“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ มึงเป็นอะไร” ฟองถามเมื่อผมเดินมาถึง
ซุ้มประจำของพวกเรา บริเวณข้างตึกคณะวิศวะ พวกเพื่อนมากันครบแล้ว ทุกคนต่างมองมาที่ผม
“กูอายว่ะ”
“เรื่อง?” ปลาถาม
“เมื่อกี้กูไปแซงคิวเขา แถมสั่งของที่เขาไม่ได้ขายอีก คือกูก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก” หน้าผมยังคงเจื่อนไม่หาย “กูโดนพวกเขาด่า โคตรอายอะ”
พวกสาว ๆ พากันเม้มปากแน่น ดูจากแววตาก็พอจะรู้ว่าพวกมันกำลังกลั้นขำอยู่ หันไปมองหน้าพวกเพื่อนผู้ชาย พวกเวรนี่ก็ไม่ต่างกัน มีไอ้ไฟคนเดียวที่คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ แล้วตบไหล่ผมเบา ๆ เป็นการปลอบใจ
“ถ้าพวกมึงจะพยายามกลั้นขำขนาดนี้ พวกมึงก็ขำออกมาเถอะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” พวกมันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น โดยเฉพาะฟอง มันหัวเราะได้อร่อยที่สุดแล้ว เสียงของพวกมันทำให้คนซุ้มอื่นหันมามองกันเป็นตาเดียว
“มึงมองไม่เห็นแถวจริง ๆ เหรอวะ” ไอ้ปืนถาม
เห็นสิวะ ทำไมจะไม่เห็น แต่ตอนนั้นแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากยัยนั่น ลืมนึกไปเลยว่าคนอื่นต่อแถวกันอยู่
“จริง” โกหกเพื่อนแม่งเลย จะได้จบ ๆ หากเล่าให้เพื่อนฟัง พวกมันต้องใส่ใจเรื่องคนนั้นมากแน่ ๆ ให้พวกมันไม่รู้น่ะดีที่สุดแล้ว
“สมควรโดนด่า” ฟองไหวไหล่อย่างกวน ๆ มันเป็นเพื่อนผู้หญิงที่กวนที่สุดในแก๊ง ผมเลยเขกหัวมันไปหนึ่งที
นั่งว่าง ๆ รอขึ้นเรียน ก็ดันนึกถึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาอีก ถ้าไม่รู้ความจริงก็จะค้างคาใจอยู่แบบนี้ ผมเห็นว่าพวกเพื่อนจับคู่คุยกันบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้าง ผมก็เลยเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดเข้าไลน์
-หวานกว่านี้ไม่มีแล้วจ้า-
ผมจ้องชื่อไลน์อยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ตกว่าจะทักหรือไม่ทัก ถ้าทัก…
จะกลายเป็นว่าผมสนใจเขาหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ทัก…ผมก็ไม่รู้ความจริงสักทีน่ะสิ
เอาวะ! ทักก็ทัก!
เธอใช่ไหม : PEEM
หวานกว่านี้ไม่มีแล้วจ้า : ?
หวานกว่านี้ไม่มีแล้วจ้า : คิดถึงหรือไง
นั่นไงล่ะ เธอคิดเข้าข้างตัวเองจริง ๆ ด้วย ผู้หญิงแบบเธอน่ะเหรอที่ผมจะคิดถึง คิดอะไรบ้า ๆ
เข้าข้างตัวเองจังวะ : PEEM
หวานกว่านี้ไม่มีแล้วจ้า : แล้วทักมาทำไมวะ
ก็ถามไง คนที่ซื้อน้ำปั่นที่หน้าม. คือเธอใช่ไหม : PEEM
และเธอก็เคยมาซื้อรถมือสองที่เต็นท์วินวินคาร์ใช่ไหม : PEEM
หวานกว่านี้ไม่มีแล้วจ้า : เฮ้อ
ถอนหายใจทำไมวะ ผมคิดว่าพิมพ์คุยกันไปก็เท่านั้นแหละ ไว้ไปรอเจอวันที่แม่นัดเลยดีกว่า ผมเงยหน้าขึ้นจากสมาร์ตโฟนแล้วผงะเล็กน้อยด้วยความตกใจที่ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผม
“มองไม? ไปเรียน ๆ” ก็รู้ว่าอาจดูผิดปกติ แต่พวกมันก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วแหละว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติ
“มึงคุยกับใคร ทำไมตอนคุยถึงขมวดคิ้ว เรื่องซีเรียสเหรอ” ไอ้กราฟมันช่างสงสัย นิสัยก็เหมือนผม อยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้ ขนาดว่าเก็บความสงสัยไว้ แล้วมาถามผมในตอนที่มาเข้าห้องน้ำ
“ดูรุ่นรถแล้วงง คิ้วเลยขมวด”
“แต่เห็นมือมึงพิมพ์ยิก ๆ เลยนะ”
“ก็ค้นข้อมูลไง เอ้อออ ขี้สงสัยนะมึง” ผมสะบัดน้ำจากปลายนิ้วใส่หน้าไอ้กราฟ แล้วเดินออกจากห้องน้ำมารวมกลุ่ม ก่อนจะยกฝูงมาที่โรงอาหาร
“สาว ๆ มีอะไรให้พี่ภีมกินบ้างครับ” ผมเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี
ทำตัวให้ดูปกติที่สุด ไอ้กราฟมันจะได้เลิกสงสัยเสียที สาว ๆ ที่ผมถามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเพื่อนผู้หญิงที่นั่งกันหน้าสลอนอยู่ที่โต๊ะริมเสา
“นอกจากตีนก็ไม่มีอะไรให้แดกเลยค่ะพี่ภีม” ปลาพูดด้วยใบหน้าที่
ยิ้มแย้ม เสียงอ่อนหวานขัดกับคำพูดเหลือเกิน
“สัส!”
“ด่าทำไมวะ กูหมายถึงตีนไก่ทอดเนี่ย” ปลาหยิบตีนไก่ทอดกรอบให้ผมดู
“ไม่ต้องให้มันกิน ปากดีนัก” กลอยมองค้อนใส่ผมแล้วแย่งตีนไก่จากมือของปลาไปแทะกินเอง
“ขอโทษ ๆ ว่าแต่นึกเชี่ยอะไรขึ้นมาถึงได้นั่งแทะตีนในมอ” ผมถาม เพราะปกติพวกมันไม่มาแทะอะไรกินในที่แบบนี้หรอก พวกมันกลัวใครจะเห็นตอนที่มันกำลังแทะอย่างเอร็ดอร่อย แล้วจะดูไม่ดี
“ก็อยากกินนี่หว่า” กลอยตอบ ผมพยักหน้าส่ง ๆ เป็นอันว่าเข้าใจ
เดินตามกลุ่มเพื่อนไปหาอะไรกิน ผมเลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยว เพราะแถวสั้นสุด หันมองไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้เจาะจงจะมองอะไร แต่ก็สะดุดสายตาที่ยัยหน้าจืด เธอกำลังถือจานข้าวราดแกงเดินมาหากลุ่มเพื่อน ชี้มือชี้ไม้ไปที่
โต๊ะว่างอีกฝั่งหนึ่ง
“เส้นอะไรดีจ๊ะ”
ยัยจืดหย่อนสะโพกนั่งลง เพื่อนอีกสองคนก็เดินเข้ามายังโซนที่ขายของ คาดว่าจะมาซื้อน้ำและยัยนั่นก็รับหน้าที่จองโต๊ะ ยัยนี่กินแรงเพื่อนนี่หว่า…
“โอ๊ย!!!” ผมร้องเสียงหลงแล้วเอามือกุมศีรษะบริเวณที่เจ็บจากการถูกตบ
“สัส” เมื่อหันไปเห็นว่าคนที่ตบหัวผมคือไอ้มาร์ช ผมก็เลยด่ามัน
“มัวแต่มองเชี่ยไร สั่งสิวะ เขารอมึงอยู่เนี่ย”
ผมหันขวับไปมองแม่ค้าร่างท้วมที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ที่ด้านในเคาน์เตอร์ ยกมือไหว้สวย ๆ เป็นการขอโทษแล้วรีบสั่งก๋วยเตี๋ยว ระหว่างที่รอก็หันไปค้อมศีรษะเล็กน้อยให้คนที่ยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังของผมเป็นการขอโทษ ที่ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลารอ
ได้รับก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ แล้วจึงเดินมาที่โต๊ะพวกเพื่อน พวกมันนั่ง
มองหน้าผมกันราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่อยากถาม ไอ้มาร์ชคงบอกพวกเพื่อนแล้วว่าผมยืนเหม่อไม่ยอมสั่งก๋วยเตี๋ยว
“กูเห็นกิ๊กเก่า” ผมเอ่ยออกมาโดยที่พวกมันไม่ต้องปริปากถาม ตอบง่าย ๆ ไปแบบนั้นก็ทำให้พวกมันเข้าใจได้ง่าย ๆ เช่นกัน จะได้ไม่ต้องมีคำถามต่อมาอีก
“คิดถึงใช่ปะล่ะ” น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าเจ้าของเสียง
คนตรงหน้าผมยังเหมือนเดิม รอยยิ้มร้าย ๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้าต่างจากคนอื่น ๆ ที่เขามักจะยิ้มหวาน ๆ ให้ สีผมที่โดดเด่นอย่างสีชมพูก็ยัง
ไม่ถูกเปลี่ยนเป็นสีอื่น เมื่อครั้งหนึ่งที่เคยควงกันขำ ๆ ได้ประมาณสามหรือ
สี่สัปดาห์ ผมถูกใจเธอมากนะ แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะมีใครจริงจังก็เลยจบความสัมพันธ์กันไป
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ผมถามกลับไป ผมว่าผมก็ไม่เคยแสดงออกว่าคิดถึงเธอเลยสักครั้ง
“ก็เห็นมองค้างตั้งนานสองนานจนเพื่อนต้องตบหัวให้สั่งก๋วยเตี๋ยว”
อ๋อ…ที่แท้ก็ตอนที่ผมมองยัยเด็กนั่น ผมมองไปทางนั้นอีกครั้งก็เห็นว่ากลุ่มเพื่อนเธอนั่งกันอยู่ด้านหลังยัยจืด
ผมพยักหน้าแล้วหันกลับมากินก๋วยเตี๋ยวที่ใกล้จะอืดเต็มทน ที่ไม่ค้าน ‘กี้’ ก็เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้เพิ่งโกหกเพื่อนว่าเจอกิ๊กเก่า ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย จะได้ไม่ต้องมีใครซักไซ้อะไรต่ออีก
“สรุปว่าคิดถึงใช่ปะ”
แสดงออกชัดเจนด้วยการหันหน้าหนี ทำไมกี้ถึงไม่เข้าใจว่าผมไม่ได้คิดถึงเธอ แต่เอาเถอะ ไม่อยากให้อดีตคนที่ผมเคยถูกใจมากที่สุดต้องหน้าแตก ผมเลยหันไปคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้
“ไว้ค่อยคุยกันนะ เตี๋ยวอืดละ” ผมเอ่ยออกมา กี้ส่งยิ้มให้แล้วถึงได้เดินกลับไปทางกลุ่มเพื่อน
“กี้นี่หุ่นแซ่บเหมือนเดิมเลยวุ้ย” ปลาเอ่ยออกมา พวกนี้มันก็รู้จักกี้กันหมด และพวกมันก็ดูโอเคกับกี้ด้วย อาจเป็นเพราะมีลักษณะที่คล้าย ๆ กัน
ชอบแฟชั่น ชอบแต่งตัว ชอบความเซ็กซี่ ถ้าตอนนั้นผมและกี้เดินหน้าคบกันต่อ กี้ก็คงเข้ากับพวกเพื่อนได้ไม่ยากเลย
“จะหันกลับไปควงกันใหม่ปะ” นุ่นถาม
ผมมองไปทางกี้ทำให้ผมไม่ได้เห็นแค่กี้ที่กำลังมองมา แต่ยัยจืดนั่นก็มองมาด้วยเหมือนกัน สายตาไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ เลยสักนิด เธอลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป
“ยังไม่รู้” ผมหันกลับมาตอบนุ่น
ความคิดที่จะสลัดแฟนที่ผมไม่ได้อยากคบผุดขึ้นมาในหัว ดูจากสายตาของกี้แล้ว ผมว่าถ้าจะกลับไปควงกันอีกครั้งเธอก็คงจะไม่มีปัญหาแน่นอน…