3.2 เมาโถวอิง

2315 Words
เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงร้องของมวลวิหคที่มาทดแทนแมลงในยามรัตติกาล เรื่องที่หญิงสาวเล่าเกี่ยวกับนกเค้าแมวส่งผลให้เสี่ยวเซียวเก็บไปฝันไปตุเป็นตะ ครั้นตื่นขึ้นมาก็เตรียมจะไปนางที่ห้องเพื่อบอกเล่าความฝันของตนเองให้ฟังอย่างตื่นเต้น ทว่าฝีเท้าเล็กๆ ก็ต้องชะงักลงเสียก่อนเมื่อบานประตูหน้ากระท่อมของพวกเขาถูกเคาะเรียกจากด้านนอก “ท่านแม่ มีคนมาๆ ” เด็กชายวัยหกขวบหมุนตัวกลับไปเรียกผู้เป็นมารดาที่เพิ่งเสร็จจากการล้างหน้า “หืม...ใครกันจะมาหาพวกเราตั้งแต่ฟ้าสางเช่นนี้” มารดาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย จนกระทั่งเดินมาเปิดประตูโดยมีเด็กน้อยยืนหลบอยู่ข้างๆ อย่างใคร่รู้ ครั้นแม่ม่ายวัยสาวเห็นผู้มาใหม่ก็ตกใจ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงโปร่งดั่งนักรบดูน่ากลัวเหลือเกิน! เสี่ยวเซียวเกาะเอวมารดากระพริบตาปริบๆ ดวงตาจ้องมองคนแปลกหน้าอย่างอึ้งทึ่งไม่แพ้กัน ขนาดของเขาใหญ่กว่าบานประตูเสียด้วยซ้ำ แถมสีหน้าถมึงทึงราวกับกำลังไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง! เมื่อคืนเขาตามหาโฉมสะคราญผู้นั้นอยู่ในหมู่บ้านตงเจียงทั้งคืน! มั่นใจว่าทุกตารางนิ้วถูกตรวจสอบจนหมดสิ้นจึงออกมาจากหมู่บ้าน เมื่อพบกระท่อมที่ชายป่าแห่งนี้โดยบังเอิญจึงเข้ามาตรวจสอบ “นางอยู่ที่ใด” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา ถึงแม้ผู้ที่เขากำลังพูดคุยอยู่จะเป็นเพียงหญิงม่ายและเด็กคนหนึ่ง ทว่าผู้ที่โดนเล่ห์กลของไป๋หนิงเทียนมาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ประมาทอีก เพียงหนเดียวก็น่าขายหน้าเกินพอ... “นะ...นาง” ผู้เป็นเจ้าของกระท่อมรำพึงเบาๆ หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นพ่อค้ามนุษย์อย่างที่แม่นางไป๋เคยบอกไว้! นางคิดพลางกรอกตาไปมา กลิ่นอายคุกคามจากท่านรองแม่ทัพส่งผลให้เสียงสั่นอย่างมิอาจห้ามได้ “ที่นี่มีเพียงแค่ข้าและบุตรชายอยู่แค่สองคน” ผู้ฟังหรี่ตาลง ก่อนจะสาวเท้าเข้ามายังด้านในโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของนางแม้แต่น้อย ครั้นเห็นประกายร้อนรนผุดขึ้นในดวงตาของมารดา เด็กน้อยวัยหกขวบก็เริ่มตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว และแล้วประกายตาคมของคนแปลกหน้าก็เข้มลึกมากยิ่งขึ้น เมื่อหม่าจิวหูเหลือบสายตาไปเห็นเสื้อคลุมตัวบางที่ถูกพาดทิ้งเอาไว้บนตะกร้าสานโดยบังเอิญ เขาจำมันได้อย่างแม่นยำว่าเป็นชุดที่สตรีผู้นั้นสวมใส่ก่อนที่เขาจะคลาดสายตาจากนาง! กลิ่นอายคุกคามดุดันแผ่ออกมาจากร่างใหญ่กำยำอีกเท่าตัว ขณะที่หญิงม่ายซึ่งมีใบหน้าซีดเซียวราวกับไข่ต้ม นางกอดเด็กชายที่กอดเอวของนางแน่น กายของสองแม่ลูกสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “หากพวกเจ้าไม่ยอมบอกว่านางซ่อนตัวอยู่ที่ใด ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เขาตวาดดังลั่น เสี่ยวเซียนอดทนต่อไปไม่ไหว จึงผละออกจากอ้อมกอดของมารดาพร้อมกับส่งเสียงร้องดังลั่น “ฮือ! พี่ชายน่ากลัวจัง พี่สาว...ช่วยข้าด้วย!” พูดจบก็รีบวิ่งตรงไปยังประตูห้องนอนเล็ก น้ำตานองหน้าพร้อมกับสูดน้ำมูกที่ไหลย้อยออกมา ครางสะอื้นไม่ยอมหยุด “เสี่ยวเซียว!” ผู้เป็นมารดาร้องเรียกบุตรชายอย่างตกใจ เตรียมจะเข้าไปปลอบแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว คนแปลกหน้าผู้นี้รู้แล้วว่าไป๋หนิงเทียนพักอยู่ในห้องนั้น! ไวเท่าความคิด หม่าจิวหูก็ใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว เงาร่างดำทมิฬซ้อนทับอยู่เหนือร่างเล็กที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู แค่ปลายนิ้วสัมผัสกลับทำให้บานประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย หญิงสาวผู้นั้นทำให้เขาเสียเวลามามากแล้ว คงถึงเวลาที่จะพาตัวนางกลับไปเสียที! เขาคิดพลางสาวเท้าเข้าไปในห้องโดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น! ในจังหวะนั้นเองที่เจ้าของกระโจมเพิ่งจะสาวเท้าไปถึงตัวบุตรชาย ดวงตาจ้องมองเสี่ยวเซียวอย่างสงสารจึงก้มลงกอดร่างเล็กๆ อย่างปลอบละโลม ครั้นเงยหน้ามามองสภาพภายในห้องก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ภายในห้องพักกลับปราศจากวี่แววของสตรีผู้นั้น! หากความตกใจของนาง กลับเทียบกับร่างกำยำของบุรุษที่ยืนนิ่งอยู่ด้านในห้องไม่ได้เลย... สองมือของท่านรองแม่ทัพกำแน่น กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะเล็ก สิ่งแรกคือก้อนเงินมูลค่าหนึ่งตำลึงเงิน อีกสิ่งคือภาพวาดของนกเค้าแมวกำลังกางปีกอยู่บนท้องนภากว้าง วาดจากก้อนถ่าน ลายเส้นที่วาดนั้นแม้จะเทียบไม่ได้กับจิตรกรมือเอก แต่แววตาของปักษาภายในภาพกลับดูราวกับมันมีชีวิต ด้านล่างรูปวาดยังทิ้งข้อความเอาไว้สั้นๆ ‘ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...’ มันมิไม่ได้เจตนาส่งให้กับเขา แต่ผู้ที่เขียนมันตั้งใจส่งให้กับสองแม่ลูกในกระท่อมแห่งนี้ต่างหาก คนอ่านใบหน้าดำคล้ำ หากเวลานี้เขาพังกระท่อมหลังนี้ได้ก็คงทำไปแล้ว! เขาคลาดจากไป๋หนิงเทียนเป็นครั้งที่สอง หลังจากนี้การแกะรอยหาตัวนางคงเป็นไปได้ยาก ซ้ำร้ายกว่านั้นอาจไม่มีโอกาสตามหาตัวอีกฝ่ายเจออีกต่อไป! ‘หากนางต้องการจะไป ต่อให้เทพเซียนบนสรวงสวรรค์ลงมาเองก็ยากที่จะกักขังนางเอาไว้ได้ ถ้านางออกจากเขตพรมแดนแคว้นหยางเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องตามแล้ว...’ คำพูดของท่านแม่ทัพราวกับตอกย้ำให้จิตใจของชายหนุ่มขุ่นมัวยิ่งขึ้น คาดว่าเวลานี้อีกฝ่ายก็คงออกจากเขตแดนแคว้นหยางไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ ลมร้อนระอุพัดผ่านกระท่อมหลังน้อยจนเกิดเสียงเสียดสีของแผ่นฟางที่ซ้อนเรียงกันเป็นหลังคา สองแม่ลูกกอดกันกลม หลับตาแน่น ความหวาดกลัวทำให้พวกเขาแทบจะกลั้นหายใจ ฝ่ายร่างกำยำเม้มริมฝีปากแน่น ครั้นหยาดเหงื่อไหลจากใบหน้าหยดลงบนพื้น ผู้ที่จมอยู่ในความคิดจึงเริ่มขยับตัว เขาคงต้องกลับไปรายงานผลให้ท่านแม่ทัพทราบ... ความรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วกายส่งผลให้หนิงเทียนในคราบหนุ่มน้อยนิ่วหน้า ขนในกายพากันลุกหือราวกับกำลังถูกสาปแช่งไปถึงโคตรเหง้าบรรพบุรุษ กลิ่นอายสังหารรุนแรงเช่นนี้ไม่ธรรมดาเลย คาดว่าน่าจะเป็นของท่านรองแม่ทัพหม่าแห่งแคว้นหยาง... เจ้าตัวคิดขณะที่สะบัดตัวเพื่อไล่คำสาปแช่งออกไปให้พ้นตัว โชคร้ายเหลือเกินที่นางเสียพัดขนนกอันโปรดไว้ที่หมู่บ้านตงเจียง มิเช่นนั้นคงจะสามารถขับไล่ความอัปมงคลออกไปได้ดีกว่านี้ นางเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จจึงอิ่มหนำสำราญ รอยยิ้มและดวงตาจึงได้เปล่งประกายมากกว่าปกติ หญิงสาวเอามือไขว้หลังเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน รอยยิ้มบางๆ ยังคงฉาบอยู่บนใบหน้ามน ส่งผลให้บรรดาดรุณีน้อยใหญ่ที่เดินผ่านถึงกับเหลียวหลังมอง แม้มิได้หล่อเหลาคมเข้มและงามสง่าดั่งยอดบุรุษ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหวานก็เป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดมิใช่น้อย “อ้าวพ่อหนุ่ม! เมื่อเช้านี้ก็เห็นอยู่ในเมืองอยู่เลย ท่านกำลังจะไปที่ใดหรือ” เสียงแหบห้าวดังทักพร้อมกับเสียงล้อไม้ที่บดเบียดเข้ากับพื้นดินหยาบกระด้าง ส่งผลให้ผู้ที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหันไปมองอย่างสนใจ “อ๋อ...ที่แท้ก็เป็นพี่ชายนั่นเอง” นางหยุดฝีเท้า พร้อมกับเอ่ยทักทายพ่อค้าขายปลาวัยสามสิบปี ไว้หนวดเคราอยู่บนใบหน้าเล็กน้อย ร่างสันทัดนั่งอยู่บนรถเกวียนเทียมวัวสองตัว เมื่อเช้านางหิวมากจนเกือบเป็นลมกลางถนน โชคดีนักที่อีกฝ่ายช่วยเอาไว้ แถมพอได้ยินนางบ่นว่าหิวก็ยังอุตส่าห์ใจดีพาไปถึงโรงเตี๊ยม “ข้ากำลังจะเดินทางไปยังแคว้นเกาน่ะพี่ชาย” “แคว้นเการึ...” คนสูงวัยกว่าขมวดคิ้วยุ่ง หยุดรถเกวียนลงทันใด “แคว้นเกามิใช่ใกล้ๆ เลยนะ เจ้าเอาแต่เดินอยู่แบบนี้แล้วเมื่อไรจะไปถึงกันเล่า” ผู้ฟังได้ยินก็หัวเราะ คลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ข้าขี่ม้าไม่เป็น” และสาเหตุที่นางไม่เช่ารถม้า เรื่องเงินก็ถือเป็นประเด็นหนึ่ง ทว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือที่นี่ยังใกล้กับหมู่บ้านตงเจียงมากเกินไป หากเช่ารถม้าก็อาจทิ้งเบาะแสให้รองแม่ทัพหม่าและคนของท่านอ๋องห้าตามมาพบเอาได้ เป็นอีกครั้งที่ไป๋หนิงเทียนรู้สึกว่าสวรรค์ก็มิได้ใจร้ายเกินไปนัก พอพูดจบก็เรียกสายตาเวทนาได้ทันที ‘คนบ้าอะไรที่อยากเดินทางไกลแต่กลับขี่ม้าไม่เป็น!’ เขาคิดขณะที่จ้องมองใบหน้าคนอ่อนวัย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีรอยยิ้มละมุนละไมอยู่บนใบหน้าเหมือนว่าโลกใบนี้ช่างงดงามเหนือคณานับนั่นแล้ว... เขาก็ถึงกับถอนหายใจยาว “ข้ากำลังจะกลับบ้านพอดี บ้านของข้าอยู่ถัดจากเมืองนี้ไปทางทิศตะวันออก ไว้พอถึงที่นั่นเจ้าค่อยหาเช่ารถม้าหรือติดสอยห้อยตามขบวนรถพ่อค้าไปก็แล้วกัน” หนิงเทียนได้ฟังดังนั้นก็โค้งคำนับ สีหน้าเต็มไปด้วยประกายยินดียิ่ง “ขอบพระคุณท่านมากพี่ชาย ไว้พอถึงหมู่บ้านท่านแล้ว ข้าจะเลี้ยงข้าวพี่ชายเป็นการตอบแทน” “ฮ่าๆ ๆ ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นหรอก! ” เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ก่อนกลับไปบ้านข้าต้องแวะไปเก็บดอกไม้ป่าไปฝากเมียข้าอีก หวังว่าเจ้าจะไม่เบื่อเสียก่อน” “แค่ท่านมีน้ำใจให้ข้าไปด้วยก็ช่วยข้าได้มากแล้ว ท่าน...” เอ่ยพลางกระโดดขึ้นไปนั่งข้างกายคนสูงวัย “ข้าแซ่อิง มีนามว่าซาน หรือจะเรียกข้าว่าท่านสามก็ได้” ผู้เป็นพ่อค้ามายาวนานกว่าสิบปีเอ่ยพลางยกน้ำในกระเป๋าน้ำกระเพาะอูฐขึ้นมาจิบ “ได้เลยท่านสาม ข้ามีนามว่าเหอปี้เวิ่น เรียกข้าว่า ‘เวิ่น’ คำเดียวก็ได้” พรวด!! อิงซานได้ฟังชื่อของคนหนุ่มแล้วถึงกับพ่นน้ำออกจากปาก ละอองน้ำโดนแสงอาทิตย์ทำให้เกิดการหักเหจนกลายเป็นสายรุ้งเลยทีเดียว ฝ่ายคนพูดหรือก็ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับไม่มีอะไรผิดแปลก “แค่กๆ ๆ ” นอกจากพ่นน้ำออกมาแล้วก็ยังสำลักอย่างแรง ร่างสันทัดไอจนหน้าดำหน้าแดง น้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาขณะที่คนข้างกายช่วยตบหลังให้อย่างมีน้ำใจ “นั่นใช่ชื่อคนรึ!” “ใช่แล้ว อาจารย์เป็นคนตั้งมันให้ข้าเอง” เรื่องนี้นางไม่ได้โกหก ชื่อนี้ท่านอาจารย์ของนางเป็นคนตั้งให้จริงๆ แม้ว่าต้นเหตุของชื่อพิเรนนี้จะมาจากนางก็ตามที ก็คราแรกที่ได้พบกับชายชราแปลกหน้า อีกฝ่ายก็เอาแต่ถามด้วยคำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนน่ารำคาญ ‘เจ้าชื่ออะไร’ เด็กน้อยจึงยอกย้อนถามกลับไปอย่างอดเสียไม่ได้ว่า ‘ถามไปทำไม’ ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์จึงเรียกนามนางอย่างกวนประสาทว่า ‘เหอปี้เวิ่น’ แล้วก็เรียกเช่นนั้นมาจนกระทั่งโต “อาจารย์เจ้าเป็นคนประหลาดมากสิท่า คงไม่ใช่พวกจอมยุทธ์หรอกใช่ไหม” เจ้าของเสียงแหบห้าวถามอย่างไม่ใส่ใจ มือใหญ่กร้านใช้แส้ตีก้นวัวเทียมเบาๆ ให้มันออกตัวอีกครั้ง สายตาทอดมองไปบนท้องถนนเบื้องหน้า เห็นว่าแดดเริ่มแรงแล้วจึงหยิบหมวกกุบจากท้ายเกวียนขึ้นมาสวม “ไม่เลย อาจารย์ของข้าเป็นเพียงตาเฒ่าหนอนหนังสือคนหนึ่งเท่านั้น ท่านสาม หมวกกุบทางด้านหลัง...ข้าขอใช้ด้วยได้หรือไม่” “ได้สิ ตามสบาย” เอ่ยพลางปรายตามองหนุ่มน้อยหน้ามนซึ่งหมุนกายกลับไปหยิบหมวกกุบขึ้นมาสวมใส่ ปรากฏว่าขนาดของมันใหญ่เสียจนปกปิดใบหน้าจนเหลือเพียงริมฝีปากและคางมนที่พ้นตัวหมวกออกมา แต่ถึงกระนั้น เจ้าตัวก็ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าอยู่ดี “ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ ที่ทนใช้ชื่อนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้” อิงซานรำพึงออกมาเบาๆ ส่งผลให้หนิงเทียนหันใบหน้าที่ถูกปิดไปเกินครึ่งมามองเขา เอ่ยถามเสียงสูงเพราะได้ยินไม่ถนัด “เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ” “ไม่มีอะไร ข้าแค่พูดกับวัวเท่านั้น” เห็นแก่รอยยิ้มสดใสของอีกฝ่าย ชายวัยสามสิบจึงล้มเลิกความคิดที่จะพูดถึงชื่อหรือถามความเป็นมาของเขา เป็นเพราะเกรงว่าสาเหตุที่ชื่อของนางมิได้ถูกตั้งโดยบุพการี จะทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าที่มีเค้าความหวานอยู่หลายส่วนจะจางหายไปนั่นเอง... เสียงฝีเท้าของวัวแก่สองตัวและล้อรถไม้ดังคลอไปเรื่อยๆ สองคนนั่งเงียบไม่พูดไม่จา บนถนนที่ทอดยาวออกไปมีผืนป่าโปร่งอยู่เต็มสองข้างทาง ทว่าผู้ที่สัญจรบนเส้นทางนี้กลับมีเพียงรถเทียมเกวียนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD