1
เพียงจุดเริ่มต้น
หมู่บ้านตงเจียงตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาเขตแดนแคว้นหยางซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และแคว้นอู๋ซึ่งอยู่ทางทิศใต้
สองแคว้นนี้มีอาณาเขตกว้างขวางและความยิ่งใหญ่พอๆ กัน จึงมีการสถาปนาองค์ฮ่องเต้เป็นผู้ปกครองใต้หล้า
เมื่อหลายปีก่อน ยามที่สองแคว้นใหญ่ทำสงครามห่ำหั่นกันทีไรก็มักจะสะเทือน ระส่ำระส่ายไปทั่วทุกหย่อมหน้า แคว้นเล็กทั้งหลายล้วนได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
ไพร่ฟ้าประชาราฏร์เดือดร้อนเพราะไม่สามารถทำมาหากิน ไร่นาที่เพาะปลูกก็กลายเป็นสนามรบจนพังเสียหาย หลายหมื่นชีวิตและผู้นำครอบครัวใหญ่น้อยสูญสิ้นไปกับศึกสงครามอันยาวนานยืดเยื้อ
สิ่งเหล่านี้มิต่างจากฝันร้ายที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จักจบจักสิ้น เสียงร้องไห้ดังระงมดังเพลงขับกล่อมวิญญาณทุกผืนแคว้นหลอกหลอนทุกชีวิตทั้งยามหลับและยามตื่น...
ในที่สุดสวรรค์ก็ยังมิทอดทิ้งพวกเขา เมื่อองค์จักรพรรดิแห่งแคว้นหยางและอู๋ทรงตัสินพระทัย ลงนามทำสัญญาสงบศึกเป็นเวลาสามสิบปีเพื่อเว้นช่วงให้ประสกนิกรได้ฟื้นตัว
หากมันก็เป็นเพียงฉากหน้าที่กษัตริย์ทั้งสองได้วางแผนไว้อย่างถี่ถ้วนแล้ว...
ต่อให้สองแคว้นใหญ่ไม่ได้ฆ่าฟันกันเองในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แคว้นเล็กแคว้นน้อยกว่าห้าแคว้นกลับสูญเสียเขตการปกครองไปเป็นจำนวนมากเพราะมิอาจต่อกรกับแคว้นมหาอำนาจทั้งสองที่หันมากลืนกินพวกเขา
ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สร้างความหวาดหวั่นให้กับคนใต้หล้า ได้เท่ากับเวลาของสัญญาสงบศึกระหว่างสองแคว้นมหาอำนาจจะหมดลงในอีกสามปีข้างหน้า...
แม้จะยังไม่มีใครพูดคุยกันในที่แจ้ง แต่คนทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าหากสัญญาหมดลงเมื่อไร สองแคว้นที่สั่งสมกำลังไพร่พลและแคว้นประเทศราชไว้เป็นจำนวนมากคงก่อสงครามครั้งยิ่งใหญ่จนโลหิตไหลเจิ่งนองไปทั่วผืนปฐพีอย่างแน่นอน!
...ทว่ามันก็เป็นเรื่องของอนาคต
หลังจากเหอปี้เวิ่นแกล้งเมินเฉยต่อความคับแค้นใจของกว่างสือเฟิน และรับเงินรางวัลจากหัวหน้าหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างของหนุ่มน้อยก็หายไปจากหมู่บ้านอย่างไร้ร่องรอย มิอาจสืบหาที่ไปที่มาของเขาได้...
ลานประชันถูกเก็บกวาดเสียเรียบร้อยหมดจด บนท้องถนนมีผู้คนแต่งกายหลากชนเผ่าเดินไปมาอย่างขวักไขว่ เสียงร้องตะโกนเร่ขายสินค้าและต่อราคามีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ กลิ่นของเหงื่อไคลล่องลอยอยู่ในอากาศ
อาคารบ้านเรือนมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ แต่ก็สะอาดสะอ้าน ต่อให้อยู่ไกลจากเมืองหลวงแต่ก็ไม่ทุรกันดาร
ร่างในชุดสีน้ำตาลซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ครั้นไม่มีผู้ใดเดินผ่านตรอกซอยอันคับแคบก็ลอบถอนหายใจแผ่วเบา
ความจริงตั้งแต่จะเดินทางอย่างเงียบเชียบ มิเรียกความสนใจจากผู้คนแล้วแท้ๆ แต่เป็นเพราะออกเดินทางอย่างเร่งรีบโดยไม่มีเงินทองติดตัว สุดท้ายจึงต้องมาแข่งประชันปัญญาเพื่อให้มีเงินอยู่รอดไปอีกสักพัก
ดียิ่งนักที่พอมีวิชาตัวเบาติดตัว...
คิดพลางใช้มือเรียวขาวโยนถุงเงินในมือเล่นแล้วเก็บเข้าเสื้อในสุด จากนั้นก็ลงมือถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมา
ครั้นเจ้าตัวเหลือเพียงชุดซับในตัวบางก็เผยให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างอรชรอย่างชัดเจน ร่างสะคราญที่ไม่ว่าบุรุษใดเห็นก็ต้องใจสั่นเร้นกายพร้อมกับผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
เสื้อคลุมสีน้ำตาลที่นางสวมใส่ถูกพลิกด้านในออกมา จากอาภรณ์บุรุษเพศก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดอิสตรีสีม่วงเข้ม
ชุดนี้หญิงสาวเป็นผู้ออกแบบด้วยตนเอง ถึงจ้างวานให้ผู้อื่นเย็บให้แต่มีเพียงตัวเดียวในใต้หล้า
ใบหน้าของหนุ่มน้อยคลี่ยิ้มบางเบา ครั้นสวมใส่เสร็จอาภรณ์เรียบร้อยก็ตะปบมือลงบนลำคอระหง ความคุ้นชินกับการทำเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วนส่งผลให้ตนสามารถลอกหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าได้อย่างง่ายดาย
จากใบหน้าหนุ่มหน้าหยก กลับกลายเป็นดรุณีสวยใสวัยสิบเจ็ดปีผู้มีดวงหน้ารูปไข่อ่อนหวานละมุนละไม
ดวงตากลมโตและขนตายาวใต้คิ้วโก่งสวยดุจดังคันศร จมูกเล็กๆ และริมฝีปากอวบอิ่มขับผิวสีขาวกระจ่างใส
นางคลายมวยผมที่มัดรวบขึ้นเป็นทรงบุรุษออก ปล่อยให้เรือนผมเป็นสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังปล่อยสยายคลอเคลียใบหน้าหวานหมดจด
ผู้ที่ใช้ชื่อกวนประสาทร่วมการแข่งขันเมื่อครู่ แท้จริงแล้วคือหญิงสาวผู้มีนามว่า ‘ไป๋หนิงเทียน’ ต่างหาก!
ใบหน้าหวานแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี เจ้าตัวติดนิสัยยิ้มง่ายเช่นนี้ตั้งแต่วัยเยาว์จนกลายเป็นความเคยชิน
ในเมื่อได้เงินแล้วก็ไม่มีความจำที่ต้องอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้อีก...
แต่เพราะเหอปี้เวิ่นกลายเป็นจุดเด่นไปเสียแล้ว นางจึงต้องใช้ตัวตนที่แท้จริงมุ่งหน้าไปจากที่นี่โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น พอพ้นตัวหมู่บ้านแล้วค่อยปลอมตัวกลับไปเป็นหนุ่มน้อยตามเดิมน่าจะเข้าท่าที่สุด
ความร้อนอบอ้าวส่งผลให้เหงื่อเม็ดใสๆ ผุดขึ้นมาตามไรผม หากแต่เจ้าตัวกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดบางอย่างจึงไม่คิดจะสนใจ
นางรู้จัก ‘คนผู้นั้น’ มานานจึงรู้ดีว่าคนขี้ระแวงอย่างเขาคงต้องระแวงสงสัยแล้วเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้จึงต้องรีบเดินทางให้เร็วที่สุด หากย่างเข้าสู่เมืองหลวงแคว้นอู๋เมื่อไรก็น่าจะปลอดภัย
แม้ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องไปแคว้นอู๋เป็นพิเศษ ทว่าใต้หล้าแห่งนี้คงมีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่นางจะปลอดภัย มีเวลาให้ขบคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ในระยะเวลาหนึ่ง
หนิงเทียนคิดพลางเก็บหน้ากากหนังมนุษย์และพัดขนห่านเข้าอกเสื้ออย่างมิดชิด ออกจากซอยแคบไปยังถนนที่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน ตั้งใจมุ่งหน้ากลับไปยังโรงเตี๊ยม
แสงแดดอาบไล้ผิวกายจนผุดผ่อง ครั้นหญิงสาวช้อนสายตาขึ้นปะทะเข้ากับแสงสว่างโดยตรงจึงทำให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของนางเกิดประกายสีเขียวอยู่รำไร
สิ่งหนึ่งที่หลายคนมิได้สังเกต คือสีดวงตาของนางที่ใช่สีน้ำตาลอ่อนแต่เป็นสีน้ำตาลอมเขียว หากมิได้สังเกตดูใกล้ๆ หรือไม่ต้องแสงแดด ความประหลาดนี้ก็ไม่ถือเป็นที่สะดุดตาผู้อื่นแต่อย่างใด
ทว่าระหว่างทางกลับไปโรงเตี๊ยมขนาด หญิงสาวก็เหลือบสายตาไปเห็นชายชราผู้หนึ่งซึ่งมีเด็กชายหญิงประมาณสิบคนนั่งรายล้อม เสียงแหบแห้งประหนึ่งเล่านิทานปรัมปราล่องลอยไปกับสายลม
“รู้หรือไม่ว่าเหตุผลที่ทำให้องค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นหยางเพิ่งครองราชย์ได้ไม่นาน ทว่ากลับสามารถครอบครองดินแดนได้มากมายในระยะเวลาเพียงสามปี...แท้จริงแล้วเป็นเพราะพระองค์มีผู้ช่วยที่เก่งกาจ”
เท้าที่กำลังจะเดินผ่านพ้นไปหยุดชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าหวานฝืดเฝื่อนไปครู่หนึ่งก่อนที่มันจะเป็นรอยยิ้มสดใสดังเดิมโดยที่ผู้คนซึ่งเดินผ่านไปมามิทันสังเกตเห็น
บนท้องถนนที่มีความวุ่นวายกลับมิอาจกลบทับเสียงเล่าของชายชราไปได้
“พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน พระองค์และผู้ช่วยทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสาบาน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน หนึ่งคือแม่ทัพกู่จิ้นกว่างซึ่งขี่ม้าบุกตะลุยกำหลาบศัตรูไปทั่วแดน ทว่าที่น่าสนใจคืออีกผู้หนึ่งต่างหาก...”
“ใครกันหรือท่านตา” เสียงของเด็กน้อยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เขาคือกุนซือปริศนาที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นหน้ามาก่อน ปกติแล้วมักจะสวมใส่หน้ากากอยู่เสมอ ว่ากันว่ามีเพียงองค์ฮ่องเต้และแม่ทัพกู่จิ้นกว่างเท่านั้นที่เคยเห็นใบหน้าของกุนซือผู้นี้”
“โห! เหตุใดจึงปกปิดหน้าตาเล่า”
“หรือเป็นเพราะว่าเขาอัปลักษณ์! ”
เด็กน้อยทั้งหลายพากันตั้งคำถามอย่างกระตือรือร้น ผู้คนที่เดินผ่านไปมาจึงเริ่มให้ความสนใจและหยุดฟังจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่ การเล่าเรื่องในวันนี้ของชายชราจึงครึกครื้นยิ่งนัก
แต่หนิงเทียนกลับเดินต่อโดยไม่สนใจการเล่านิทานอีก แต่ถึงแม้ว่านางจะจากไปแล้ว เสียงแหบแห้งก็ยังคงเล่าต่ออย่างไม่เว้นช่วง
“ไม่มีผู้ใดล้วงรู้เลยว่าหน้าตาของกุนซือผู้นั้นเป็นอย่างไร แต่ในเมืองหลวงต่างลือกันเสียหนาหูว่าเบื้องหลังความสำเร็จของกองทัพล้วนมาจากเขา ทั้งกลยุทธ์การศึกที่แยบยล พลิกร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนศัตรูให้กลายมาเป็นพันธมิตร ใช้น้ำที่น้อยนิดเอาชนะทะเลเพลิง! ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น!”
เสียงคนฮือฮาอย่างสนอกสนใจ ความเคลือบแคลงสงสัยมีมากยิ่งขึ้น
“ผู้คนต่างขนานนามเขาว่า ‘เมาโถวอิง’ ”
“เมาโถวอิง ที่แปลว่านกเค้าแมวหรือท่านตา”
ผู้อาวุโสพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว”
ในเวลานั้นเองที่มีกลุ่มคนต่างถิ่นเดินผ่านทางมา แม้ว่าคนส่วนหนึ่งจะให้ความสนใจกับคำบอกเล่าของชายชรา ทว่าก็มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่กำละงเหม่อมองผู้มาใหม่อย่างสนใจ
พวกเขาเป็นกลุ่มบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบถึงสามสิบปีสามคน แต่ละคนล้วนแต่กายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายทว่ากลับน่าเกรงขาม ยิ่งกว่าผู้ที่แต่งกายโอ่อ่าที่ต้องการโอ้อวดความร่ำรวยของตนเสียอีก
“อา...เจ้าเห็นผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้านั่นไหม”
“แต่ข้ากลับสนใจผู้ที่เดินอยู่ริมขวาสุดมากกว่า”
“คนด้านหลังก็ไม่เลวเลย ดูเงียบๆ ขรึมๆ ดี ข้าชอบ...”
ดรุณีน้อยกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่ากลุ่มคนที่ถูกพูดถึงได้ยินอย่างชัดเจน
“จะว่าไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่เลวเลย” ซือเหยากล่าวกับคนข้างกายด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นบุรุษผิวสีแทนเจ้าของใบหน้าคมเข้มซึ่งอายุน้อยที่สุดในคณะเดินทาง
‘ไม่เสียเที่ยวเลยที่มาด้วย’ ครุ่นคิดขณะที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้สาวๆ ที่ปรายตามองเขาอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสั่งให้เจ้าลาพักร้อนสักสองสามปี ดีหรือไม่” ชายหนุ่มผู้เดินนำอยู่หน้าสุดกล่าว บนมุมปากคลี่ยิ้มเล็กน้อยเหมือนกำลังยิ้มเยาะ ทว่าในสายตาสตรีทั้งหลาย มันยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายประหนึ่งงานประติมากรรมชั้นยอดดูดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว!
“โธ่! นายท่าน อย่าใจร้ายกับข้านักเลย ที่ผ่านมาท่านก็ชอบตัดเบี้ยเลี้ยงข้าจนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้วนะ! ” ซือเหยาโวยวายและโอดครวญ แต่คนเบื้องหน้ากลับหมางเมิน เดินต่อไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
“สมน้ำหน้า” เสียงเยาะเย้ยขรึมๆ จากทางด้านหลังส่งผลให้เจ้าของผิวสีแทนดำคล้ำขึ้นกว่าเดิม ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา
‘ฮือ...ชีวิตของข้า ซือเหยาช่างอาภัพนัก มีเจ้านายเจ้าเล่ห์แถมโหดยังไม่พอ กลับต้องมามีเพื่อนร่วมงานสายเงียบกวนประสาทอีก! ’
หานลู่เบือนสายตาไปยังซือเหยาอย่างเอือมระอา ก่อนจะตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้านายของตน น้ำเสียงเงียบขรึมจริงจัง “ดูเหมือนเมาโถวอิงจะมีชื่อเสียงไม่น้อย”
อีกฝ่ายพยักหน้า “มาถึงตงเจียงครานี้อย่าให้สิ่งใดคลาดสายตา”
“เรื่องนี้ข้ากับซือเหยาจะจัดการเองขอรับ นายท่านโปรดวางใจและรอรับข่าวที่โรงเตี๊ยม”
ดวงตาเฉียบคมสบตาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอยู่ครู่หนึ่ง ประกายในแววตาล้ำลึกยากที่จะคาดเดา “ดี”
เสียงพูดคุยของผู้คนดังกลบบทสนทนาของพวกเขาไปจนหมดสิ้น มิทันไรกลุ่มบุรุษเหล่านั้นก็กลมกลืนไปกับนักเดินทางมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมิขาดสาย...