3.1 เมาโถวอิง

2091 Words
3 เมาโถวอิง แสงจันทร์เหลืองนวลส่องสว่างงดงามบนผืนฟ้า ราตรีที่เปล่าเปลี่ยวส่งผลให้กระท่อมหลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายป่าไม่ไกลจากหมู่บ้านตงเจียงดูเดียวดายเหลือคณานับ ผู้เป็นเจ้าของกระท่อมเป็นหญิงม่ายกับบุตรชายวัยเยาว์ซึ่งปลีกวิเวกออกมาอาศัยอยู่อย่างสงบ ทว่าค่ำคืนนี้กลับมีแขกมาเยือนอย่างเหนือความคาดหมายของสองแม่ลูกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน นางไปรับลูกชายซึ่งเที่ยวเล่นอยู่ในหมู่บ้าน พอกลับก็พบว่าที่หน้ากระท่อมมีหญิงสาวคนงามแปลกหน้านั่งขดตัวอยู่ นางแต่งกายด้วยผ้าผืนบางแถมยังเปียกชุ่มทั้งตัว ร่างที่สมบูรณ์แบบสั่นน้อยๆ อย่างน่าสงสาร ด้วยเหตุนี้นางและบุตรชายจึงชักชวนอีกฝ่ายให้เข้ามาด้านใน ให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่พร้อมกับให้ทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน ผู้มาใหม่อ้างว่านางเดินทางไกลเพื่อมาเยี่ยมเยียนสหาย แต่นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะถูกคนพยายามจะจับตัวนางไปขายเป็นอนุให้กับผู้มีตระกูลจากต่างแคว้น นางจึงได้หนีออกมา “แม่นางไป๋ เจ้าอิ่มหรือไม่ หากยังไม่อิ่ม พวกข้าพอจะมีข้าวอยู่...” เสียงของสตรีสูงวัยกว่าเอ่ยขึ้นในขณะที่มองหญิงสาวใบหน้าสะสวยที่ใช้ความเร็วในการกินแบบฉับไวด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง ‘ช่างน่าสงสารเหลือเกิน ท่าจะหิวโซสิท่า’ ครุ่นคิดอยู่ในใจพลางต้อนรับขับสู้อีกฝ่ายอย่างดีเยี่ยม ครั้นหนิงเทียนได้ฟังเจ้าบ้านเอ่ย ดวงตากลมโตก็มองไปยังโต๊ะไม้ขนาดกลางซึ่งมีเพียงชามข้าวและกับสองอย่างที่แสนเรียบง่ายอยู่ครู่หนึ่ง พวกนางมีกันอย่างพอกินพอใช้แท้ๆ แต่กลับมีน้ำใจแบ่งปันมันให้กับนาง ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้นางยังไม่อิ่มแต่ก็ตัดสินใจวางชามข้าวลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อิ่มแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยินมากที่มีน้ำใจ” นางตัดสินใจหลบภัยมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าไม่อาจเสี่ยงกลับเข้าไปในหมู่บ้านได้อีก แต่ต่อให้อยากเดินทางไกลก็ติดที่ว่าร่างกายมีเพียงชุดผืนบาง แม้จะมีเงินแต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปซื้อในแหล่งชุมชนจนเป็นจุดสนใจ เห็นทีหลังจากนี้นางคงต้องเป็น ‘เหอปี้เวิ่น’ ไปอีกสักพักใหญ่เพื่อความปลอดภัย อาหารมื้อเย็นที่แสนเรียบง่ายหมดสิ้นลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีแขกผู้มาเยือนกะจะออกเดินทางต่อทันทีแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธฮูหยินวัยสาวที่บอกว่ามันอันตราย นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวไม่ควรจะเดินป่าในเวลากลางคืนเช่นนี้ สุดท้ายก็ทนฟังคำรบเร้าของนางไม่ไหว จึงตัดสินใจค้างคืนที่นี่เสีย “เสี่ยวเซียว เจ้าทำอะไรอยู่หรือ” หนิงเทียนเอ่ยถามเด็กชายวัยหกปีที่เวลานี้นั่งอยู่บนพื้น มือเล็กกำถ่านหินขีดเขียนอยู่บนกระดาษบางเป็นรูปวาดแปลกๆ ที่นางมองอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นึกไม่ถึงว่าคำถามของนางจะทำให้ผู้ที่กำลังมีสมาธิอยู่สะดุ้งเบาๆ ครั้นใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมาก็ลอบถอนหายใจ “ข้าตกใจหมดเลย ที่แท้ก็เป็นพี่สาว” ห้องนอนในกระท่อมหลังนี้มีเพียงห้องเดียวสำหรับสองแม่ลูก แถมพวกเขายังใจดี เสียสละมันให้นางได้นอนพัก แต่เวลานี้มันยังเช้าเกินไปที่นางจะนอนหลับ “ขวัญอ่อนเชียวนะเจ้า” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นบ้าง ดวงตากลมโตพิจารณารูปทรงบิดเบี้ยวที่อีกฝ่ายวาดอย่างสนใจ “วันนี้ท่านตาเล่าเรื่องเมาโถวอิงให้พวกเราฟัง” เสียงเด็กน้อยเอ่ยเจื้อยแจ้ว “แต่ข้านึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่านกเค้าแมวหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าอาศัยอยู่ที่ชายป่าแท้ๆ แต่กลับไม่เคยเห็นมันมาก่อน” ผู้ฟังนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มจะประดับบนใบหน้าตามเดิม “เจ้าไม่เคยเห็นนกเค้าแมวหรือ” “ความจริงแล้วข้าอยากเห็นท่านกุนซือเมาโถวอิงมากกว่า แต่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้” เด็กชายอายุน้อยหยุดมือลง เผยให้เห็นภาพวาดของกิ้งกือมากกว่าที่จะเป็นภาพของนกฮูก “ข้าเลยคิดว่าอย่างน้อยแค่ได้เห็นนกเค้าแมวก็ยังดี” ผู้ฟังได้ยินดังนั้นก็เกิดประกายเอ็นดูขึ้นในแววตา “ท่านกุนซือปริศนาผู้นั้นเป็นเช่นไร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” นางกล่าว “แต่ข้าพอมีความรู้เรื่องนกเค้าแมวอยู่บ้าง เจ้าอยากฟังหรือไม่” ดวงตาของเสี่ยวเซียวพราวระยิบขึ้นมาทันตาเห็น จัดการทิ้งก้อนถ่านในมือลงอย่างไม่ใยดี กระพริบตาปริบๆ แล้วจ้องมองใบหน้าหวานอย่างตั้งใจ ค่ำคืนในฤดูร้อนมีเสียงจักจั่นส่งเสียงร้อง ขับขานเป็นท่วงทำนองที่คุ้นหูขณะที่หนิงเทียนเริ่มเอ่ยปากเล่า “นกเค้าแมวหรือนกฮูก เป็นนกที่มีรูปใบหน้าคล้ายแมวแล้วชอบจับสัตว์เล็กๆ กินเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหนู งู สัตว์เลื้อยคลานหรือแม้แต่ปูปลาในน้ำ มันจัดเป็นนกล่าเหยื่อจำพวกหนึ่ง เหมือนกับอินทรี เหยี่ยวและอีแร้ง แต่สิ่งที่ทำให้นกเค้าแมวแตกต่างจากนกตัวอื่นๆ ก็เพราะมันหากินในเวลากลางคืน...” “อ้าว แล้วล่าเหยื่อในเวลากลางคืนจะมองเห็นได้อย่างไรล่ะ พี่สาว” เด็กชายเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ได้สิ เพราะว่านกฮูกมีดวงตาที่โตกว่าเหยี่ยวและอินทรีหลายเท่า แถมยังหมุนได้เกือบรอบตัวเพราะมีกระดูกสันหลังตรงคอมากกว่าสัตว์ชนิดใดๆ ในใต้หล้า” “กระดูกสันหลังคืออะไร...” ใบหน้ามึนงงสับสน ส่งผลให้ผู้ฟังหัวเราะ “ก็เป็นกระดูกตรงนี้อย่างไรเล่า” กล่าวจบก็ใช้มือจิ้มไปตรงกระดูกสันหลังของเด็กน้อยแล้วลากยาวตั้งแต่ตรงต้นคอมาจนถึงก้นกบ ส่งผลให้ร่างเล็กๆ หัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั๊กจี้ ฮูหยินที่เพิ่งเสร็จจากการล้างจานเห็นว่าลูกชายกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานก็ยิ้มละมุนละไม การที่มีแขกมาเยือนก็ช่วยคลายเหงาให้บุตรชายของนางได้มากทีเดียว “นอกจากนี้แล้ว หูของนกเค้าแมวยังฉับไวมากกว่ามนุษย์เป็นร้อยเท่า มีขนปีกที่อ่อนนุ่ม บินได้เงียบเสียจนเหยื่อไม่รู้ตัว บางความเชื่อถึงกับยกย่องให้นกฮูกเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา ความโชคดีและเวทมนตร์คาถา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้ายและความตายเสียมากกว่า” “อ้าว! แล้วตกลงนกเค้าแมวมันดีหรือไม่ดีกันรึ พี่สาว” หนิงเทียนตบบ่าเล็กๆ เบาๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นเต็มความสูง เอ่ยอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ “บางครั้งปัญญาก็อาจชักนำโชคร้ายและความตายมาสู่ผู้ที่มีมันก็เป็นได้...” ผู้ฟังที่ได้ยินไม่ถนัดเอียงคอมองอย่างสงสัย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮูหยินวัยสาวเดินตรงมาพอดี หญิงสาวยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าตามนิสัย กล่าวกับเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน “บางครั้งปัญญาก็เปรียบเสมือนดาบสองคม หากเจ้าใช้มันในทางที่ดีก็จะเกิดประโยชน์ แต่จะต้องระวังอย่าไปใช้ในทางที่ผิดเป็นอันขาดเชียว ใช่ไหมเจ้าคะฮูหยิน” เจ้าของใบหน้าหวานเอ่ยพลางหันไปถามอีกคน “แม่นางไป๋กล่าวถูกต้องแล้ว จำไว้ให้ดีล่ะเสี่ยวเซียว” นางกล่าวจบก็อ้าแขนรับเด็กชายที่เริ่มหาวหวอดเข้าสู่อ้อมกอด ดวงตาก้มลงมองลูกน้อยมีแต่ความรักใคร่ “แม่นางไป๋เข้านอนเถิด ไว้พบกันพรุ่งนี้เช้า” ผู้ฟังพยักหน้า “ขอบพระคุณน้ำใจของฮูหยิน” เจ้าของเรือนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจูงบุตรชายไปยังจุดที่ปูผ้าสำหรับคืนนี้ หนิงเทียนมองตามคนทั้งสองครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงเก็บแผ่นกระดาษและก้อนถ่านเบื้องล่าง แล้วจึงเดินเข้าห้องนอนไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่อบานประตูไม้ปิดลง รอยยิ้มบนก็จางลงไปเกือบครึ่ง หลงเหลือแต่เพียงมุมปากที่ยังหยักยิ้มเล็กๆ ไว้เท่านั้น ฮูหยินวัยสาวคงไม่รู้เลยว่าพวกนางต่างหากที่ช่วยผ่อนคลายความเหงาให้กับนาง ครั้งล่าสุดที่เคยสัมผัสคำว่า ‘เดียวดาย’ คงเป็นเมื่อสิบสองปีก่อน นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วนางก็ได้ลิ้มรสมันอีกครา... บ้านเกิดของนางคือชนเผ่าวิหคที่ตั้งอยู่บนเกาะเทียนซิง ต้องนั่งเรือข้ามมหาสมุทรออกไปจากแคว้นเกา ใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงจะเดินทางไปถึง ชนเผ่าวิหคเป็นชนเผ่าที่มีเวทมนตร์คาถา สามารถสั่งการและควบคุมบรรดาปักษาทั้งหลายได้ดั่งใจนึก นับว่าเป็นชนเผ่าที่รุ่งเรืองและได้รับความเคารพนับถือจากทุกชนชั้น ไม่เว้นกระทั่งป๋าอ๋องผู้ปกครองเกาะที่ยังต้องให้ความยำเกรง ทว่าต่อให้ชนเผ่านี้มีพลังอำนาจที่น่าพิศวงมากเพียงไร ก็ยังคงหนีไม่พ้นความเป็น ‘มนุษย์’ ไปอยู่ดี สิบสองปีก่อนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ภัยธรรมชาติถือเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกร คลื่นยักษ์จากท้องมหาสมุทรสีครามราวกับมัจจุราชที่สูบทุกชีวิตให้จมลงสู่ผืนน้ำอย่างไม่ปราณี และจุดที่คลื่นทะเลกวาดล้างไปคือฝั่งทิศตะวันตก...ที่ตั้งของชนเผ่าวิหค ภาพเหล่านั้นยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ยามนั้น นางในวัยห้าขวบออกไปเที่ยวเล่นบนเขา จึงรอดพ้นจากภัยพิบัติที่แสนโหดร้ายที่คร่าชีวิตคนทั้งชนเผ่า ไม่มีใครเหลือรอดสักคนเดียว ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องสาวของนาง ล้วนหายสาบสูญ แม้แต่ผู้ที่มีมนต์คาถาสะกดวิหคที่เก่งกาจกว่านางเป็นร้อยเท่าก็เหลือเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจ มีบางศพถูกเศษกิ่งไม้ที่พัดพามากับน้ำเสียบทะลุร่าง ส่วนบางศพก็ถูกอีแห้งจิกทึ้งอย่างน่าสยดสยอง หลายๆ ท้องทะเลที่เงียบสงัดและสวยงาม กลับกลายเป็นสุสานที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ดวงตากลมโตสั่นระริกอยู่ในความมืด จนกระทั่งเสียงร้องของจักจั่นฉุดรั้งสติของนางกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง เจ้าของใบหน้าหวานจึงเริ่มใคร่ครวญถึงการเดินทางหลังจากนี้ เห็นทีว่าการเดินทางไปยังแคว้นอู๋คงต้องหยุดชะงักไปก่อนเพราะรองแม่ทัพหม่าคงจะคาดเดาเส้นทางของนางได้แล้ว หนิงเทียนจึงตั้งใจว่าจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งแทน เมื่อที่ๆ อันตรายที่สุดคือที่ๆ ปลอดภัย... มือบางวางแผ่นกระดาษและก้อนถ่านลงบนโต๊ะเล็ก แม้ภายในห้องจะไม่มีตะเกียงหรือเทียนไขคอยให้ความสว่าง แต่ก็สามารถมองเห็นหน้ากากหนังมนุษย์และเงินจำนวนสิบตำลึงเงินซึ่งวางอยู่ด้านข้างได้อย่างชัดเจน นางเหลือเพียงของสองสิ่งนี้ติดตัวมา ครั้นจ้องมองนานๆ ก็ทำให้ภาพที่อยากจะลืมมันไปก็รบกวนจิตใจอีกจนได้ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่เห็นเพียงครั้งเดียวกลับเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ เสียงทุ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงอำนาจราวกับยังดังอยู่ข้างหู เพียงนึกถึงอ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบกระชับเอวคอดกิ่วก็ส่งผลให้ความร้อนผ่าวลามใบหน้าเรื่อยไปถึงใบหู หนิงเทียนสะบัดหน้าแรงๆ เผื่อขับไล่ความรู้สึกแปลกๆ ทิ้งไป อีกฝ่ายคงสงสัยพื้นเพของนางแน่จึงได้สั่งให้หานลู่จับตัวนาง เพราะฉะนั้นฮั่วหลิงหวางก็จัดอยู่ในรายชื่อบุคคลอันตรายที่นางควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน คิดพลางเดินไปทรุดกายลงบนผ้าผืนบางที่ปูอยู่บนพื้นไม้ ภายในเวลาไม่นานก็จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างอ่อนล้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD