บทที่4(100%)

1821 Words
ฟ่านเสิ่น’ ผู้เป็นพี่ชายของฟ่านเฉินเป็นผู้มาเจรจาแทนผู้เป็น ‘นายท่าน’ และ ‘น้องชาย’ เสียเอง ได้ฟังเช่นนั้นเผยหว่านอีจึงจัดแจงคิดราคาสินค้าทั้งหมดด้วยความรวดเร็วเพราะฝนเริ่มลงเม็ดเทลงมาหนาขึ้นมากแล้ว คราวแรกรับเงินแล้วนางเตรียมห่อของเสร็จแล้วก็เตรียมจะยกไปส่งให้ถึงสำนักคุ้มภัยซ่างหาน ทว่าคนสวมหน้ากากนั้นเขากลับปฏิเสธแล้วให้คนของตนเองมาช่วยกันขนข้าวของทั้งหมดไปเสียเอง “ท่านลุงใจดียิ่งนักขอบพระคุณนะเจ้าคะ” เด็กน้อยกล่าวขอบคุณ ‘ท่านลุงสวมหน้ากากปีศาจ’ ที่ดูภายนอกอีกฝ่ายนั้นคล้ายกับจะน่าหวาดกลัว ทว่าเด็กน้อยมองออกว่าเขามีกลิ่นอายของความ ‘ใจดี’ มากกว่าจะเป็นมนุษย์ ‘ใจเหี้ยม’ ดังหน้ากากที่สวมอยู่เลยสักนิด “ฝนทำท่าว่าจะตกแล้ว และคงตกหนักเช่นนี้ไปอีกนาน แล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกจะกลับเช่นไร” หานเฟยฉีรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงแก้มกลมสีชมพูระเรื่อตัวน้อยตรงหน้านัก ไหนจะปากจิ้มลิ้มนั่นอีก ทั้งปาก จมูก คิ้ว คาง ราวกับถอดพิมพ์เดียวกับผู้เป็นมารดาก็มิปาน เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นมารดากับบุตรสาวที่ช่างเหมือนกันได้มากถึงเพียงนี้ก็ครานี้แหละ “ประเดี๋ยวข้าจะฝากเสี่ยวหว่าเอาไว้กับเถ้าแก่เนี้ยร้านสมุนไพรเสวียนนี้ก่อน ส่วนข้านั้นจะขอแยกไปซื้อของก่อนรอจนฝนหยุดจึงค่อยกลับเจ้าค่ะ” เผยหว่านอีตอบ ‘นายท่านหาน’ ด้วยกิริยาสงบเสงี่ยม และแน่นอนนางย่อมวางตนเองด้วยความระมัดระวังตามประสาสตรีซึ่งเป็นหญิงหม้ายที่ต้องวางตัวให้ดีเสียยิ่งกว่าคุณหนูซึ่งยังมิได้แต่งงานออกเรือนเสียอีก “แล้ว? …” คราวแรกหานเฟยฉีอยากจะสอบถามว่าแล้วสามีของนางหายศีรษะไปที่ใด จึงปล่อยบุตรสาวและภรรยามาลำบากลำบนค้าขายแตกแดดตากฝนโดยไร้เงามาเหลียวแล แต่คิดอีกครั้งนั่นมันเป็นส่วนตัวเรื่องภายในครอบครัว เขาเป็นคนนอกเพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้องก็หาใช่ไม่จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวของนาง “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน อ้อ…หากพรุ่งนี้ยังมีผักอีกก็ตัดมาได้เลย ประเดี๋ยวข้าจะให้พ่อครัวของสำนักคุ้มภัยมารับซื้อเอาไปเอง หน้าฝนแล้วหากให้แม่หนูน้อยอยู่กับคนที่บ้านของเจ้าคงจะดีกว่า เด็กยังเล็กยิ่งนักอาจเจ็บป่วยเป็นไข้เอาได้” สายตาที่มองผ่านหน้ากากนั้นดูห่วงใยอาทรบุตรสาวของนางด้วยใจจริง คาดว่าบางที‘นายท่าน’ ผู้นี้อาจจะนึกไปถึงบุตรสาวที่จวนของเขาก็เป็นได้จึงเมตตามาถึงบุตรสาวของนางเช่นนี้ “ขอบคุณนายท่านหานที่เมตตา พรุ่งนี้หากฝนยังตกอยู่ข้าจะให้เสี่ยวหว่าอยู่ที่เรือนกับท่านยายของนางเจ้าค่ะ” หญิงสาวโค้งกายเป็นการขอบคุณจากใจจริง เพราะอีกฝ่ายดูไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่เขาเมตตาบุตรสาวของนางจากใจจริง ซึ่งเขาก็เพียงก้มศีรษะตอบแล้วจึงเดินจากไปเช่นลูกค้าไร้ร่องรอยคิดไม่ซื่อกับนางสักน้อย พอถึงเดือนหกเข้าฤดูฝนและเข้าสู่หน้าเพาะปลูกของหนานฉู่อย่างจริงจังแล้ว ดังนั้นวันนี้กว่าจะจับจ่ายข้าวของเสร็จแล้วรอจนฝนหยุดตกจริงก็เลยยามอู่ไปครู่ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดของสุ่ยโจวนั้นต่างบ่นกันพึมพำว่าฝนตกเช่นนี้ราวกับจะกลั่นแกล้งเหล่าพ่อค้าแม่ขายอย่างไรอย่างนั้น “เอาสมุนไพรนี่ไปต้มให้เสี่ยวหว่าดื่มกันเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่านะหว่านอี โดนฝนจนผมเปียกประเดี๋ยวจะมีไข้เอาได้” เถ้าแก่เนี้ยเสวียนจัดยาสมุนไพรให้สองแม่ลูกได้ติดเอาไปต้มดื่มตามประสาคนที่เคยเลี้ยงลูกเล็กมาก่อน จึงอยากให้เผยหว่านอีเอายาสมุนไพรต้มให้เด็กหญิงได้ดื่มกินป้องกันไข้หวัดเอาไว้ก่อน “ลำบากเถ้าแก่เนี้ยเสวียนยิ่งนัก” เผยหว่านอีโค้งกายแล้วโค้งกายอีกด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายมอบให้นางกับลูกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นหยูกยาของมารดา หากเป็นนางซื้อสองสามีและภรรยานั้นแทบจะไม่เก็บเงินจนนางนั้นต้องยัดเยียดให้เสมอ แต่ส่วนใหญ่ทั้งสองมักขอเป็นผักและขนมหรือไม่ก็ของที่นางทำขายเสียแทนที่จะรับเงิน “ลำบากอันใดกันเล็กน้อยทั้งสิ้น” เถ้าแก่เนี้ยเสวียนกล่าวจากใจจริง เพราะหลายเดือนผ่านมาสองแม่ลูกคู่นี้ทั้งเป็นคนดีเป็นคนขยันขันแข็ง คนเช่นนี้สมควรส่งเสริมหรืออย่างน้อยนางได้ ‘แบ่งปัน’ ให้สองแม่ลูกแซ่เผยบ้างนางกับสามีก็ล้วนมีความสุขแล้ว นางอายุมากแล้วจะตายวันไหนยังไม่ทราบ แต่บัดนี้ยังมีชีวิตแล้วได้ช่วยเหลือคนดีสักคนหรือสักครอบครัวนางย่อมสบายใจอย่างยิ่ง “เช่นนั้นหว่านอีกับเสี่ยวหว่าขอตัวกลับ ‘บ้าน’ ก่อนนะเจ้าคะ วันนี้เลยยามอู่แล้วเป็นห่วงท่านแม่นางอยู่ผู้เดียวอากาศมืดครึ้มดวงตาของท่านแม่จะยิ่งแย่ลงมากมองอันใดไม่เห็นเลยเจ้าค่ะ เสี่ยวหว่าขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยเสวียนก่อนเร็ว” “หว่าหวาขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยเสวียนเจ้าค่ะ” “เด็กดีเร่งกลับบ้านเถิดประเดี๋ยวฝนจะเทลงมาอีก” ล่ำลาเถ้าแก่เนี้ยเสวียนเสร็จแล้วก็เป็นเช่นทุกวัน เผยหว่านอีเข็นรถโดยมีลูกสาวตัวน้อยขี่หลังซึ่งพอได้จังหวะเหมาะเจ้าตัวน้อยก็สามารถหลับสนิทได้โดยไม่ตกเสียด้วย วันนี้ของถูกเหมาจนเกลี้ยงอารมณ์ของคนเป็น ‘ท่านแม่จ๋า’ จึงเข็นรถไปก็ร้องเพลงไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยสำหรับนางหายได้ก็เพียงเห็นของที่ทำขายหมดเกลี้ยงเช่นนี้ “มากันแล้วหรือ?” วันนี้นางเฉียวซื่อถือร่มมารอรับบุตรสาวกับหลานด้วยความเป็นห่วงเป็นใยด้วยเห็นว่าวันนี้ฝนตกเสียเกือบหมดไปครึ่งวัน พอนางนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงของล้อรถเข็นอันคุ้นเคยดังมาแต่ไกลจึงเร่งเอ่ยถามออกมา “เจ้าค่ะ เดี๋ยวรถเข็นทิ้งเอาไว้ตรงนี้ก่อน เนื้อตัวและผมตลอดจนเสื้อผ้าของเสี่ยวหว่าเปียกคงต้องปลุกขึ้นมาหาน้ำอุ่นเช็ดตัวแล้วเคี่ยวตัวยาสมุนไพรกันไข้หวัดให้ดื่มเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะท่านแม่” เผยหว่านอีนั้นหันไปบอกกล่าวกับมารดาทุกสิ่งแล้วอุ้มคนหลับไปนอนบนเตียงก่อนจะไปติดเตาไฟหนึ่งต้มน้ำอุ่นสองตั้งหม้อดินเคี่ยวตัวยาสมุนไพรที่ได้มา ไม่นานนางก็ได้น้ำอุ่นมาหนึ่งอ่างทองเหลืองแล้วมาปลุกเผยหว่าหวา เด็กน้อยง่วงจนตาแดงแต่ด้วยมารดาสั่งสอนมาดิบดีหลายเดือนเด็กน้อยจึงไม่ร้องไห้งอแง แล้วลุกขึ้นนั่งให้มารดาถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นจากนั้นก็เช็ดตัวเช็ดเส้นผมจนเรียบร้อยก็ไปจัดการหาเสื้อผ้าแห้งมาสวมให้แก่ลูกสาว จากนั้นก็บอกให้เผยหว่าหวาอย่าเพิ่งหลับก่อนจะหันไปถ้วยยามาให้บุตรสาวดื่ม “ขมอ่า…ท่านแม่จ๋า…” เด็กย่อมยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นเผยหว่านอีจึงเตรียมน้ำตาลปั้นเอาไว้ให้เผยหว่าหวาได้อมคลายความขมของตัวยา แต่นางห้ามเอาไว้ว่าอมนานแค่เพียงหายขมก็พอจากนั้นก็ห่มผ้าแล้วให้เด็กดีได้นอนหลับต่อไป หลังจากจัดการบุตรสาวเสร็จสิ้นแล้วจึงเป็นนางบ้างที่ไปจัดการรถเข็นและเก็บแยกข้าวของ อันใดต้องล้างก็นำไปวางด้านหลังบ้านส่วนของสดและพวกแป้งก็นำไปจัดเก็บในห้องครัวอีกทาง “ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้าง ได้กินข้าวกินยาหรือยังเจ้าคะ” คำตอบก็คือยังเพราะอากาศมันมืดมัวดวงตาของนางเฉียวซื่อมิอาจมองอันใดเห็นได้ เผยหว่านอีจึงเร่งไปอุ่นอาหารแล้วมากินร่วมกับมารดาทันทีเพราะนี่ก็ล่วงเลยจนเข้ายามเว่ยเสียแล้ว “หว่านอีเจ้ากตัญญูยิ่งนักอนาคตของเจ้าย่อมไม่ลำบากเป็นแน่” หญิงสาวยิ้มขณะตักกับข้าวใส่ถ้วยข้าวของมารดา ฝ่ายนางเฉียวซื่อนั้นก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กของบุตรสาวด้วยหัวใจอันอิ่มเอิบ มีลูกสาวดีนับว่านางมากวาสนาแล้ว ถึงนางจะถูกทำร้ายจนดวงตาเสียไปตั้งแต่ยังสาว แต่บัดนี้นางมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีเท่านี้มาก่อนตลอดเวลาเกือบห้าสิบปีที่ผ่านมานั่นเลยทีเดียว “อย่าคิดมากเจ้าค่ะท่านแม่ อ้อหากพรุ่งนี้ฝนยังตกอีกข้าคงต้องให้หว่าหวาอยู่ที่บ้านกับท่านแม่ จะยุ่งยากท่านแม่หรือไม่เจ้าคะ” เผยหว่านอีเองก็อดจะคิดห่วงใยบุตรสาวเสียมิได้ เผยหว่าหวานั้นเพิ่งจะใกล้ห้าขวบถูกฝนหนักเข้าอาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยเอาได้ คนเป็น ‘แม่’ หากลูกเจ็บป่วยนางแลกได้ย่อมยินดี ภายในใจของนางทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าเด็กน้อยเป็น ‘ตัวภาระ’ ทว่านางกลับรักใคร่ผูกพันกับเด็กหญิงจากใจจริงมิเคยคิดเป็นอื่นอีกเลย “ไม่ลำบาก หากนางอยู่ด้วยย่อมดีแม่จะได้ไม่เหงา” พอแม่ลูกพูดคุยกันไปกินข้าวกันไปจนอิ่ม เผยหว่านอีก็ไปจัดการล้างข้าวของแล้วมาเก็บกวาดเช็ดถูบ้านเรือนทุกห้อง ดูกระโถนของมารดานำปัสสาวะซึ่งค้างไว้ไปเทลงหลุมส้วมซึมที่นางจ้างคนมาขุดแล้วทำโรงเรือนครอบคลุมเอาไว้ดังห้องส้วมซึมแถวบ้านนอก “จะไปที่ใดอีกหว่านอี” พอได้ฟังเสียงบุตรสาวเปิดประตูเตรียมออกไปด้านนอก นางเฉียวซื่อก็สอบถามทันทีเพราะนับจากกลับมาจากขายของเผยหว่านอียังไม่ได้หยุดพักเลยสักเสี้ยวลมหายใจ “ว่าจะไปดูบ่อปลา กับคอกหมูและโรงเลี้ยงไก่ไข่สักหน่อยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าครอบครัวแซ่ซวนทำงานก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ฝนเริ่มตกเช่นนี้ข้าจะไปดูด้วยว่าข้าวในท้องนาเริ่มงอกงามขึ้นมามากเท่าใดแล้วอีกด้วย” หญิงสาวกล่าวตอบมารดาละเอียดยิบแล้วจึงต้องเร่งฝีเท้าไป ‘ตรวจงาน’ และดูข้าวในท้องนาอีกด้วยว่าฝนตกมาหลายวันคืบหน้าไปถึงไหนแล้วบ้างนั่นเอง…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD