า
“ไงต่อครับ เล่ามาสิ ผมอยากรู้ว่าคนแพ้ท้องเป็นไง..”
ด้านโทนี่พูดต่อว่า “ตอนที่แม่ท้องผม แม่จะชอบกินอาหารจานโปรดที่พ่อผมชอบมาก ส่วนพ่อผมก็จะชอบกินอาหารจานโปรดของแม่มาก..”
“แปลกมาก” ไซนัสทำหน้าตื่นเต้น
“ใช่ แปลกมาก คุณรู้ไหม อาหารจานโปรดที่พ่อผมชอบกิน พ่อกลับเกลียดและกินไม่ได้เลย กินเข้าไปทีไรก็อาเจียนทุกที” โทนี่บอกไซนัส
“แล้วแม่ของคุณก็กินอาหารจานโปรดของท่านไม่ได้เช่นกัน กินทีไรก็อาเจียนจนหมดใส้หมดพุงเหมือนคุณเกวใช่ไหม” ไซนัสพูดกับโทนี่ แต่เขากลับเอียงหางตามองคนท้อง
“แม่ผมบอกว่า พ่อแพ้ท้องแทนเมียนะ” โทนี่พูดและก็กินข้าวไปด้วย
“ผมอยากรู้จังว่าสามีของคุณเกวจะแพ้ท้องแทนเมียไหมนะ” ไซนัสพูดโดยไม่ได้คิด
“ไซนัส คุณพูดอะไรของคุณ” โทนี่ทำเสียงดุ แล้วสะกิดให้แฟนหนุ่มมองคนท้อง ซึ่งเกวลินนั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร
“คุณเกว คือเราไม่ต้องการรู้เรื่องของคุณหรอกนะ” ไซนัสปากกับใจไม่ตรงกัน ซึ่งเขาอยากรู้มากว่าทำไมเกวลินถึงเลิกกับสามี แล้วทำไมไอ้ผู้ชายคนนั้นถึงทิ้งเธอทั้งที่เธอท้อง
“ฉันขอตัวนะคะ” เกวลินไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ชายสองคนนี่รู้ แม้พวกเขาจะพยายามพูดถึงผู้ชายที่ทำให้เธอท้อง แต่เธอก็ไม่เคยปริปากเอ่ยถึงผู้ชายใจดำคนนั้นสักครั้งเดียว…
ประเทศญี่ปุ่น..
อะซูมเคาะประตู และเมื่อคนข้างในอนุญาต เขาก็เปิดประตูห้องแล้วเดินไปยืนกลางห้อง เอ่ยถามเจ้านายว่า
“คุณเตชินท์ให้เด็กไปตามผมมีอะไรให้ผมทำเหรอครับ?..”
ด้านเตชินท์นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังแท้หันหลังให้โต๊ะทำงาน เสียงของลูกน้องถาม เขาจึงหมุนเก้าอี้เข้าหาโต๊ะทำงานชี้มือไปที่เก้าอี้ “นั่งสิ..”
อะซูมทำตามเลื่อนเก้าอี้ตรงข้ามนายจ้างที่มีโต๊ะทำงานขั้นระหว่างกลาง อะซูมนั่งพร้อมทั้งถาม เมื่อเตชินท์พยักหน้าให้เขาดูซองสีน้ำตาล
“อะไรครับ..”
“เปิดดูสิ” เตชินท์บอก พร้อมเอนหลังพิงเบาะเก้าอี้ทำงาน แขนสองข้างยันที่รองแขน มือก็ประสานกันไว้ มองลูกน้องทำหน้าสงสัย
อะซูมแกะซองสีน้ำตาล เมื่อเห็นของสำคัญสองเล่ม เขาก็ดีใจมาก
“พาสปอร์ตไทย..”
“น้าดวงและนายไม่ใช่คนเถื่อนอีกต่อไปแล้วนะ” เตชินท์ก็ดีใจ ที่ทำให้สองแม่ลูกได้มีสัญญาติ
“คุณเตชินท์ทำยังไงครับถึงได้เอกสารสำคัญนี้มา” อะซูมถามเพราะเขาพยายามมาตลอดชีวิต ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้ แม้แต่โอชิเจ้านายเก่าแก่ก็ไม่เคยคิดช่วยเหลือเขาเลย
“ท่านนายกรัฐมนตรีซูกิไง” เตชินท์บอกลูกน้อง
“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณเตชินท์ยังไงครับ” อะซูมไม่หยุดขอบคุณเจ้านาย
“นายจะพาแม่ของนายไปเมืองไทยตอนไหนก็บอกฉันนะ ฉันจะได้ให้คนของฉันที่อยู่เมืองไทยจัดการหาที่พักให้” เตชินท์บอกลูกน้องอีกครั้ง
“นี่ถ้าแม่รู้ แม่คงจะดีใจมาก ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณเตชินท์อย่างไงดี ถ้าคุณเตชินท์มีเรื่องอะไรอยากให้ผมทำคุณเตชินท์นึกถึงผมเป็นคนแรกนะครับ” อะซูมสัญญากับตัวเองในใจว่า จะทำงานเป็นลูกน้องจงรักภัคดีกับเตชินท์ตลอดไป
“อื้อ” เตชินท์พยักหน้าพลางเอายาดมมาจ่อปลายจมูก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเวียนหัวและอยากจะอาเจียนขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“คุณ เตชินท์ยังดมยาดมอยู่เหรอครับ” อะซูมถาม เมื่อเห็นเจ้านายเอาแต่ดมยาหอมลม
“มันช่วยฉันได้มากเลยไอ้ยานี่” เตชินท์บอกพร้อมทั้งเกยหัวบนพนักเก้าอี้ ดวงตาสีเข้มมองเพดานค่อยๆหลับลงเมื่ออาการหนักขึ้นเรื่อยๆ
อะซุมมัวตื่นเต้นดีใจจนลืมของที่แม่ฝากมาให้เตชินท์ แต่เมื่อเห็นอาการเหมือนจะเป็นลมของชายหนุ่ม เขาก็พูดว่า
“เกือบลืมครับ นี่ของฝากจากแม่ผมครับ..”
“อะไรเหรอ” เตชินท์ถามพลางผงกหัวขึ้นมองถุงกระดาษ
“มะม่วงครับ แม่ผมดองเองกับมือเลยนะครับ” อะซุมบอกเจ้านายว่าแม่ได้เก็บมะม่วงหน้าห้องพักมาดองแบบคนไทยชอบดองกินกัน
“อื้อ นี่ฉันนึกอยากกินของเปรี้ยวๆอย่างนี้มาหลายวันแล้วนะ แต่หากินไม่ได้สักที บอกน้าดวงพรด้วยนะ ฉันขอบคุณมาก” เตชินท์น้ำลายแตกเต็มปาก ตาคู่เข้มลุกวาวมองมะม่วงดอง
อะซุมเบ้หน้าเมื่อเห็นเจ้านายกินมะม่วงเปรี้ยวเหมือนกินของหวาน ซึ่งเขากลืนน้ำลายตามแล้วบอกจะบอกเจ้านายว่า ‘เดี๋ยวผมจะเอามะม่วงกวนมาให้กินครับ’ แต่เขาก็ไม่ทันได้บอกเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ตื้ดดดดด!!!!..
เตชินท์หยิบมือถือมาดู เมื่อเห็นหน้าของภรรยาบนมือถือ เขาก็ทำหน้างง แต่ก็กดรับแล้วบอกเธอว่า “คุณเจส อีกห้านาทีไปเจอกันที่ลานจอดรถนะครับ..”
“อ้าว ทำไมครับ ไหนคุณบอกว่าจะไปกินข้าวเที่ยงกับคุณพ่อไม่ใช่เหรอครับ” เตชินท์ถามเมื่อภรรยาโทรมายกเลิกไปกินข้าวที่บ้านของโอชิ
“อ้อเหรอครับ แล้วคุณอยากให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ” เตชินท์ลุกขึ้นเดินไปยืนคุยโทรศัพท์ตรงหน้าต่างบานใหญ่ สายตาก็มองความร้อนระอุผ่านบานกระจกหน้าต่าง
“โอเคครับ งั้นคุณไปทำธุระคุยงานกับลูกค้าเถอะ” เตชินท์ไม่ได้เซ้าซี้ถามนั้นถามนี้ เมื่อภรรยาปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไปด้วย
เตชินท์ยิ้มมุมปาก เมื่อเจสสิก้าเป็นห่วง ซึ่งชายหนุ่มก็บอกเธอไปตามสายว่า “ครับ เดี๋ยวผมจะให้อะซุมจัดการให้ครับ..”
“ครับ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ” เตชินท์พยักหน้าใส่มือถือแล้วปิดเครื่องสื่อสารทันที
เมื่อเจ้านายวางสายแล้ว แต่เขายังยืนหันหลังให้ไม่ยอมพูดอะไร อะซุมที่พอจะเดาได้ว่าใครโทรมากก็ถามเจ้านายว่า
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณเตชินท์..”
“คุณเจส เธอโทรมาบอกว่าไปพบลูกค้านะ” เตชินท์บอกเสียงเรียบ
“อ้าวเหรอครับ ก็เมื่อกี้นี้ผะ..” ถึงจะเห็นอะไรมา แต่อะซุมก็ไม่พูดเรื่องของนายหญิง
เตชินท์เดินกลับมานั่งเก้าอี้ เขาโยนมือถือพร้อมถามลูกน้องว่า
“เมื่อกี้นี้ทำไมเหรอ?..”
“มะ ไม่มีอะไรครับ” อะซูมรู้มาสักระยะแล้วว่าเจสสิก้ากับยาคุชิคบชู้กัน เขาสองจิตสองใจที่จะบอกเจ้านายเรื่องที่เห็นวันนี้ ซึ่งเขาเห็นเจสสิก้าและยาคุชิยืนกอดจูบกันอยู่ห้องทำงานของยาคุชิ
“นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ” เตชินท์ไล่ลูกน้อง
“ครับ” อะซุมลุกขึ้นโค้งคำนับหน้าตาเคร่งเครียดรู้สึกเห็นใจเจ้านายที่ถูกภรรยาสวมเขาให้
“เดี๋ยว!..”
“ครับ” อะซูมขานรับทันทีเมื่อเจ้านายเรียก
“นายช่วยสั่งอาหารเที่ยงให้ฉันด้วยนะ เอาแบบจานเดียวเร่งด่วนเลยนะ” เตชินท์บอกลูกน้อง
“ให้แม่ผมขึ้นมาทำให้กินไหมครับ” อะซุมถาม
“ถ้าฉันจะลงไปกินที่บ้านพักของนาย นายจะว่าฉันไหม” เตชินท์ไม่ตอบคำถาม แต่เขากลับเป็นฝ่ายถามลูกน้อง
“ผมยินดีครับ เดี๋ยวผมโทรบอกแม่ก่อนนะครับ” อะซุมกระตือรือร้นเอามือถืออกจากกระเป๋ากางเกงโทรหาแม่ของตัวเอง
“ดีเหมือนกัน นี่ฉันนึกอยากกินผัดไทยเส้นใหญ่มากเลย นี่ถ้าใส่น้ำตาลเยอะๆน้ำส้มสายชูสักหน่อย คงจะหวานอมเปรี้ยวน่าดู นึกแล้วน้ำลายก็แตกเต็มปากเลย”
เตชินท์ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงอยากกินอาหารจานโปรดของเกวลิน เมื่อวันก่อนเขาก็บอกให้น้าดวงพรทำผัดเปรี้ยวหวานให้กิน ซึ่งก็เป็นอาหารจานโปรดของเกวลินอีกนั้นแหละ
‘บ้าเอ้ย ทำไมเราต้องนึกถึงเธอด้วยนะ ผู้หญิงสารเลว ฉันเกลียดเธอที่สุด’
เตชินท์โยนความเลวร้ายให้เกวลิน ซึ่งในความรู้สึกของเขาแล้วเขายังคิดถึงถวิลหาเธออยู่ทุกลมหายใจเข้าออก…