ความรู้สึกปวดร้าวราวกับกระดูกถูกบดเป็นหมื่นๆ ชิ้นวิ่งพล่านไปทั้งสรรพรางกายทันทีที่หญิงสาวลืมตาตื่น ดวงตาทั้งคู่กะพริบถี่ๆ เพื่อปรับตัวรับกับแสงสว่างที่มีอยู่อย่างจำกัดภายในห้อง
หญิงสาวหันหน้ามองแสงสว่างจากเทียนมากมายที่ถูกจุดอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ไฟดับหรือยังไง ถึงได้เอาเทียนมาจุดให้แสงสว่างกับคนไข้แบบนี้
“พระสนมฟื้นแล้ว ไปตามหมอหลวงมาเร็ว!”
เสียงพูดของผู้หญิงคนหนึ่งดังอยู่ไม่ไกลให้หญิงสาวได้ยิน ปณาลียกยิ้มขบขันให้กับตนเอง เมื่อคิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้เป็นเธอที่คิดไปเอง
พระสนมอะไรกัน?...
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ปณาลีก็เห็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ การแต่งกายของอีกฝ่ายชวนให้คนที่นอนอยู่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
เมืองไทยร้อนขนาดนี้ยังใส่เสื้อผ้าหนาๆ หลายชั้นได้ ผู้หญิงคนนี้ต้องจิตป่วยแน่ๆ
“พระสนมเพคะ ทรงได้ยินหม่อมฉันไหมเพคะ?”
ท่าทางจะอาการหนัก
เอ๊ะ? หรือว่าบริษัทส่งเธอมารักษาตัวผิดโรงพยาบาล?
ไม่หรอกน่า...
เมื่อผู้เป็นนายไม่ตอบ นางกำนัลที่มีนามว่าเสี่ยวเจินก็ยิ่งรู้สึกร้อนรุ่มในอก พระสนมพลัดตกน้ำไปนานหลายเค่อกว่าที่จะมีคนงมหาเจอ ทั้งยังทรงนอนไม่ได้สติไปนานนับเดือน พอฟื้นขึ้นมาแล้วยังมีพระอาการแปลกๆ อีก
เสี่ยวเจินมองผู้เป็นนายด้วยสายตาห่วงใย ก่อนจะจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็ดเบาๆ หวังให้ความเย็นเรียกสติของผู้เป็นนายให้กลับคืนมา ในระหว่างที่รอหมอหลวงมาดูอาการ
เมื่อถูกความเย็นกระทบกับผิวกาย ปณาลีก็สะดุ้งน้อยๆ ด้วยเพราะผ้าชุบน้ำที่อีกฝ่ายใช้เช็ดมือเธออยู่นั้น เย็นจัดราวกับว่าถูกแช่อยู่ในช่องแช่แข็งในตู้เย็น
อาการสะดุ้งน้อยๆ ของผู้เป็นนายทำให้นางกำนัลตัวน้อยใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ทว่าในจังหวะนั้นขันทีหน้าห้องก็แจ้งว่าหมอหลวงมาถึงพอดี
เสี่ยวเจินก้าวถอยออกไปเพื่อยืนอยู่ด้านหลัง เพื่อเปิดทางให้หมอชราเข้ามาตรวจดูอาการของผู้เป็นนาย
หมอหลวงวางผ้าสีขาวไว้ตรงข้อมือก่อนจะทำการจับชีพจร คิ้วสีขาวของอีกฝ่ายขมวดไปมาซ้ายขวา ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ
“พระสนมเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอ” เสี่ยวเจินเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ร้ายแรงแล้ว แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ ข้าจะเขียนเทียบยาให้ เจ้ารีบไปต้มมาให้พระนางเสวยซะ”
หมอหลวงชราว่าแล้วลงมือจัดการตามที่เอ่ยบอกกับนางกำนัลคนสนิทของหลี่กุ้ยเฟย
ในขณะเดียวกันคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั้นก็ได้แต่ตกใจอยู่คนเดียวเงียบๆ
นะ...นี่มันเรื่องอะไรกัน!
ปณาลีขำไม่ออกตั้งแต่ที่เธอเห็นขันทีในชุดสีเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องที่เธอกำลังนอนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อเธอได้เห็นหมอชราในชุดสีขาวเดินเข้ามา หญิงสาวก็แทบอยากจะดีดตัวลุกขึ้นเดินไปดูให้รู้แล้วรู้รอด ว่าสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้คือที่ไหนกันแน่...เพราะมันเริ่มจะไม่เหมือนโรงพยาบาลอย่างที่เธอคิดไว้ซะแล้ว!
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
และทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศนั้น ปณาลีก็แทบหยุดหายใจไปในทันที เพราะถ้าหากว่าเหตุการณ์ตรงหน้านี้เป็นเพียงแค่การแสดง หญิงสาวก็รู้สึกว่ามันจะสมจริงเกินไปหน่อยแล้ว!
หนึ่งเดือนต่อมา...
จักรวรรดิเทียนอ้ายเป็นดินแดนกว้างใหญ่หลายพันลี้ ผืนดินส่วนใหญ่เป็นภูเขาและผืนป่า ทิศเหนือและตะวันตกของจักรวรรดิมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ทิศใต้มีอาณาเขตติดกับทะเล เรียกได้ว่าเป็นจักรวรรดิที่กว้างใหญ่ สวยงาม และอุดมสมบูรณ์จักรวรรดิหนึ่งในผืนทวีปนี้
แคว้นตงเทียนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจักรวรรดิ นับเป็นแคว้นที่กว้างใหญ่และร่ำรวยที่สุดในสี่แคว้นที่ตั้งอยู่ในจักรวรรดิเทียนอ้าย
แคว้นตงเทียนแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปทั้งน้ำและดิน พืชผลการเกษตรงอกงามมีราคา หรือแม้แต่การทำเหมืองแร่เหล็ก แร่ทองก็ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความมั่งคั่งและมั่นคงให้กับแคว้นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แน่นอนว่าแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้จะต้องได้รับการดูแลจัดสรรและควบคุมเป็นอย่างดี มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นชิ้นเนื้อติดมันให้ผู้อื่นคอยจ้องแต่จะแย่งชิงเอาได้
ทว่า...ใครเล่าจะปล่อยให้แผ่นดินตกไปเป็นของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายปานนั้น
องค์จักรพรรดิหยางเว่ยหลงจึงเป็นผู้ปกครองที่มากไปด้วยอำนาจบารมีและความเหี้ยมโหด เป็นหนึ่งเหนือผู้คนทั้งสี่แคว้นในจักรวรรดิ ปกครองบ้านเมืองด้วยพระเดชและพระคุณ ราษฎรเลื่อมใสศรัทธา ชาวประชาแซ่ซ้องสรรเสริญ เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างทำงานรับใช้บ้านเมืองด้วยความสุจริต ไม่คิดมีใจเป็นอื่น ด้วยเพราะเกรงกลัวในอำนาจบารมีของเจ้าเหนือหัว
เพราะนับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จักรพรรดิหยางเว่ยหลงก็จับดาบฆ่าฟันอริศัตรูตั้งแต่ยังมีพระชนม์มายุเพียงสิบชันษา อาจหาญเก่งกล้าเรื่องการศึก พระปรีชาสามารถเป็นที่เลื่องลือไปไกล ไม่มีแคว้นใดแผ่นดินใดในจักรวรรดิแห่งนี้ที่พระองค์ไม่เคยย่างพระบาทเหยียบ
แต่กว่าแผ่นดินจะสงบสุขเช่นนี้ได้นั้นต้องแลกกับอะไร?
แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขมากมายนับไม่ถ้วน
ด้วยพระปรีชาสามารถที่มี องค์จักรพรรดิถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทตั้งแต่มีพระชนม์มายุสิบสองชันษา ทั้งยังถูกลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นบรรดาอ๋องแคว้นต่างๆ พี่น้องร่วมบิดา หรือแม้แต่มารดาผู้เป็นฮองเฮา ทุกคนล้วนปรารถนาอยากให้หยางเว่ยหลงสิ้นชีพวายชนม์
ทว่าบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาแห่งความเป็นใหญ่นั้นเป็นเช่นไร?
...ก็เป็นเช่นจักรพรรดิหยางเว่ยหลงอย่างไรเล่า
เพราะไม่ว่าจะผ่านเหตุการณ์ที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตมาแล้วหลายครั้ง ทว่าหยางเว่ยหลงก็สามารถรอดพ้นมาได้ โดยที่อันตรายเหล่านั้นไม่ระคายเคืองผิวเลยแม้แต่น้อย
เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นลูกรักของสวรรค์ได้อย่างไร?
และในเมื่อเกิดมาเป็นลูกรักของสวรรค์ แน่นอนว่าย่อมถูกเกลียดชังจากใครหลายคนที่ยืนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน
บิดาผู้เป็นที่รักถูกวางยาพิษจนวายชนม์ มารดาผู้เป็นฮองเฮาร่วมมือกับชายชู้หวังฮุบอำนาจ บรรดาน้องชายน้องสาวหวังสังหารตนให้ตายตก อ๋องต่างแคว้นคอยจ้องแต่จะยกทัพมาตี ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ล้วนแต่บีบบังคับ และกดดันให้หยางเว่ยหลงต้องเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิต ด้านชาและเลือดเย็นอย่างที่สุด
และในช่วงเวลาคับขันมีเพียงตระกูลหลี่เท่านั้นที่หยัดยืนข้างกายหยางเว่ยหลงด้วยความจริงใจ ตระกูลเล็กๆ ที่ยอมแลกชีวิตเพื่อให้หยางเว่ยหลงได้ครอบครองในทุกสิ่งที่เป็นของตนเอง
พระองค์...ได้โปรดดูแลน้องสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!
ฮึก!
หยางเว่ยหลงสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่างแล้วทอดสายตามองฝ่าความมืดออกไปยังด้านนอกตำหนักใหญ่
...สิบปีผ่านมาแล้ว ทว่าหยางเว่ยหลงก็ยังไม่สามารถลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้
คืนนั้นเป็นคืนที่เขาแอบลักลอบเข้าวังหลวง เพื่อสังหารเสนาบดีฝ่ายขวาผู้เป็นชู้รักของมารดา หลังจากที่อีกฝ่ายทำการร่วมมือกับฮองเฮา วางยาพิษฮ่องเต้แล้วกระทำการฉวยโอกาสยึดอำนาจเขาผู้เป็นรัชทายาท เมื่อครั้งที่เขาเดินทางออกไปต่างแคว้นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี
แต่ยังไม่ทันที่หยางเว่ยหลงจะได้ก้าวขาออกจากแคว้นตงเทียน คนตระกูลหลี่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเขาได้ลอบส่งข่าวให้รู้ ว่าฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาถูกลอบปลงพระชนม์
หยางเว่ยหลงในวัยสิบห้าตัดสินใจไม่เดินทางออกนอกแคว้น เขารู้ดีว่าในเวลานั้นวังหลวงถูกผู้เป็นมารดากับชู้รักยึดอำนาจไว้แล้ว
ทว่าเขาจะสามารถทนมองมารดากับชู้รัก เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและหมิ่นพระเกียรติของพระบิดาผู้ล่วงลับได้อย่างไร
ด้วยความช่วยเหลือของตระกูลหลี่ พวกเขาให้คนปลอมตัวเป็นรัชทายาทหยางเว่ยหลงเดินทางออกนอกเมืองหลวง ในขณะที่หยางเว่ยหลงตัวจริงกลับแอบลักลอบเข้าไปในวัง ด้วยความชะล่าใจและคาดไม่ถึงของเสนาบดีฝ่ายขวาและผู้เป็นมารดา หยางเว่ยหลงจึงสามารถเข้าไปในวังหลวงได้อย่างง่ายดาย
ข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ยังถูกปิดเป็นความลับ ทว่าเสนาบดีฝ่ายขวาก็กระทำการโอหัง โดยการขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ของกษัตริย์อย่างไม่เจียมตน
หยางเว่ยหลงเห็นดังนั้นแล้วความโกรธแค้นก็พุ่งปะทุขึ้นกลางอก เขาไม่รอช้าที่จะฆ่าเสนาบดีฝ่ายขวาทิ้ง และเมื่ออีกฝ่ายสิ้นใจต่อหน้าฮองเฮาผู้เป็นมารดา นั่นจึงทำให้หยางเว่ยหลงได้รู้ความจริงในที่สุด ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นโอรสของฮองเฮา ดังที่ตัวเขาเองและทุกคนเข้าใจมาตลอดสิบห้าปี
สิบหกปีก่อนฮ่องเต้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางกำนัลต่ำต้อยผู้หนึ่ง และเมื่อนางกำนัลผู้นั้นตั้งครรภ์ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นพระสนมชั้นผิน
แต่ด้วยความที่นางกำนัลผู้นั้นเป็นนางกำนัลของฮองเฮา จึงถูกผู้เป็นนายบีบบังคับไม่ให้รับตำแหน่ง พร้อมกันนั้นยังป่าวประกาศออกไปว่าคนที่ตั้งครรภ์แท้จริงแล้วเป็นฮองเฮา หาใช่นางกำนัลผู้ทรยศหักหลังเจ้านายไม่
ฮองเฮาใช้ชีวิตของนางกำนัลผู้นั้นและเด็กในท้องเป็นตัวประกัน เพื่อไม่ให้ฮ่องเต้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว และเพราะในเวลานั้นยังไม่มีสนมชายาคนใดสามารถให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ได้ ฮ่องเต้จึงคาดหวังกับเลือดเนื้อเชื้อไขในครรภ์ของนางกำนัลผู้นั้นไม่น้อย จึงได้ยอมให้ความร่วมมือกับฮองเฮาประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าคนที่ตั้งครรภ์เป็นนาง