บทที่ 2
ต้องค่อย ๆ ผูกมิตรเอาไว้บ้าง
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนยังสุ่ยโจวอีกครั้ง เดือนจรัสในร่างของเผยหว่านอีก็ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยการลุกขึ้นมาเก็บกวาดบ้านช่อง หุงหาอาหารเสร็จแล้วนางจึงไปดูแลมารดาตาบอดกับบุตรสาวตัวน้อยอย่างตั้งอกตั้งใจ จนท่านป้ากับท่านลุงที่ปลูกข้าวติดกับที่ดินของสามสาวต่างวัยแวะมาทักทายพูดคุยตามประสาชาวบ้านนอกทั่วไปที่มีเพื่อนบ้านใหม่มาอาศัยอยู่ใกล้ชิดติดกัน
“เผยซื่อเจ้าหายป่วยดีแล้วหรือ?”
สอบถามจนได้ความก็ทราบว่าท่านป้ากับท่านลุงแซ่ ‘จาง’ นามว่าท่านป้า ‘จางหรู’ กับท่านลุง ‘จางเสิ่น’ ที่มีที่ดินติดกันซึ่งกำลัง ‘หิ้ว’ ปลาเค็มมาฝากเพื่อผูกมิตรกันเอาไว้ตามประสาคนบ้านใกล้ชิดติดกัน
“อ้าวท่านป้าจาง ข้าหายสบายดีแล้วเจ้าค่ะนั่นถืออันใดมามากมาย”
หญิงสาวหันไป ‘ผูกมิตร’ กับอีกฝ่ายก่อนจะเดินตรงไปพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใสใบหน้ายิ้มแย้มจนท่านป้าจางเชื่อสนิทใจว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นคงหายป่วยแล้วจริง ๆ เพราะหลายวันก่อนที่นางแวะไปเยี่ยมอีกฝ่ายถึงในเรือนนั้นร่างกายนี้ซีดเผือดราวกับคนใกล้ตายก็มิปาน
“ปลาเค็มน่ะเผยซื่อ เห็นเจ้าเพิ่งย้ายมาแล้วยังมีเด็กเล็ก เจ้าเองก็ป่วยอีกด้วยกินปลาเค็มย่อมไม่แสลงไข้”
“ขอบคุณท่านป้าจางอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
เผยหว่านอีเร่งเดินไปเชิญท่านป้าจางมานั่งที่หน้าบ้านพักขนาดกลางในหมู่บ้านแห่งนี้ จากนั้นนางก็จัดการไปค้นหาใบชามาต้มแล้วจึงเทใส่ถ้วยให้ท่านป้าจางพร้อมขนมที่มีติดบ้านไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การผูกมิตรนั้นสำคัญมากเผยหว่านอีจึงทุ่มเทไม่ขี้เหนียว เพราะชีวิตเดียวดายเพียงสามแม่ลูกอย่างไรก็ต้องหา ‘พรรคพวก’ ให้ได้มากที่สุด
“ขออภัยเถิด ทราบว่าเจ้าเพิ่งหย่าขาดจากสามีมา หากมีสิ่งใดอยากให้ตาเฒ่ามาช่วยเหลือก็อย่าได้เกรงใจนะเผยซื่อ”
ท่านป้าจางนั้นนับว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง พอทราบจากปากมารดาที่ตาบอดของหญิงสาวตรงหน้า ไหนจะยังมีเด็กน้อย ‘หว่าหวา’ สุดแสนจะน่ารักน่าชัง นางก็อดจะเห็นใจสาวงามทว่าชะตาอาภัพเช่นเผยซื่อผู้นี้เสียมิได้
“ขอบคุณท่านป้าจางอย่างยิ่งเลยเจ้าค่ะ ช่วงนี้คงยังไม่มีสิ่งใดรบกวนท่านลุงจาง แต่พอดีข้านั้นกำลังต้องการแผงขายของในตลาดสุ่ยโจว มิทราบว่าท่านป้าจางมีที่ใดทำเลดีเยี่ยมจะแนะนำหรือไม่เจ้าคะ”
หาช่องทางจากคนใกล้ตัวและในพื้นที่ย่อมดีแน่นอนที่สุดแล้ว ซึ่งก็นับว่าเผยหว่านอีถามได้ถูกคนอย่างยิ่ง ดังนั้นในช่วงสายท่านป้าจางก็พานางไปพบกับ ‘ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน’ แซ่จงนามว่าเต๋อ ท่านเจ้าบ้านจงเต๋อนั้นรู้จักคนกว้างขวาง พอเจอคำป้อยอของท่านป้าจางเข้าไปอีกสุดท้ายเผยหว่านอีก็ได้แผงด้านหน้าร้านขายสมุนไพร ‘เสวียน’ ที่ฝั่งตรงกันข้ามเป็นโรงเตี๊ยม ‘เฉิงฟู่’ ของคนแซ่เฉิงซึ่งนับว่าร่ำรวยไม่น้อยในสุ่ยโจวแห่งนี้ ดังนั้นวันนั้นทั้งวันของแม่ลูกแซ่เผยจึงเดินกันเสียปวดน่องปวดเท้ากันไปอีกหนึ่งวันเพื่อหาทำเลขายของ
“นางงดงามสมกับเป็นสตรีเมืองหลวงเสียจริง บุรุษผู้เป็นสามีก็ช่างตาต่ำเสียยิ่งกว่าตาตุ่มทอดทิ้งภรรยางดงามกับลูกสาววัยน่ารัก หากเป็นบุตรชายของข้าหน่อยมิได้จะเอาสากตำข้าวฟาดศีรษะมันให้ตายกันไปข้าง”
หลังจากที่กลับมาเข้า ‘สมาคม’ ประจำหมู่บ้าน ‘เหิงเตี่ยน’ ซึ่งใกล้ชิดติดกับตัวเมืองและตลาดของสุ่ยโจวไม่ถึงสามสิบลี้นางถงซื่อหรือก็คือ ‘ท่านป้าจาง’ ที่บุตรชายของนางนั้นเพิ่งจะแต่งงานออกเรือนไป หาไม่เผยซื่อผู้เป็นหญิงหม้ายที่ทั้งงดงามและขยันขันแข็งแถมยังมีหัวการค้าเช่นนี้ นางคงยากจะปล่อยให้หลุดมือไปเป็นแน่ ถึงจะมีลูกติดมาหนึ่งนางก็นับเป็นกำไรเพราะเผยหว่าหวานั้นช่างเป็นเด็กหน้าตาผิวพรรณดีแถมยังเลี้ยงง่ายไม่ดื้อไม่ซน คิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจทิ้งเฮือก ๆ เพราะเสียดายเผยหว่านอีจริง ๆ
"เป็นเช่นไรบ้างหว่านอี"
นางเฉียวซื่อนั้นรอฟังข่าวอยู่ที่เรือนพลางถอนหญ้าเตรียมทำแปลงผักรอไปด้วย อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าในยามกลางวันดวงตาของนางยังพอเห็นแสงสว่างอยู่บ้าง กับอาศัยว่านางเป็นเช่นนี้หลายปีความคุ้นเคยย่อมมี นางจึงยังพอช่วยเหลือตนเองและทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในยามกลางวันได้อยู่บ้าง
"ได้แผงขายทำเลดีทีเดียวเจ้าค่ะ ด้านหลังเป็นร้านขายสมุนไพร ส่วนด้านหน้าเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ ถัดไปก็ยังมีหอคณิกา ร้านขายข้าวของที่สำคัญก็มากในตรอกนั้น"
เผยหว่านอีนั้นทรุดกายลงนั่งลงมือช่วยมารดาทำแปลงลงผักบุ้งจีนก่อนเป็นอันดับแรก พลางก็พูดคุยเล่าถึงหน้าร้านที่ตนเองไปดูและวางเงินค่าเช่าไปครึ่งหนึ่งพร้อมทำสัญญาเรียบร้อยกันจะถูกโกง เพราะในยุคสมัยของเดือนจรัสนั้นเชื่อถือได้มีเพียงหนังสือสัญญาเท่านั้น นางจึงเรียกหาก่อนวางเงินมัดจำทันที
"แล้ววันนี้คงยังไม่ได้ฝึกทำกระมัง?"
นางเฉียวซื่อเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังใช้คราดตีดินเพื่อให้ร่วนและง่ายต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดพันธุ์ผักต่าง ๆ ที่เผยหว่านอีซื้อมา ทั้งผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง นอกจากนั้นยังมีผักกาดหัวหรือหัวไชเท้า แตงกวา แคร์รอต และเมล็ดพันธุ์พริกอ่อนที่ผู้เป็นบุตรสาวซื้อมาเพิ่มอีกด้วย ด้านเผยหว่านอีก็หันมาช่วยมารดาเตรียมดินต่อทันที เพราะยามนี้ยังไม่มืดค่ำเท่าใดนัก เพียงจะเพิ่งต้นยามเว่ยเท่านั้นเอง
"วันนี้เราช่วยกันปลูกผักก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้จึงค่อยว่ากันใหม่ ที่ดินด้านนั้นยังว่างท่านแม่ว่าเราจ้างท่านลุงจางมาปลูกกระท่อมเป็นเล้าเป็ดเพื่อเลี้ยงเป็ดกับเลี้ยงไก่เอาไว้กินไข่ดีหรือไม่เจ้าคะ"
“ดี...ดี...หว่าหวาชอบกินไข่ตุ๋นเจ้าค่ะ”
เผยหว่าหวาตบมือแปะ ๆ เห็นดีเห็นงามตอบแทนท่านยายของตนเองก่อนเสียอีก ทำให้สองสตรีต่างวัยอดจะต่างคนต่างแย้มยิ้มน้อย ๆ เสียมิได้ ชีวิตพวกนางหลุดพ้นมาจากสกุลเจียงนับว่าก้าวขึ้นสวรรค์มาครึ่งทางแล้ว
นางเฉียวซื่อยังจดจำวันที่เจียงซู่ข่มขู่ให้บุตรสาวของนางนั้นยอมหย่าขาดให้ได้เป็นอย่างดี วันนั้นเผยหว่านอีที่ไม่เคยลำบากถึงจะเป็นบุตรีที่กำเนิดจากอนุภรรยาแต่เผยไท่เว่ยก็เอ็นดูสองพี่น้องฝาแฝดมาก เพียงแต่แผ่นดินหนานฉู่นั้นฝาแฝดที่เป็นสตรีหากคนพี่แต่งกับบุรุษใดคนน้องก็จะต้องตบแต่งไปด้วย และทั้งคู่จะต้องอยู่ในตำแหน่งฮูหยินเอกเหมือนกันก็ตามแต่สำหรับเผยหว่านอีกับเผยหวานหนิงกลับต่างออกไปเพราะเจียงซู่ไม่พึงใจเผยหว่านอีบุตรสาวของนางผู้นี้จึงเป็นได้เป็นเพียงฮูหยินรองเท่านั้นยิ่งพอคนเป็นพี่สาวตายลงไปชีวิตของพวกนางทั้งสองยิ่งย่ำแย่แทบไร้ตัวตนในสกุลเจียงมาตลอดยังดีว่านายท่านเจียงและเหล่าฮูหยินเจียงเห็นแก่หลานตัวน้อยจึงดีกับพวกนางอยู่บ้าง
ดังนั้นหลังจากเผยหว่านหนิงตายจากไป นายท่านเจียงจึงยกให้เผยหว่านอีขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพเจียงซู่ผู้เป็นบุตรชายเสียหลานของพวกเขาจะได้มีมารดาเป็นฮูหยินเอก แน่นอนว่าเจียงซู่ย่อมไม่พึงใจอยู่แล้วแต่ในยามนั้นเขาขัดขืนบิดามิได้จนผู้เป็น ‘นายท่านเจียง’ ตายลงประจวบเหมาะกับที่องค์หญิงใหญ่เกิดพึงใจเจียงซู่แต่เขาต้องหย่าขาดจากฮูหยินเอกเสียก่อน เจียงซู่มีหรือจะรอช้าแต่ในวันนั้นเพราะเผยหว่านอีนั้นไม่เคยลำบากกับห่วงใยบุตรสาวและมารดาจึงไม่ยินยอมหย่าขาด ต่อให้เจียงซู่นั้นจะทุบตีเผยหวานอีก็ไม่ยอมโดยง่าย ในยามนั้นหญิงชราจำได้ไม่ลืมว่าแม่แต่ตัวของนางเองยังถูกตีไปด้วย ไม้โบยถูกโบยลงมาบนหลังทั้งคู่จนสลบแต่ก็ถูกน้ำสาดจนฟื้นขึ้นมาใหม่ซ้ำไปซ้ำมาหวังแค่จะได้ใบหย่าเท่านั้น
ทว่าสุดท้ายที่เผยหว่านอียินยอมก็เพราะเจ้าบุรุษสารเลวเจียงซู่ผู้นั้นเอาคมดาบไปจดจ่อที่ลำคอเรียวเล็กของเด็กน้อยหว่าหวา ถึงมิใช่มารดาผู้ให้กำเนิดแต่เผยหว่านอีเลี้ยงเด็กน้อยมาตั้งแต่พ้นครรภ์ของพี่สาว ความรักความผูกพันย่อมมิแตกต่างจากมารดาโดยแท้ นางยินยอมหย่าขาดแล้วก็ถูกจับโยนขึ้นรถม้ามาทั้งที่ร่างกายบอบช้ำอย่างแสนสาหัส