หญิงสาวร่างแบบบางนางหนึ่งกำลังทำท่าเหมือนจะปีนระเบียงคอนโดมิเนียมหรูซึ่งอยู่สูงถึงชั้นที่ 50 พลัน…เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมา
“อย่านะ เลี่ยงรุ่ย แกอย่าคิดสั้นนะ”
จูเลี่ยงรุ่ยหันกลับมา หรี่ตามองที่มาของเสียงพลางทำสีหน้างุนงง
“ก็แค่ผู้ชายคนเดียว มันทิ้งเราไป เราก็หาใหม่ได้ อย่าลืมสิว่าแกคือหญิงแกร่งแห่งยุค แค่ผู้ชายทิ้งแกอย่าคิดสั้นนะ ชีวิตแกยังมีค่าอีกมาก”
จูเลี่ยงรุ่ยถอนหายใจเสียงดังก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ หญิงสาวเดินกลับเข้ามาด้านในห้องก่อนจะปิดประตูระเบียง
“หลิวหยาง ชั้นเนี่ยนะจะโดดตึกฆ่าตัวตาย แกดูละครมากไปหรือเปล่า ชั้นแค่ไปยืนตากลมแล้วพอดีผ้าพันคอมันปลิวออกจากคอเพราะลมแรง ชั้นก็จะคว้ามันเอาไว้ก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ทันแล้ว พอได้ยินเสียงแกชั้นก็หันมามองแก แล้วผ้าพันคอนั่นก็คงปลิวไปไหนต่อไหนแล้ว”
หลิวหยางได้ยินดังนั้นก็ดีใจ
“จริงนะ แกไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ นะ นี่ชั้นเป็นห่วงแกแทบแย่ คิดๆ แล้วมันน่าเจ็บใจนะ ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่น…”
“นี่ พอแล้ว ไม่ต้องไม่ด่าอะไรมันแล้ว มันเลิกกับฉันได้ซะทีก็ดีเหมือนกัน อ้อ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ไม่ใช่มันนะที่ทิ้งชั้นไป เป็นชั้นต่างหากล่ะที่สลัดมันทิ้ง คนอย่างจูเลี่ยงรุ่ยนั้นจะเลือกเอาผู้ชายดีๆ สักกี่คนก็ได้ ไอ้พวกไม่ดีก็แค่เตะมันทิ้งไป ฮ่าๆๆๆ”
“ใช่สิ แกมันสวยเลือกได้นี่นะ” หลิวหยางกระเซ้า เธอรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยเมื่อพบว่าแท้จริงแล้วเพื่อนรักไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรัก
“ไม่ใช่สวยอย่างเดียว รวยด้วย ชั้นนี่แหละ สวยและรวย…เลือกได้ ฮิฮิ” พูดจบจูเลี่ยงรุ่ยก็หัวเราะร่วนออกมา การเลิกรากับแฟนเป็นเรื่องปกติของเธอ ก็ในเมื่อไปกันไม่ได้ คบกันไปแล้วไม่มีความสุขจะทนทำไม ก็เลิกสิคะ แต่อย่าให้มันเป็นคนบอกเลิกเรานะ เราต้องรีบชิงบอกเลิกก่อน จะได้ไม่เสียหน้าอย่างไรล่ะ
จูเลี่ยงรุ่ย… หญิงสาวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 38 ฝน 38 หนาว ไต่เต้าจากพนักงานเก็บขยะตาดำๆ พลิกชีวิตจนกลายเป็นเศรษฐีนีรุ่นใหม่แห่งยุค มีหลายทักษะหลายสกิลในการเอาตัวรอดและอัพเกรดชีวิต วันนี้เธอมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ เว้นเสียก็แต่…คนรัก เพราะเธอจับได้ว่าเขานั้นแอบไปมีกิ๊ก หญิงสาวเลยตัดไฟเสียแต่ต้นลม ชิงบอกเลิกมันก่อนเลย
“สมัยนี้ มีเงินอย่างเดียวก็เหมือนมีทุกอย่าง เดี๋ยวความรักครั้งใหม่มันก็ตามมาเองแหละ ว่ามะ?” หลิวหยางพูดปลอบใจเพื่อนสาว แต่จูเลี่ยงรุ่ยดูเหมือนจะไม่ยี่หระต่อเรื่องความรักสักเท่าไหร่
“เงินไม่ได้สำคัญที่สุดนะแก แต่ว่า…ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยเงิน ฮ่าๆๆๆ ไม่มีความรักไม่มีแฟนไม่อดตายหรอก แต่ถ้าไม่มีเงิน ฉัน หรือแม้แต่แกต้องตายแน่”
สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ราวกับว่าเรื่องอกหักเลิกกับแฟนนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับพวกเธอไปเสียแล้ว
หลังจากที่เพื่อนสาวกลับไปจูเลี่ยงรุ่ยก็คิดว่าจะเข้านอนเร็วหน่อย พอทิ้งตัวลงไปบนเตียงมือก็ไปสัมผัสโดนบางสิ่งบางอย่างเข้า
“อ้อ นิยายเล่มนี้นี่เอง ยังอ่านไม่จบนี่นะ” หญิงสาวพึมพำกับตนเองพลางคลี่หนังสือนิยายเปิดอ่าน เนิ่นนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจประมาณได้จนกระทั่งหญิงสาวผล็อยหลับไปโดยมีหนังสือนิยายปิดหน้าเธอเอาไว้
ครอกฟี้ ครอกฟี้…
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเกาหลิง มณฑลเหอจิ้ง
“อูย” เสียงครางโอดโอยของหญิงสาวทำให้ผู้ที่นั่งหลับโดยฟุบหน้ากับเตียงคนไข้สะดุ้งตื่นขึ้นมา
“เลี่ยงรุ่ย เลี่ยงรุ่ย ลูกฟื้นแล้ว” น้ำเสียงนั้นทั้งเจือแววตื่นเต้นและแววยินดี
จูเลี่ยงรุ่ยปรือตาขึ้นมา ภาพที่เธอเห็นมันค่อนข้างเลือนราง แต่เพียงครู่เดียวดวงตาของเธอก็ปรับแสงได้ จากความพร่ามัวดวงตาของเธอก็เริ่มมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวงุนงงเมื่อเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอในระยะประชิดก่อนที่จะเข้ามาโอบกอดเธอเอาไว้
“แม่คิดว่า…ฮึก…ฮึก…” หวงเลี่ยงหลิงหยุดคำพูดเอาไว้เพียงแค่นั้น ไม่กล้าพูดต่อว่า ‘แม่คิดว่าลูกจะไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว’ น้ำตาแห่งความยินดีไหลพราก
หวงเลี่ยงหลิงเป็นสตรีวัยกลางคน อายุ 40 ปี เธอเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายทหารใหญ่ระดับนายพล มีสามีเป็นนายทหารยศนายพันที่เป็นทั้งรักแรกและรักเดียวของเธอ
รัก…ที่เธอได้มาครอบครองเพราะการแย่งชิง
อันที่จริงจะกล่าวว่าเธอได้ครอบครองความรักนั้นไม่ค่อยจะถูกนัก ต้องกล่าวว่าเธอได้ตัวเขา (เท่านั้น) มาครอบครองจึงจะถูกเสียกว่า เพราะจูลู่จื้อผู้ซึ่งเป็นทั้งสามีและพ่อของลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอนั้นไม่เคยมีใจให้เธอเลย ในหัวใจของเขามีสตรีเพียงหนึ่งเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” จูเลี่ยงรุ่ยขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วความเจ็บแปลบที่แล่นผ่านศีรษะก็ทำให้หญิงสาวรีบเอามือขึ้นกุมหัว
“โอย!” เธอครางออกมาอีกรอบ
“ยังไม่ต้องรีบลุกลูก หมอบอกว่าให้ลูกพักเยอะๆ นี่หลังจากผ่าตัดลูกหลับไป 3 วัน 3 คืน จนแม่ใจไม่ดี โชคยังดีที่สวรรค์เมตตา วันนี้ลูกฟื้นแล้ว แม่ดีใจที่สุด แม่…ฮือๆๆๆ” หวงเลี่ยงหลิงพยายามห้ามตนเองไม่ให้ร้องไห้ให้ผู้เป็นลูกเห็นแล้วแต่ความดีใจที่มันล้นอกก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
จูเลี่ยงรุ่ยอึ้งงันไปชั่วขณะ เวลานี้อาการเจ็บแปลบนั้นทุเลาไปแล้ว หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าที่นี่มีสภาพไม่ต่างกับโรงพยาบาล รอบๆ ตัวเธอนั้นมีเตียงผู้ป่วยรายล้อมเต็มไปหมด สภาพของโรงพยาบาลแห่งนี้แม้จะไม่เก่าทรุดโทรมแต่ก็มิได้หรูหราโอ่อ่า เสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กๆ ดังมาเป็นระยะๆ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลชวนให้เวียนหัว นางพยาบาลและเจ้าหน้าที่หลายๆ คนต่างพากันเดินเข้าเดินออก หญิงสาวมองภาพต่างๆ เหล่านั้นพลางพยายามใช้ความคิด
“ที่นี่ที่ไหน?” เธอถามออกมาลอยๆ
“ที่นี่โรงพยาบาลอย่างไรล่ะ ลูกจำได้หรือเปล่า เมื่อสามวันก่อนลูกเข้ารับการผ่าตัดสมอง โชคดีที่หมอที่ไปเรียนต่างประเทศเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองกลับมาพอดี ลูกเลยได้ผ่าตัดกับหมอเฉพาะทาง แม่กับคุณตาเทียวไปบนบานศาลกล่าวเหล่าเซียนที่วัดตั้งหลายแห่ง ขอให้ลูกปลอดภัย โชคดีนักหนาที่ท่านเมตตา” พูดจบ หวงเลี่ยงหลิงก็เอามือลูบหัวบุตรสาวเบาๆ
“แม่?ตา?” จูเลี่ยงรุ่ยทวนคำ หญิงสาวให้รู้สึกสับสน สตรีนางที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้หากให้เดาก็คงอายุไล่เลี่ยกับเธอ เหตุไฉนมาเรียกเธอว่าลูก ไหนจะมีตาอีก เธอจำได้ว่าตาของเธอเสียไปได้หลายปีแล้ว
พลัน…หญิงสาวก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เมื่อเหลือบมองเห็นแขนและมือที่ดูต่างออกไปของตนเอง
“เอ่อ คือ ดิฉันขอดูกระจกหน่อยได้ไหมคะ?” จูเลี่ยงรุ่ยถามออกไป
“ได้ ได้สิลูก” หวงเลี่ยงหลิงรีบเปิดกระเป๋าสะพายของตนเองและหยิบกระจกแบบพับบานเล็กๆ ออกมายื่นส่งให้
ทันทีที่เห็นเงาตนเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกจูเลี่ยงรุ่ยก็ตะลึงงัน อ้าปากค้าง
…นี่มันไม่ใช่หน้าเธอสักหน่อย มันคือใบหน้าของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง
จู่ๆ ความปวดแปลบก็แล่นผ่านหัวของเธอจนจูเลี่ยงรุ่ยต้องหลับตาและยกมือขึ้นมากุมศีรษะ
“อะ…ปวด ปวดหัว”
หวงเลี่ยงหลิงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ รีบโอบกอดบุตรสาวที่เป็นดั่งไข่มุกในมือ
“เป็นอะไรไปลูก เดี๋ยวแม่จะวิ่งไปตามหมอตามพยาบาลให้มาดู” พูดจบสตรีวัยกลางคนในชุดแต่งกายหรูหราราคาแพงก็วิ่งแจ้นไปที่เคาน์เตอร์ที่พวกพยาบาลประจำการอยู่
ทางด้านจูเลี่ยงรุ่ยเมื่อหลับตาลงก็เกิดเรื่องอันเหลือเชื่อเกิดขึ้นกับเธอ จู่ๆ ความทรงจำและเรื่องราวของใครสักคนหนึ่งก็หลั่งไหลมาเข้าหัวเธออย่างไม่บันยะบันยัง เรื่องราวต่างๆ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นเจ้าของร่างนี้ทำให้จูเลี่ยงรุ่ยเบิกตาโพลง
‘นะ นี่ นี่มันคือเรื่องราวในนิยายเล่มนั้นนี่นา’ เป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆ เธอจะทะลุมิติเข้ามาในนิยาย เธอเคยดูหนังดูละครเห็นแต่เขาทะลุมิติย้อนเวลากัน แต่นี่เธอทะลุมิติเข้ามาในหนังสือนิยายเนี่ยนะ
ด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจูเลี่ยงรุ่ยจึงได้กวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้ง พบว่าสภาพของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากภาพของโรงพยาบาลในอดีต คาดว่าน่าจะเป็นโรงพยาบาลในช่วงยุค 70 ปลายๆ ถึงช่วงยุค 80 กระมัง จูเลี่ยงรุ่ยพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่ใช้เล็บหยิกตัวเอง เธออยากรู้ว่านี่คือความฝันหรือไม่
‘อืม…เจ็บ นี่แสดงว่าเราไม่ได้ฝันไป’ เธอนึกในใจ และเมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่เรียกตนเองว่าเป็นแม่เดินมาพร้อมกับพยาบาล จูเลี่ยงรุ่ยก็ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
‘ทำไมคนอื่นๆ ได้ทะลุมิติได้ย้อนเวลามาเป็นนางเอก แต่นี่ เราได้ทะลุมิติมาเป็นตัวร้ายลูกสาวนางร้ายวะ แล้วสุดท้ายก็ต้องตายอย่างอนาถทั้งแม่ทั้งลูก’
“เลี่ยงรุ่ย เป็นอย่างไรบ้างลูก คุณพยาบาล ช่วยดูหน่อย ลูกฉันเป็นอะไร อ้อ แล้วก็ช่วยตามหมออย่างด่วนเลยนะ คุณก็รู้นี่ว่าลูกสาวฉันเป็นถึงหลานสาวของนายพลหวงนะ” หวงเลี่ยงหลิงกึ่งขอร้องกึ่งบังคับข่มขู่พยาบาลสาวนางนั้น
…ก็ตามแบบฉบับนางร้ายนั่นแหละ
พยาบาลสาวมีท่าทางหวาดหวั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนายพลหวง เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลของมณฑลเหอจิ้ง
“เอ่อ คุณจูเลี่ยงรุ่ย เป็นอย่างไรบ้างคะ ปวดหัวมากหรือเปล่า ปวดแบบไหน ปวดปวดจี๊ดๆ หรือปวดแบบตุบๆ” พยาบาลสาวทำท่าทีกระตือรือร้นมากกว่าปกติ
จูเลี่ยงรุ่ยพยายามฝืนยิ้ม เธอยังคงรู้สึกมึนๆ งงๆ อยู่บ้าง
“ปวดแบบจี๊ดๆ ค่ะ แต่ปวดแป๊บเดียวก็หายไป ตอนนี้ไม่ปวดแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
พยาบาลสาวชะงักเล็กน้อยกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของหลานสาวท่านนายพลหวง ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวมาว่าเธอนั้นเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ถือตัวว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่น และกดข่มคนอื่นมิใช่หรือ แต่หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้เวลานี้ช่างดูแตกต่างจากที่คนอื่นร่ำลือมาอย่างสิ้นเชิง
…หรือว่า การผ่าตัดสมองจะทำให้เธอเปลี่ยนไป?
*** โรงพยาบาลสมัยนี้ของผู้เขียนคือยังไม่มีห้องพิเศษนะคะ ห้องพักคนไข้จะเป็นห้องรวมทั้งหมด เพราะนโยบายของยุคสมัยคือเน้นความเท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนห้อง ICU กำลังสร้างอยู่ ยังไม่เสร็จ นางเอกหลังจากผ่าตัดสมองเสร็จจึงต้องพักฟื้นอยู่ห้องคนไข้รวมค่ะ