“แต่เจ้าไม่รู้วรยุทธ์” เขายังคงพ่นคำถามเข้าใส่อย่างไม่เลิกรา
“ก็เพราะอย่างนี้ ข้าจึงสามารถตบตาหลอกให้หลี่ชุนเชื่อได้อย่างสนิทใจอย่างไรเล่า! หากเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นก็สังหารข้าไปอีกคนเลยสิ ทีนี้พวกเจ้าจะได้รู้ว่าหากนายท่านโกรธขึ้นมาล่ะก็ แม้แต่นรกยังถือว่าเมตตาพวกเจ้ามากแล้ว”
ครานี้ผู้ฟังถึงกับขมวดคิ้ว เขาไม่เคยพบคนที่อยู่เบื้องบนมาก่อนแต่พอทราบถึงความเหี้ยมโหดมาพอสมควร
โดยเฉพาะกับผู้ที่ทำงานไม่สำเร็จทันกำหนดการ...
ความเคร่งเครียดและความกังวลฉายชัดขึ้นในดวงตาเข้ม ซึ่งมันก็อยู่ในการสังเกตของหนิงเทียนตลอดเวลา
“แล้วทีนี้พวกเจ้าจะเอาอย่างไรต่อ รู้ทั้งรู้ว่างานครั้งนี้เร่งด่วน หากพวกเจ้ามีความคิดดีๆ ข้าก็จะไม่รายงานนายท่านเรื่องที่พวกเจ้าทำงานล่าช้า”
ความเงียบที่เป็นคำตอบ ส่งผลให้ผู้ถามลอบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ยกมือขึ้นมากุมขยับพลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ข้ามีแผน แต่พวกเจ้าต้องฟังคำสั่งของข้า ตกลงหรือไม่” หนุ่มหน้าหยกกล่างอย่างจริงจัง สีหน้าดูเป็นการเป็นงานเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าของใบหน้าหนวดเคราขมวดคิ้วพลางชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ สุดท้ายจึงยอมรับปากแบบส่งๆ “ก็ได้ ไหนลองว่าแผนของเจ้ามา”
“ยามนี้หลี่ชุนอาจจะยังไม่ไหวตัว มันรู้จักกับข้าแถมยังไว้ใจ ข้ายังรู้ว่ามันพักอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นข้าจะลองไปที่นั่นดู ส่วนพวกเจ้าก็ติดตามข้าไปแล้วซุ่มรออยู่ด้านนอก ปิดกั้นทุกเส้นทาง ไว้ข้าล่อมันออกมาก็ลงมือจัดการเสีย!”
สิ้นเสียงดัดห้าว ภายในร้านขายเครื่องเขียนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
บางคนมีสีหน้าครุ่นคิด บางคนที่ไม่ค่อยชอบใช้สมองก็พากันมองไปยังแผ่นหลังใหญ่ของเฉียวกัง หัวหน้าของพวกเขาว่าอย่างไร พวกเขาก็ว่าตามนั้น
ความเงียบที่น่าอึดอัดยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่ง...
โคร่ก...
จู่ๆ เสียงปริศนาก็ทำลายความสงบขึ้นมา เล่นเอาชายฉกรรจ์ที่สีหน้าคร่ำเครียดต่างพากันสะดุ้งโหยง ถลึงตาพร้อมกับหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาที่มาของเสียงประหลาดอันไร้มารยาทนี้
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้คำตอบว่ามันคือเสียงของอะไร เจ้าคนต้นเหตุก็ส่งเสียงเร่งเร้าเฉียวกังอย่างหน้าตาเฉย
“จะคิดอีกนานไหม ข้าเริ่มหิวแล้ว”
ลูกน้องหลายนายเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า ที่แท้เสียงนั่นคือเสียงท้องร้องของคนผู้นี้!
ฝ่ายหนิงเทียนส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ นางมัวแต่เสียเวลากับโจรพวกนี้จนถึงเวลาเที่ยงวันพอดี!
หากเลือกได้ล่ะก็ นางอยากจะทิ้งทุกสิ่งอย่างแล้วเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปสั่งซี่โครงหมูตุ๋นสักชามให้กินอย่างรู้แล้วรู้รอด แต่เพราะสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่อาจทำได้ดั่งใจนึก
เสียงท้องร้องอีกระลอก ส่งผลให้เฉียงกังถึงกับคิ้วกระตุก
‘เจ้าหมอนี่ดูท่าไม่น่าไว้ใจ แต่สิ่งที่มันพูดก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นเรื่องจริง สู้ยอมคล้อยตามไปก่อน หากจับได้ว่ามันโกหกค่อยฆ่าทิ้งก็ยังไม่สาย’
“รีบนำทาง” เจ้าของเสียงดิบเถื่อนเอ่ยห้วนสั้น อยากจะจัดการเรื่องนี้ให้จบๆ ไปเสียที
“เช่นนั้นก็ดี” ร่างบางคลายมือที่กอดอกออก พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แต่ระหว่างทางไปข้าขอแวะซื้อซาลาเปาสักลูกสองลูก เจ้าคงไม่ว่ากันใช่หรือไม่”
ใบหน้าของเฉียงกังที่เดิมทีเข้มดุอยู่แล้วกลับคล้ำขึ้นจนแทบจะกลืนเป็นสีเดียวกับหนวดเคราที่เขาไว้ ผิดกับคนพูดที่เดินนำหน้าระรื่นออกไปจากร้านเครื่องเขียน
จากการเดินสำรวจเมืองเพื่อวาดแผงพังความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในหัวมาหลายวัน ต่อให้หลับตาเดิน หญิงสาวก็สามารถก้าวเท้าไปยังจุดมุ่งหมายที่ตนเองต้องการได้อย่างแม่นยำ
ร้านขายซาลาเปาอยู่ถัดจากร้านเครื่องเขียนไปประมาณสี่ตรอกเล็กๆ ร้านอยู่ตรงหัวมุมสามารถมองหาได้ง่าย
กลิ่นของแป้งที่เพิ่งถูกนึ่งเสร็จใหม่ๆ หอมโชยคลุกเคล้ากับกลิ่นเครื่องเทศจากเนื้อหมูที่ปรุงสุกอยู่ภายใน เพียงแค่สูดดมเพียงครู่เดียวก็ทำให้ผู้ที่กำลังหิวรู้สึกน้ำลายสอ
หากพอมองเลยใบหน้าหนุ่มน้อยไปก็ต้องพบกับภาพของชายฉกรรจ์อีกจำนวนยี่สิบกว่าคนที่เดินตามหลังด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ดูอย่างไรก็ขัดกันเสียจนคนแอบมองขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก
“ท่านป้า ซาลาเปาหมูสับสองลูก...ไม่สิ เอาสามลูกก็แล้วกัน”
แม่ค้าขายซาลาเปายื่นสิ่งที่นางสั่งด้วยมืออันสั่นเทา แถมยังรีบโบกมือปฏิเสธเงินที่หนิงเทียนยื่นให้ สุดท้ายหญิงสาวจึงวางเงินทิ้งเอาไว้บนโต๊ะพร้อมกับเดินจากมา
ครั้นความนุ่มร้อนถูกกัดเข้าปากไปคำแรก สีหน้าเรียบสนิทของเจ้าตัวก็เปลี่ยนไปทันตาเห็น รอยยิ้มบางๆ กลับมาฉายชัดอยู่บนใบหน้าหวานดังเดิม
เมื่อท้องเริ่มได้รับพลังงานเติมเต็มเข้ามาบ้างแล้ว ความคิดของหญิงสาวจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง
ทีนี้จะเอาอย่างไรต่อ...
แน่นอนว่า เรื่องที่นางพล่ามออกมาทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาทั้งเพ!
นางแถจนสีข้างแทบจะถลอก โชคยังดีที่โจรร้ายพวกนี้เชื่อเสียจนสนิทใจ
ความจริงนางไม่อยากจะเอาตัวเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อภัยมาถึงตัวแล้วก็คงไม่อาจเลี่ยงได้อีก หากก่อนหน้านี้หญิงสาวปฏิเสธพวกเขาไปว่าตนเองไม่มีหยกที่ว่านั้นจริง ท้ายสุดแล้วก็คงหนีไม่พ้นถูกสะกดรอยตามอยู่ดี
ชุดพิเศษที่นางสั่งตัดไว้ยังไม่ทันเสร็จดี มิเช่นนั้นนางคงจะจากเมืองหงเล่อไปนานแล้ว
‘เจ้าตะพาบน้ำ เจ้าติดหนี้ข้าไป๋หนิงเทียนเป็นครั้งที่สองแล้ว ดูท่าคงต้องทนแทนบุญคุณข้าไปอีกนานเลยทีเดียว...’
คิดพลางกัดซาลาเปาเข้าปากต่อไป สีหน้าหาได้สะทกสะท้านต่อสถานการณ์อันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ไม่
ในระหว่างที่หนิงเทียนในคราบหนุ่มหน้าหยกกำลังรับมือกับกองโจรที่ตามล่าตัวหลี่ชุนอยู่ในร้านเครื่องเขียน พ่อค้าขายปลาซึ่งถูกหญิงสาวจ้างวานให้มาส่งข้อความสำคัญก็มาถึงบ้านของอิงซานพอดี
จนกระทั่งตอนนี้เขายังคงฉงนสงสัยอยู่ไม่หาย ครั้นพอเคาะประตูบ้านสองสามครั้ง บานประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างของอิงซานที่ทักทายเขาอย่างเป็นมิตร
“อ้าวเจ้าฉี! ลมอะไรหอบเจ้ามา” เจ้าของบ้านทักทายผู้ที่รู้จักมานานปีด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรมากหรอเจ้าสาม ข้าเพียงแค่นำข้อความจากคนผู้หนึ่งมาบอกท่านเท่านั้น” เขาเข้าประเด็นทันทีเพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้ข้าฝากบอกเจ้าว่า ‘ให้เจ้าตะพาบน้ำทานอาหารเที่ยงและอาหารค่ำอยู่ในบ้าน ห้ามปล่อยให้ออกมาเดินเพี้ยนพ่านข้างนอก’ ” ครั้นกล่าวจบแล้ว สีหน้าของผู้พูดยังคงมีความคับข้องใจวาดผ่านใบหน้า
หนุ่มน้อยผู้นั้นถึงกับยอมให้เงินเขาเพื่อมาบอกอิงซานเรื่องตะพาบน้ำ...กับอีแค่ตะพาบน้ำตัวเดียว!
“ดูท่าเด็กคนนั้นคงจะเป็นคนรักสัตว์มากเลยทีเดียว...” ผู้คิดพึมพำเสียแผ่ว ในขณะที่อิงซานซึ่งเข้าใจสรรพนามประหลาดที่เหอปี้เวิ่นใช้เรียกหลี่ชุนกลับมีสีหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
แต่การที่อีกฝ่ายใช้ให้คนมาบอกเขาแทนที่จะมาด้วยตนเองเช่นนี้ หรือว่าในเมืองจะมีปัญหาอะไร
บุรุษวัยสามสิบต้นๆ นึกพลางเกาคางที่มีเคราปกคลุมอย่างครุ่นคิด ทว่ายังไม่ทันไรก็ถูกคนผู้หนึ่งแทรกตัวออกมายืนอยู่ด้านหน้า เล่นเอาอิงซานขยับตัวหลบแทบไม่ทัน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เป็นทายาทพ่อค้าใหญ่แห่งตระกูลหลี่นั่นเอง
สีหน้าของผู้ส่งสารดูมึนงงอยู่ในที เขาไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มวัยยี่สิบผู้นี้มาก่อน ไม่ยักรู้ว่าอิงซานมีแขกเป็นคนต่างถิ่นเช่นนี้ “ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ก่อนข้าจะเดินมาเห็นเพียงเจ้าหนุ่มคนนั้นเดินไปกับกลุ่มคนที่ท่าทางคล้ายคลึงกับอันธพาล แต่ข้ามั่นใจว่าคนพวกนั้นที่ไม่ใช่คนในเมืองหงเล่ออย่างแน่นอน”
ใบหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น เจ้าเหอปี้เวิ่นบอกให้อิงซานพาเขาออกไปนอกเมือง เช่นนั้นก็แสดงว่ากลุ่มอันธพาลต่างถิ่นที่ว่าคงหนีไม่พ้นกลุ่มโจรร้ายที่สังหารครอบครัวของเขาไม่ผิดแน่!
เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามสืบให้ยุ่งยาก ในเมื่อเจ้าโจรชั่วพวกนั้นเสนอหน้ามาถึงที่ เขาก็จะไปจัดการปิดบัญชีแค้นกับพวกมันเสีย! ต้องลากคอเจ้าคนบงการมาสังหาร เซ่นวิญญาณให้กับบิดามารดาของเขา!
ความฮึกเหิมโกรธขึงจากคนหนุ่มส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูงขึ้นจนอิงซานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สัมผัสได้ ครั้นเห็นว่าหลี่ชุนสาวเท้าออกจากบ้านไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็รีบวิ่งตามไปพร้อมกับเอื้อมมือคว้าเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายทันที
“เจ้าจะไปไหน”
คนที่ถูกยึดไหล่เอาไว้ก้มหน้านิ่ง ไม่ยอมสบตาผู้ถาม “ท่านสาม ปล่อยข้า”
“ไม่ได้” อิงซานกล่าวพลางออกแรงยึดไหล่ของหลี่ชุนเอาไว้แน่นขึ้น “เจ้ายังบาดเจ็บอยู่”
อาชีพคนหาปลาที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแขนหว่านแหดักปลาอยู่เป็นประจำทำให้ท่อนแขนของเขามีแรงอยู่ไม่น้อย คนที่ตั้งใจจะพุ่งออกไปจึงมิอาจทำได้ดั่งใจนึก ครั้นออกแรงเพื่อสู้กับพละกำลังของอิงซานก็ถึงกับต้องเบ้หน้าอย่างเจ็บปวด แค่สังเกตดูก็รู้ว่าบาดแผลที่เพิ่งหายดีคงถูกการเกร็งของกล้ามเนื้อกระทบกระเทือน
สีหน้าของชายหนุ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่ความดื้อด้านก็ทำให้เขาคบกรามแน่น เอื้อมมือขึ้นมาจับมือที่กุมหัวไหล่ของเขาเอาไว้พร้อมกับออกแรงดึงมันเช่นเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้
“ข้าบอกให้ปล่อย!”
ผู้ส่งข่าวมองพวกเขายื้อยุดกันไปมาด้วยสีหน้าแตกตื่นระคนสับสน เนื่องจากเขาไม่รู้ที่มาที่ไปของการทะเลาะของคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
เขาแค่มาแจ้งข่าวเรื่องให้อิงซานหาอาหารให้พาตะพาบน้ำกินในบ้านเท่านั้นเองนะ!
“ท่านสาม ห้ามข้าเช่นนี้อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” หลี่ชุนประกาศกร้าว แววตาฉายแววจริงจังในขณะที่เจ้าตัวเรียกกำลังภายในออกมาที่ฝ่ามือแล้วสะบัดลงที่อกของอีกฝ่ายทันที!
ชายหนุ่มยั้งมือเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ร่างหนาจึงเพียงถูกซัดให้คลายมือออกไปและไม่ได้รับความบาดเจ็บ ทว่าอิงซานเองก็มิได้ยอมแพ้ พุ่งตัวเข้าใส่ผู้ที่บาดเจ็บอย่างแรงจนร่างทั้งสองล้มลงไปบนพื้น เกิดเป็นเสียงกระแทกดังลั่น
การทะเลาะกันดูจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อคนทั้งสองเริ่มเล่นมวยปล้ำกันอย่างดุเดือด บาดแผลที่สีข้างที่ใกล้จะหายดีเริ่มปริแตก เรียกโลหิตสีแดงสดให้ไหลซึมออกมาบนเสื้อตัวหนา
ผู้ยืนมองเหตุการณ์รู้สึกร้อนรน จึงตะโกนเข้าไปในบ้าน “ฮะ...ฮูหยิน!”
เสียงตะโกนเรียกส่งผลให้ผู้ที่กำลังเพลิดเพลินกับการทำอาหารเที่ยง สับมีดบังตอลงบนเขียงเสียงดังดุจอสนีบาต
ปึง!
นางเกลียดที่สุดคือมีคนมาขัดจังหวะเวลาเข้าครัว!
ผู้ที่เอ่ยเรียกพึงระลึกขึ้นมาได้ก็รู้ว่าตนพลาดไปเสียแล้ว ก็เหงื่อแตกพลั่กๆ ไปทั่วทั้งกาย ความโกลาหนของชายทั้งสองที่ยื้อยุดกันไปมาอยู่หน้าบ้านเทียบไม่ได้เลยกับนางมารที่อยู่ในครัวทางด้านใน
เขาคิดพลางวิ่งเผ่นจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงแค่ร่างสองร่างที่กำลังยื้อร่างกันไปมาเสียจนหายใจหอบอยู่บนพื้น
อิงซานใช้ลำแขนใหญ่โตของตนทับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็กดเข้าที่อกเพื่อไม่ให้ทายาทตระกูลพ่อค้าขยับตัว แม้จะพยายามมิให้โดนแผลแต่ดูท่าจะสายเกินไปเสียแล้วเมื่อเสื้อบริเวณนั้นถูกของเหลวสีแดงย้อมเสียจนเปียกชุ่มแข่งกับเหงื่อของพ่อค้าขายปลาที่ไหลเปียกไปทั้งตัว
“เจ้าเวิ่นอุตส่าห์เสียสละตนเองเพื่อส่งข่าวให้เจ้าหนี เขายอมช่วยเจ้าถึงหลายครั้งหลายคราเช่นนี้ แล้วเจ้าจะยังดื้อด้านทำลายความหวังดีนั้นอีกหรือ!”
หลี่ชุนเม้มริมฝีปากแน่น ความเจ็บปวดที่บาดแผลทำให้เขาไม่สามารถต่อกรกับชายวัยสามสิบปีได้ดั่งใจนึก
เขาไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยมือเปล่า พอไม่มีกระบี่ก็กลายเป็นคนไร้ค่า ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพ่อแม่ของตนไม่ได้ ชีวิตของเขาจะน่าสมเพชไปถึงไหน!
“ก็เพราะข้ารู้อย่างไรเล่า!...” ชายหนุ่มกำมือแน่นพร้อมกับก้มหน้าลง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเหอปี้เวิ่นกำลังช่วยชีวิตเขาอีกครั้งทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่มีทักษะการต่อสู้ติดตัวพอให้เอาตัวรอดได้เลย
หลี่ชุนเงยหน้าขึ้นมาสบตาอิงซาน นัยน์ตาสีชาหาใช่แววตาเคียดแค้นที่เคยมีในช่วงเช้าไม่ มันทั้งเด็ดขาดจริงจังและมีสติอยู่ครบถ้วน “เพราะข้ารู้ว่าเจ้านั่นต้องการช่วยข้า! ข้าถึงต้องไป!”
หากเจ้านั่นเป็นอะไรขึ้นมาเพราะเขา แล้วเขายังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ!