หลังจากสะบั้นเยื่อใยกับคู่หมั้นของตนเป็นผลสำเร็จ แต่คนผู้หนึ่งแทนที่จะรู้สึกได้รับอิสรภาพคืนมา กลับรู้สึกเสมือนพลั้งมือทำสิ่งสำคัญหล่นหายไป
โจวอวี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นเพราะหมัดน้อยๆ นั่นกระมังที่ทำให้สตรีจืดชืดเริ่มน่าสนใจขึ้นมา ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักประดับรอยยิ้มอันเหมาะสมตลอดเวลาจนน่าเบื่อนั้น ยามมีโทสะจนตาโตแก้มพองเหตุใดถึงน่ามองกันเล่า?
หรือธาตุแท้ยามหลุดกิริยาเสแสร้งจะเป็นอีกคนที่น่าค้นหา
บ้าไปแล้ว...
เสแสร้งก็คือแกล้งมารยาสาไถย นางไม่จริงใจมิใช่หรือไร?
ภาพของสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามและเย้ายวนรวมถึงบุคลิกที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์ถูกแทนที่ด้วยสตรีสีหน้าบูดบึ้งจนตาโตน่าขัน
ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองแบบที่แตกต่างสุดขั้วคือสตรีคนเดียวกัน
ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองอยู่เช่นนั้น กระทั่งบ่าวชายบรรจงลงน้ำหนักมือตรงบาดแผลนั่นล่ะเขาจึงได้สติกลับมา
“โอ๊ะ! เจ้า เบาๆ หน่อย”
“ขอรับๆ”
โจวรั่วหวาที่นั่งมองคนมีสภาพไม่ต่างจากไปกัดกับหมาป่ามาอยู่เป็นนานก่อนถอนหายใจกล่าวอย่างอดมิได้
“พี่รองทำเกินไปจริงๆ เป็นใครจะทนได้กัน”
หากเป็นนาง ได้เห็นคู่หมั้นของตนพาหญิงอื่นไปเดินเที่ยวย่ำราตรีแบบนั้นก็ย่อมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกันนั่นล่ะ
เพียงแต่นางคงทำได้แค่สะบัดหน้าหนีมาร้องไห้คนเดียว ไหนเลยจะลงมือลงเท้าได้เช่นนั้น เว่ยลี่เป็นสตรีเช่นใดกัน เหตุใดเรี่ยวแรงเยอะประดุจวัวลา เอ๊ะ! หรือว่าม้าศึก
โจวรั่วหวาเริ่มสับสนและเริ่มทนมองบาดแผลสีแดงน่ากลัวของพี่ชายไม่ไหว จึงโพล่งออกมา “ข้าไปดีกว่า ท่านอย่าลืมค่าจ้างวันลอยโคมด้วยล่ะ ข้าถือว่าช่วยท่านจนงานสำเร็จแล้ว ห้ามเบี้ยว”
โจวอวี่หลับตาสูดปาก โบกมืออย่างตัดรำคาญ “รู้แล้ว”
แท้จริงเพื่อจัดการถอนหมั้นกับเว่ยลี่ โจวอวี่ที่ไม่เคยมีหญิงอื่นถึงขนาดว่าจ้างให้น้องสาวสวมรอยยืนลอยโคมด้วยกันอย่างหวานชื่น
ครั้นพอทำสำเร็จกลับรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ
โจวอวี่ปัดความรู้สึกนั้นไปขณะเอ่ย “อ้อ...ช้าก่อนรั่วหวา”
แม่นางน้อยหันมา “อันใด?”
โจวอวี่หันมอง “ฝากขอบคุณอนุสุ่ยด้วยที่อนุญาตให้ข้าพาบุตรสาวสุดรักสุดหวงออกไปนอกเรือนยามราตรี”
นางยิ้ม “มารดาข้าใจกว้างดุจแม่น้ำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
โจวรั่วหวาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนค่อยๆ เอ่ย “อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ชอบเว่ยลี่ผู้นั้น” พูดพลางทำปากยื่น “นางชอบทำตัวงดงามสูงส่งเกินหน้าเกินตายิ่งนัก หากพี่รองไม่ทำเช่นนี้นางมีหรือจะยอมถอดใจจากท่านจนเผยธาตุแท้ออกมา ถอนหมั้นกันก็ดี หึ!”
ชายหนุ่มพลันยิ้มบางพลางโบกมือให้นางไปได้
โจวรั่วหวาจึงเดินจากไปและปิดประตูให้
เมื่อภายในห้องไม่มีผู้อื่น ลู่ซี บ่าวชายคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจผู้เป็นนาย
“คุณชายรอง สาเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ทุกสิ่งก็เพื่อแม่นางซุน ใช่หรือไม่ขอรับ? ท่านกลัวว่าหากแต่งแม่นางอ่อนหวานบอบบางเข้ามาจะต้องเจอศึกหนักหลังเรือนใช่หรือไม่ขอรับ”
ดูเถิด แต่ละคนในจวนสกุลโจว น่ากลัวน้อยเสียที่ไหน แค่คุณหนูโจวรั่วหวาที่เป็นเพียงลูกอนุผู้หนึ่งก็เกินพอแล้วกระมัง
ขนาดยังไม่นับรวมลูกอนุคนอื่นๆ และฮูหยินเอกคนใหม่กับคุณชายใหญ่นะ
ลู่ซีถอนหายใจเอ่ยต่ออีกว่า “แต่เห็นได้ชัดว่าแม่นางซุนมิใช่สตรีอ่อนแอปานนั้น หากได้แต่งนางเข้ามาจริงๆ ท่านย่อมไร้กังวล ช่างน่าเสียดายเหลือเกินขอรับ”
โจวอวี่แค่นเสียงเย็น “ข้าไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต หากแต่งนางเข้ามา ไยมิใช่กักขังสตรีผู้หนึ่งเอาไว้อย่างไร้คุณธรรม ต่อให้ไม่รักก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายกันถึงขั้นนั้นมิใช่หรือไร”
ลู่ซีแย้งว่า “ท่านในฐานะสามีย่อมพานางติดตามไปด้วยได้ มิใช่หรือขอรับ”
โจวอวี่ใช้ด้ามพัดตีศีรษะของคนสนิทไปหนึ่งที
“เจ้าโง่รึ? ข้าต้องการไปเป็นทหารนะ จะพาภรรยาแบบบางอ่อนแอติดตามได้หรือไร”
ลู่ซียกมือกุมศีรษะอย่างเจ็บปวด สีหน้าเหยเก ยิ้มประจบ “ข้าผิดไปแล้วขอรับคุณชายรอง”
แท้จริงคุณชายอย่างโจวอวี่ที่แม้ตนเกิดมาในตระกูลผู้ดี บรรพบุรุษเป็นมหาบัณฑิตหลายรุ่น มีท่านอาเป็นถึงฮองเฮา มีบิดาเป็นเสนาบดีรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่คนกลับไม่เคยชื่นชอบการอ่านตำราปราชญ์เพื่อสอบขุนนางฝ่ายบุ๋น เขาฝักใฝ่เส้นทางสายบู๊ อยากเป็นทหารกล้ามาโดยตลอด
แรกเริ่มชายหนุ่มอาจยังไม่ชัดเจนถึงเป้าหมายนี้ แต่เมื่อมารดาตายได้เพียงหนึ่งเดือนและบิดาที่มีอนุเต็มเรือนกลับพาภรรยาลับพร้อมบุตรชายที่มีอายุแก่กว่าเขาเข้าเรือนมาพร้อมมอบฐานะฮูหยินเอกให้อีกฝ่ายเบ็ดเสร็จอย่างไม่สนใจคำครหาทัดทาน เขาถึงได้กระจ่างใจว่าไม่อาจอยู่ร่วมชายคากับคนบ้านนี้ได้อีกต่อไป ในเมื่อตอนนี้แก้ปัญหาคู่หมั้นได้แล้วคนย่อมสมควรจากไปเสียที
ชั่วขณะคิดการณ์อย่างละเอียดรอบคอบและถ้วนถี่ในเรื่องการเดินทางออกจากจวนสกุลโจว เสียงบ่าวชายพลันดังอยู่หน้าประตูห้องอย่างตื่นลน
“เรียนคุณชายรอง ท่านเสนาบดีเรียกพบขอรับ”
ลู่ซีรีบเก็บตลับยาใส่กล่องไม้หันมากล่าวกับผู้เป็นนายอย่างตื่นเต้น “ย่อมเป็นเรื่องคุณหนูซุนแน่นอนขอรับ”
โจวอวี่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “ต้องใช่อยู่แล้วน่ะสิ”
ถึงขนาดกลับจากสำนักพระราชวังเร็วกว่าที่คิดเชียวหรือ บิดาใจร้อนใช่ย่อย เขายังไม่ทันเก็บสัมภาระเลย
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน กางแขนออกให้คนสนิทจัดเสื้อผ้าให้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินสง่าออกจากเรือนไปอย่างผ่าเผย