บทนำ

1494 Words
บทนำ ดวงสุริยันแห่งคิมหันตฤดูแผดเผาร้อนระอุอยู่เหนือศีรษะ ที่นี่คือหมู่บ้านตงเจียงซึ่งคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างสองแว่นแคว้นอันคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ยามนี้สถานที่ซึ่งมักจะวุ่นวายอยู่แล้วกลับคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขาจัดการแข่งขัน ‘ประชันปัญญา’ โดยมีเงินรางวัลให้กว่าสิบตำลึงเงิน! แม้ฟังดูแล้วจำนวนเงินจะมิได้มากมายมหาศาล ทว่าสำหรับชาวบ้านทั้งหลายที่หาเช้ากินค่ำแล้ว เงินนี้จะสามารถช่วยให้พวกเขาอยู่สบายไปได้อีกนานเลยทีเดียว การประชันปัญญาแต่แรกเริ่มมีผู้เข้าร่วมกว่ายี่สิบคน และมีนักเดินทางจากต่างถิ่นกว่าห้าคนด้วยกัน เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อย ความดุเดือดและสนุกสนานดำเนินไปเรื่อยๆ จนผู้ชมทั้งหลายลืมความเมื่อยล้าและความร้อนของไอแดดไปเสียสนิท ในที่สุดการแข่งขันประชันปัญญาก็มาถึงช่วงโค้งสุดท้าย... ลานกว้างหน้าเรือนหัวหน้าหมู่บ้านเหลือเพียงร่างของสองบุรุษ หนึ่งคือชายอายุย่างเข้าเลขสี่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไว้หนวดเคราและใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา สวมใส่ชุดสีเทาเข้ม เข้ากับพัดขนห่านในมือใหญ่ที่โบกพัดคลายความร้อน ส่วนผู้ที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของเวทีกลับเป็นบุรุษร่างบางวัยละอ่อนไม่น่าจะเกินสิบเจ็ดปี อาภรณ์สีน้ำตาลเข้มทำให้ตัวของเขาดูเล็กบาง ใบหน้าสะอาดหมดจดมีเค้าอ่อนหวานอยู่หลายส่วน บนริมฝีปากฉาบด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างสุนทรี ยามที่คนอ่อนวัยเห็นคู่ต่อสู้เริ่มโบกพัดในมือ เขาจึงหยิบพัดขนห่านสีขาวบริสุทธิ์ที่มีขนาดเล็กกว่าออกมาโบกเล่นบ้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนขบขันพราวระยิบจนเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมด้านล่างได้เป็นอย่างดี “พี่น้องทุกท่าน ในที่สุดการแข่งขันประชันปัญญาก็มาถึงรอบสุดท้ายแล้ว...” เสียงแหบแห้งของหัวหน้าหมู่บ้านวัยห้าสิบสามปี ส่งผลให้ผู้ที่ยืนโอบล้อมเวทีกลับมาสู่ความสงบอีกครา ทุกสายตาเบือนไปยังร่างที่เพิ่งเดินออกมาจากเรือน แววตาฉงนสงสัยเจือความลุ้นระทึกอยู่ในที ไม่รู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะใช้สิ่งใดมาเป็นตัวตัดสินการแพ้ชนะในรอบสุดท้ายนี้ ฝ่ายผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง คนหนึ่งขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ส่วนอีกคนกลับยิ้มละไมอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใด “การแข่งขันรอบสุดท้าย มีกติกาดังนี้” ร่างของผู้อาวุโสเดินเข้าสู่ใจกลางลานประลอง “ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองจะต้องตามหาสิ่งที่เป็นคำตอบของคำใบ้ปริศนาให้พบภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป หากผู้ใดพบก่อนก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะ” คำบอกกล่าวของหัวหน้าหมู่บ้านเรียกเสียงฮือฮาสนุกสนานจากผู้ชมที่อยู่โดยรอบ จังหวะเดียวกับที่โต๊ะไม้เล็กถูกบุรุษสองคนยกออกมากลางลานกว้างพร้อมกับกระถางที่มีธูปหนึ่งดอก “กฎข้อห้ามดังนี้ หนึ่ง ห้ามผู้เข้าแข่งขันใช้กำลังภายในหรือวรยุทธ์ สอง...ห้ามใช้อาวุธใดๆ โดยเด็ดขาด สาม ผู้เข้าแข่งขันไม่สามารถทำร้ายร่างกายผู้แข่งขันฝั่งตรงข้ามได้ และสี่ ห้ามแย่งชิงสิ่งที่เป็นคำตอบจากกันและกันเป็นอันขาด” ดวงตาของผู้กล่าวเบือนไปยังผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเล็กน้อย หนึ่งใบหน้าเกลี้ยงเกลากับอีกที่มีหนวดเคราไม่เอ่ยถามสิ่งใด นอกจากพยักหน้ารับรู้ “คำถามปริศนาคือ ‘ต้นกำเนิดเดียวกันหากแต่แยกเป็นสอง สิ่งแรกหากมีหนึ่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่สองหากมีหนึ่งก็จะจากไป ทั้งสองสิ่งคืออะไร’ หากไม่มีใครสามารถบรรลุเงื่อนไขได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดก็จะไม่มีใครได้รับเงินรางวัล เริ่มการแข่งขันได้!” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวจบก็รับเทียนไขจากผู้ช่วยมาจุดธูป นับว่าเป็นการเริ่มการแข่งขันรอบสุดท้ายอย่างเป็นทางการ! ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองหันมาสบตากัน ผู้สูงวัยใช้มือประกบพัดยื่นออกไปเบื้องหน้า ท่าทีดั่งบัณฑิตผู้ทรงคุณวุฒิ “ข้า...กว่างสือเฟิน ฉายาไท่หยาง” เสียงทุ้มสุขุมกล่าวแนะนำตัวตามมารยาท ส่งผลให้คนฟังคลี่ยิ้มกว้างขึ้น หนุ่มน้อยประกบมือบ้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าเจ้าสำราญยิ่ง “ถามทำไม” กว่างสือเฟินใบหน้าบิดเบี้ยวที่ถูกยอกย้อนราวกับเขาไม่มีตัวตนในสายตาของคนอ่อนเยาว์ ผู้ที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงกล่าวเสริมด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ข้ามีนามว่า เหอปี้เวิ่น[1] ฉายาต้าไท่หยาง[2]” กล่าวจบก็เบือนหน้าไปทางฝั่งขวา ทำมีทีท่าจะเดินไปยังจุดนั้น ชื่อที่แสนกวนประสาทและนามแฝงที่ตั้งใจล้อเลียนส่งผลให้คนฟังใบหน้าดำคล้ำ ส่วนชาวบ้านทางด้านล่างต่างหัวเราะกันอย่างชอบอกชอบใจ หนุ่มน้อยผู้นี้น่าสนใจนัก! ...เขาทั้งซุกซนแต่ก็มีปัญญาเฉียบแหลม พลิกแพลงทุกสิ่งอย่างจนสามารถเข้ามาถึงรอบชิงได้ เรียกได้ว่าม้ามืดที่เหนือความคาดหมายของทุกคน กว่างสือเฟินเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ ‘ประเสริฐ! เหอปี้เวิ่น!’ เขากัดฟันกรอด ก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินไปยังมุมซ้าย เลือกที่จะไม่สนใจคู่ต่อสู้ที่ดูอย่างไรก็เป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแล้วพิจารณาคำใบ้ที่ได้รับ กรอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ หากให้ครุ่นคิดนานจนไม่ทันได้เดินออกไปหาก็คงหมดเวลาก่อนพอดี ผู้ที่มีหนวดเคราบนใบหน้าเบือนสายตาไปยังเหอปี้เวิ่นซึ่งยืนอยู่อีกฝั่ง เห็นว่าหนุ่มน้อยกำลังเพ่งสายตาเข้าไปยังบริเวณป่าโปร่งทางทิศตะวันตกอย่างครุ่นคิด มิทันไรก็พยักหน้าแล้วทำท่าจะมุ่งหน้าเดินไปยังทางนั้น อย่าบอกนะว่าเขาคิดได้แล้ว เหตุใดจึงเร็วนัก! ด้วยความร้อนใจว่าจะพ่ายแพ้ กว่างสือเฟินจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปในป่าโปร่งทันทีท่ามกลางความตกใจของผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบ กะว่าหากเข้าไปในป่าอาจคิดคำตอบของคำใบ้ปริศนาออก ดีกว่าจะต้องมานั่งเสียเวลาครุ่นคิดอยู่บนเวที ทว่าความประหลาดใจก็เกิดขึ้นกับผู้ชมทั้งหลายอีกครา เมื่อเด็กหนุ่มซึ่งเดิมทีทำท่าจะเดินเข้าไปในป่าโปร่งกลับหันหน้ากลับมายังผู้ชมทั้งหลาย ต้นกำเนิดเดียวกันหากแต่แยกเป็นสอง สิ่งแรกหากมีหนึ่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่สองหากมีหนึ่งก็จะจากไป...คำตอบนั้นไม่ยากเลย เขาคิดในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปในฝูงชนซึ่งพากันแหวกทางอย่างพร้อมเพรียง ดวงตากลมโตกวาดมองอยู่ครู่เดียวก็พบสิ่งที่ต้องการ ก่อนจะพา ‘สองสิ่งนั้น’ ขึ้นไปยังเวที ฝ่ายกว่างสือเฟินเห็นเด็กหนุ่มมิได้เข้ามาในป่าก็หน้าเปลี่ยนสี ครั้นวิ่งกลับมายังลานประลองก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาถูกเด็กคนนั้นหลอกให้วิ่งเข้าไปในป่า! ไม่มีมีดมาจ่อคอ ไม่มีถ้อยคำข่มขู่ใดๆ แต่เขากลับหลอกด้วยการแสดงละครตบตาเท่านั้น! ธูปในกระถางถูกเผาไหม้จนเหลือเพียงก้าน ในขณะที่สองมือของเหอปี้เวิ่นจับจูงเด็กผู้ชายอายุสี่ขวบและเด็กผู้หญิงอายุหกขวบไว้แน่น “คำตอบของคำใบ้ปริศนานี้คือ บุตรชายและบุตรสาว” เด็กหนุ่มผู้ที่ใบหน้าหวานราวกับอิสตรีกำลังพูดอยู่กับผู้ใหญ่บ้าน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าราวกับตั้งใจเผื่อแผ่ไปยังผู้ที่เพิ่งกลับออกมาจากป่าเป็นพิเศษ “ต้นกำเนิดเดียวกันหากแต่แยกเป็นสอง สิ่งแรกหากมีหนึ่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่สองหากมีหนึ่งก็จะจากไป...พวกเขาทั้งสองกำเนิดจากบิดาและมารดาเดียวกันแต่แยกออกเป็นสองเพศ พอเติบใหญ่ บุตรชายจะแต่งสะใภ้เข้าบ้านแล้วมีบุตรมากมาย หากบุตรสาวจะต้องแต่งออกไป ข้าตอบถูกต้องหรือไม่ท่านผู้ใหญ่” น้ำเสียงของผู้กล่าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ถึงกระนั้นก็ดูน่าเอ็นดูอย่างร้ายกาจจนผู้มองหมั่นไส้ไม่ลง กว่างสือเฟินที่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เขาอายุมากกว่าแต่กลับพ่ายแพ้ จึงรู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน! ใบหน้าของที่มีหนวดเคราเขียวคล้ำ รีบสะบัดกายเดินจากไปโดยมีเสียงของผู้ตัดสินดังไล่หลัง “ถูกต้อง! เหอปี้เวิ่นเป็นฝ่ายชนะ!” [1] เหอปี้เวิ่น (***) ภาษาจีน หมายถึง ถามทำไม [2] ต้าไท่หยาง (***) ‘ไท่หยาง (**)’ หมายถึงพระอาทิตย์ การเติมคำว่า ‘ต้า’ ที่แปลว่าใหญ่ในที่นี้แปลว่า พระอาทิตย์ดวงใหญ่ ตั้งใจล้อเลียนว่ายิ่งใหญ่กว่าผู้ที่มีฉายาว่าไท่หยางเพียงอย่างเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD