ขอร้องฉันสิ

1113 Words
“หก...” รัญญ์ยังคงนับเลขอย่างไม่รู้สึกรู้สา ซ้ำมาโมรุที่กรอกหูอยู่ข้างๆ นั้นทำเอาชนิณสับสนเหลือเกิน “เหลืออีกห้าวินาทีครับ” “ถ้าผมเซ็น คุณต้องบอกให้พี่รัญญ์ปล่อยแม่ผมไป” “เซ็นสิครับ” “ห้า...” หลายเสียงที่ดังขึ้นกดดันเขาเหลือเกิน สถานการณ์หลายอย่างบีบคั้นให้ชนิณต้องตัดสินใจจรดปลายปากกาลงไป เซ็นชื่อตัวเองพร้อมกับปั๊มลายนิ้วมือเมื่อถูกมาโมรุบอกแกมบังคับ แค่ลายเซ็นอย่างเดียวคงไม่พอที่จะเป็นหลักประกัน ต้องเอาลายนิ้วมือด้วยสินะ ชนิณกระแทกปิดแฟ้มเต็มแรง ใจจริงอยากจะหยิบมันขว้างใส่รัญญ์นัก ขณะที่พี่ชายร่วมบิดาหยุดนับเลขแล้วออกคำสั่ง “พวกนายเฝ้าแม่นั่นไว้เฉยๆ พอ อย่าให้ใครเข้าออกนอกเหนือจากทีมแพทย์” เสียงจากโทรศัพท์ดังตอบรับมา ชนิณมองก็โล่งใจที่เห็นว่าปืนกระบอกนั้นถอยห่างจากข้างขมับมารดาเขาแล้ว แต่ไม่สบายใจนักที่คนของรัญญ์ยังอยู่ที่นั่นด้วย “ไม่ต้องกังวลครับ คุณรันมารุจะไม่ออกคำสั่งใดๆ ถ้าคุณทำให้เขาพอใจ” มาโมรุปลอบ...หรืออาจจะไม่ใช่ แค่บอกแนวทางในการวางตัวเท่านั้น ส่วนรัญญ์ก็ยิ้มกริ่มอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนตัวเองอย่างง่ายดาย ถึงชนิณจะดื้อรั้นสักหน่อย แต่ก็ถือว่าการเจรจาประสบผลสำเร็จ “ฉันเป็นเจ้าชีวิตนายแล้วนะชนิณ” น้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้ชนิณเม้มริมฝีปากแน่น ถึงจะไม่รู้แน่ว่ารัญญ์ต้องการอะไรจากเขา แต่ก็พอจะคะเนได้ว่าเรื่องต่อจากนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ รู้แหละว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ชนิณมีอำนาจต่อรองอะไรในตอนนี้ไหมล่ะ ชีวิตมารดาอยู่ในกำมือของรัญญ์แล้ว เมื่อครู่มาโมรุเองก็บอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาว่าจะทำให้รัญญ์พอใจหรือไม่ เขาคงต้องทำตามคำสั่งรัญญ์ทุกประการอย่างไม่มีทางเลือก...และไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่เช่นกัน ก็ในสัญญามันไม่ได้ระบุนี่นา ตอนที่เขาเซ็นก็เป็นไปเพราะสถานการณ์กดดันและเวลาเร่งเร้า หากมัวแต่ถามนั่นนี่ ป่านนี้มารดาเขาคงโดนระเบิดหัวเป็นจุณแล้ว “สัญญานี่จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ครับ” มีโอกาสก็เปิดปากถาม รัญญ์ว่าเนิบๆ “เมื่อฉันพอใจ” เป็นคนที่พูดอะไรไม่คิด ซ้ำยังกำปั้นทุบดินดีเหลือเกิน “สรุปง่ายๆ ก็คือถ้าผมทำให้พี่พอใจ พอพี่เบื่อ พี่ก็จะปล่อยผมกับแม่ไปใช่ไหม” “ก็ลองทำให้ฉันพอใจสิ” ตอบไม่ตรงคำถาม ชนิณจึงทึกทักเอาว่าเป็นอย่างนั้น แต่เขาจะทำให้รัญญ์พอใจได้อย่างไรล่ะในเมื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารัญญ์ต้องการเป็นเจ้าชีวิตเขาทำไม “พี่รัญญ์อยากให้ผมทำอะไร” “เป็นทาสของฉัน” “ฮะ?” “เรียกฉันว่านายท่านสิ” หัวคิ้วเข้มของผู้เป็นน้องย่นยู่เข้าหากันเป็นปม ฟังดูทะแม่งๆ แปลกๆ แต่ก็ยอมเรียกจนได้เมื่อมาโมรุพยักหน้าเป็นเชิงให้ทำตามสั่ง “นาย...ท่าน” เรียกไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก แต่รัญญ์ก็ได้ยินชัดเจน พลันพยักหน้าเล็กน้อย “คลานเข่ามาหาฉัน” เรียวคิ้วที่เกือบจะผูกกันเป็นปมอยู่แล้ว วินาทีนี้แทบกลายเป็นเส้นเดียวกัน ถึงเขาจะไม่ฉลาดและเก่งกาจพอที่จะรู้ทันเล่ห์กลต่างๆ ในการบริหารธุรกิจ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะอ่านสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ออก รัญญ์โผล่เข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อแลกกับการเป็นเจ้าชีวิตเขา ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวแน่ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อชายหนุ่มว่าขึ้นอีกครั้ง “คลานมาสิ มาหมอบแทบเท้าฉันให้เหมือนกับตอนที่แม่ฉันก้มหัวขอร้องแม่นายให้ช่วยพูดกับพ่อไม่ให้ไล่ฉันกับแม่ออกจากบ้าน” นั่นปะไร อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด แต่มันใช่เรื่องที่จะต้องมาลงที่เขากับมารดาไหม ในเมื่อคนต้นเหตุก็คือบิดาซึ่งลาโลกไปแล้ว! ชนิณคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล ในเมื่อรัญญ์คิดแค้นกับบิดา ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องมาแก้แค้นเขากับมารดาอย่างนี้ ตอนนั้นเขายังไม่รู้ความด้วยซ้ำ “มาเร็วเข้าเจ้าทาส ให้เจ้านายรอนาน ระวังปืนของเจ้านายจะลั่น” เห็นชนิณนั่งทื่ออยู่ที่เดิมก็ออกคำสั่งแกมขู่อีกครั้ง มือใหญ่กำแน่นจนปลายเล็บคมจิกลงบนผิวเนื้อ ระงับโทสะด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด ยอมลุกขึ้น เดินออกไปหน้าโต๊ะทำงาน คุกเข่าแล้วคลานเข้าไปหาอีกฝ่ายท่ามกลางสายตาของคนอื่น เขาไม่เคยรู้สึกอับอายอย่างนี้มาก่อนในชีวิต การถูกกดให้ต่ำอย่างไร้ศักดิ์ศรีทำให้ชนิณแทบจะระเบิดออกมา แต่เขาไม่ใช่คนที่อีคิวต่ำขนาดทนไม่ได้ ทำตามจนสุดท้ายก็ไปอยู่แทบเท้าของรัญญ์ เห็นใบหน้าคร้ามของน้องชายดูอึดอัดที่ถูกเหยียดหยาม รัญญ์ก็ยิ่งได้ใจ ยิ้มเยาะออกมาอย่างไม่ปิดบัง “คราวนี้ก็ขอร้องฉันสิ” “ขอร้องอะไรครับ” “ให้ฉันไว้ชีวิตแม่นาย” “ได้โปรด ไว้ชีวิตแม่ผมด้วยครับนายท่าน” การต่อต้านไม่ใช่วิธีที่ฉลาด น้ำเสียงแห้งผากจึงหลุดออกจากริมฝีปากหนา แต่แค่นั้น รัญญ์ยังไม่พอใจ “ขอร้องอย่างนี้เหรอ ก้มหัวลงไปซะแล้วพูดใหม่” “ผมว่าถึงขั้นต้องก้มหัว มันจะไม่ดูมากไปหน่อยเหรอครับ” “ก้มหัวลงไป” ท้วงยังไม่ทันจะสิ้นเสียงดี รัญญ์ก็ออกคำสั่งมาอีกแล้ว ชนิณลอบถอนหายใจออกมา ค่อยๆ กดศีรษะลงต่ำจนหน้าผากแนบติดอยู่บนพื้น ก่อนมีคำสั่งตามมาอีก “แล้วก็ขอร้อง” “ขอร้องล่ะครับนายท่าน ไว้ชีวิตแม่ผมด้วย” รัญญ์หัวเราะในลำคออย่างพอใจ ดึงขาข้างที่ยกไขว่ห้างลง ทว่าไม่ได้วางลงบนพื้น แต่เป็นท้ายทอยของชนิณ ออกแรงบดพื้นรองเท้าเล็กน้อย ขยี้ไปมาประหนึ่งบี้ก้นกรองบุหรี่ ความเจ็บแปลบแล่นพล่านเข้ามาจนชนิณต้องกัดฟันกรอด เขาพยายามที่จะเงยหน้าขึ้น แต่ก็ถูกรัญญ์กดลงไปอีก ทวีความเจ็บปวดมากขึ้น แล้วก็ตระหนักได้ว่าเขาควรอยู่เฉยๆ รอให้รัญญ์เลิกไปเองน่าจะดีกว่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD