บทนำ
บทนำ
สองขาอ่อนแรงของปณาลี แทบจะพาร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับมาไม่ถึงห้องพักในซอยเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่เธอศึกษาอยู่
ด้วยฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย แม้ว่าปณาลีจะมีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความเธอจะสามารถเรียนในระดับชั้นอุดมศึกษาได้อย่างราบรื่น
เพราะแค่เรียนดีมันยังไม่เพียงพอ…
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หญิงสาวต้องมาทำงานไปด้วย พร้อมกับส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย ทั้งยังต้องส่งเสียครอบครัวที่ต่างจังหวัดอีกด้วย
การใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นทางเดียวที่จะทำให้หญิงสาวหลุดพ้นจากความยากลำบากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่กว่าที่เธอจะได้ไปยืนในจุดที่ตัวเองคาดหวังไว้ ความท้อแท้ใจก็เข้ามาเคาะประตูเยี่ยมเยือนเธออยู่หลายครั้งหลายครา
ทว่าด้วยความที่ต้องพบเจอกับความยากลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ งานหนักงานเบาแค่ไหนปณาลีก็เคยผ่านมาแล้วทั้งหมด และถึงแม้ว่าสิ่งที่เผชิญอยู่ในตอนนี้จะยากลำบาก แต่นั่นก็ไม่เท่ากับสิ่งที่เธอเคยพบเจอมาในอดีต
การเป็นกรรมกรห้องแอร์มันไม่ถึงกับแย่ อย่างน้อยๆ ปณาลีก็ไม่ต้องหันหลังสู้ฟ้า หันหน้าสู้ดินอย่างที่เคยทำมา
เมื่อคิดว่าชีวิตที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนอยู่มาก หญิงสาวก็มีกำลังใจสู้ขึ้นมา สองขาก้าวขึ้นบันไดเพื่อเดินขึ้นไปบนห้องพักของเธอที่อยู่บนชั้นสอง ก่อนจะไขกุญแจและเปิดประตูเข้าไปในห้องพักเล็กๆ ของตัวเอง
ห้องพักรังหนู ที่เวลาเธออยู่ที่นี่ ในห้องนี้ จะไม่มีใครเป็นเจ้าของลมหายใจของเธอ นอกจากตัวของเธอเอง
ในเวลางาน เจ้าของเงินค่าจ้างเปรียบเสมือนเจ้าของชีวิตและลมหายใจของพนักงาน ฉะนั้นเวลาหลังเลิกงาน ลมหายใจนี้จึงจะเป็นของตัวเธอเองจริงๆ
“หึ! อย่าให้รวยบ้างก็แล้วกันนะ” ปณาลีเอ่ยขึ้นลอยๆ
คนเราก็เป็นแบบนี้...โหยหาในสิ่งที่ตนเองไม่เคยมี และอยากได้อยากมี
หญิงสาวสลัดเรื่องราวน่าปวดหัวทั้งหมดทิ้งไป ก่อนจะพาร่างกายอันเหนื่อยล้าของตนเองไปอาบน้ำ เธอเหนื่อยเกินกว่าจะมีแรงเคี้ยวข้าว หลังจากอาบน้ำเสร็จหญิงสาวก็หลับไปในทันที
รุ่งเช้าของวันต่อมา ปณาลีวิ่งมาลงเวลาเข้างานด้วยความเหลือกลาน เหตุเพราะเมื่อวานนี้เธอเหนื่อยล้าเกินไป ทำให้เช้าวันนี้เธอตื่นสายกว่าปกติและกว่าที่เธอจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดของเมืองหลวงมาได้ หญิงสาวก็เหลือเวลาอีกสองนาทีเท่านั้น สำหรับการลงเวลาเข้างาน
ติ๊ด!
ฉิวเฉียด!
หญิงสาวเป่าลมหายใจออกทางปาก เมื่อเธอสามารถลงเวลาเข้างานได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียดโดยที่ไม่เกินเวลาที่ทางบริษัทกำหนด เพราะถ้าเธอเข้างานสาย นั่นย่อมหมายความว่าเงินเดือนที่จะได้รับนั้นย่อมถูกลดลงด้วย
ทว่า...เมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปยังด้านในที่เป็นในส่วนพื้นที่เฉพาะของพนักงาน ภายในร้านอาหารที่หญิงสาวทำงานอยู่ ปณาลีก็แทบอยากจะย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้สักครึ่งนาที ถ้าเธอรู้ว่าจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์เสี่ยงตายแบบนี้...
“ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง แล้วเดินไปนั่งรวมกันตรงนั้น เร็ว!”
ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ตะคอกสั่งหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องครัวที่พวกมันยึดไว้เป็นฐานที่มั่น
ปณาลีทำตามที่พวกโจรสั่งด้วยอาการเก้ๆ กังๆ เธอค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนร่วมงานด้วยอาการสั่นๆ เพราะความหวาดกลัว
แน่นอนว่าเธอกลัวตาย เพราะชีวิตนี้เธอยังทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง เรียนก็ยังไม่จบ ซ้ำบ้านที่ตั้งใจจะสร้างให้แม่ก็ยังไม่ได้แม้กระทั่งที่ดินที่จะสร้าง แล้วเธอจะมาตายไปตอนนี้ได้ยังไง
หญิงสาวกรีดร้องในใจ ก่อนหน้านี้หากเธอรู้จักสังเกตสักนิด ว่าด้านนอกร้านไม่มีพนักงานฝ่ายบริการหรือแคชเชียร์นั่งประจำที่อยู่เลย ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเข้างานแล้วแท้ๆ เธอก็คงจะไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้พร้อมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
ยังไม่ทันที่ปณาลีจะเดินไปถึงกลุ่มของเพื่อนร่วมงานที่นั่งรวมกันอยู่ตรงมุมห้อง เสียงสัญญาณจากของรถผู้พิทักษ์สันติราชก็ดังขึ้น
ปณาลีและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นโอกาสรอดชีวิต อย่างไรเสียเจ้าของบริษัทก็คงไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตของพนักงานที่อยู่ในความดูแลต้องเป็นอันตรายไปอย่างแน่นอน
ทว่าเสียงชายฉกรรจ์หนึ่งในสี่โจรร้ายก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความหวังของพนักงานทุกคน...โดยเฉพาะปณาลี
“ลูกพี่! นังนี่มันต้องโทรเรียกตำรวจมาแน่ๆ เลย”
ปัง!
ปณาลียังไม่ทันได้หย่อนกายลงนั่งตามที่พวกมันสั่ง เสียงลั่นไกลของปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด พร้อมๆ กับลูกกระสุนลูกหนึ่ง ที่พุ่งตรงแหวกอากาศไปทะลุเข้าใส่ร่างกายของหญิงสาวตรงช่องท้องด้วยความแม่นยำ!
ไม่นะ!