พวกเขาจึงหันกลับไปทางเดิมและเดินหน้าไปเรื่อยๆ ทว่าเดินไปไม่ไกลนักก็เจอทางแยก ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาดูอย่างไรก็เหมือนกัน
“ต้นไม้ในป่านี้แปลกจริงๆ พวกมันมีลักษณะเหมือนกันเกือบทั้งหมด พวกเจ้าดูสิ หากเป็นต้นใหญ่กิ่งก้านคล้ายกัน พวกต้นเล็กก็เหมือนกันเพียงแต่หันคนละข้างให้เราได้เห็นเท่านั้น”
ชิงเว่ยเว่ยก็สังเกตเห็นเช่นนั้น นางคิดชมซิวอี้เซิงในใจ สมแล้วที่เด็กชายใฝ่ฝันอยากเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นหมิง นางเองก็กำลังจะทักท้วง
“น่าเสียดายนักที่ข้ายังไม่ได้ศึกษาตำราค่ายกลอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าพวกเราจะออกจากป่านี้ได้อย่างไร?”
ซิวลู่ฉิงเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ที่ยังพอมีที่เว้นให้เห็นท้องฟ้าอยู่เล็กน้อย
“เหยี่ยวตัวนั้นยังบินวนเวียนพวกเราอยู่เลย ถ้าเผื่อมันเป็นเหยี่ยวของจอมยุทธ์เซียวก็ดีน่ะสิ เดี๋ยวมันก็คงไปแจ้งข่าวให้เจ้านายของมันมาช่วยพวกเรา เฮ้อ! ข้าหวังว่าเราคงไม่ติดอยู่ในป่านี้นานหรอกนะ”
“เหลวไหล ฉิงเอ๋อร์! เจ้าคิดเหรอว่าเหยี่ยวตัวนั้นจะช่วยเราได้ ข้าว่ารีบทำสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นไม้กันดีกว่า” ซิวอี้เซิงนึกถึงวิธีเอาตัวรอดในป่า
เด็กชายหันไปหยิบเอากระบี่ไม้ขึ้นมาบากลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่เดินผ่านไว้เป็นสัญลักษณ์เพื่อกันการหลงทาง
“เอ๋? ข้างหน้ามีทางแยกแน่ะ หัวหน้าซิว พวกเราควรไปทางไหนดี?” ฉีเหยียนที่ขึ้นไปเดินคู่กับซิวอี้เซิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว
“อืม...ไม่ว่าจะมองด้านซ้ายหรือด้านขวาก็เหมือนกัน ไม่เห็นจะมีสิ่งใดแตกต่าง” ซิวอี้เซิงมองหาจุดแตกต่างระหว่างสองทางแยกไม่เจอ เขาจึงตัดสินใจใช้กระบี่ไม้บากรอยบนต้นไม้ด้านซ้ายสองขีดและด้านขวาเป็นเครื่องหมายกากบาท “เอาล่ะ! ถ้าหลงทางคราวนี้จะได้รู้กัน”
เด็กทั้งสี่เริ่มใจเต้นตึกตัก พวกเขารู้สึกว่าตนเองกำลังหลงเข้าไปในกับดักที่มีผู้สร้างเอาไว้ หัวหน้าซิวเลือกนำไปทางด้านซ้ายแล้วทำรอยบากบนต้นไม้เป็นเป็นระยะๆ พวกเขาก้าวเท้าเร็วขึ้น ทว่าไม่นานนักก็เจอทางแยกอีกครั้ง
“ไอหยา! คราวนี้มีถึงสามทาง หัวหน้าทำอย่างไรดี?” ฉีเหยียนหน้าเผือดสีเขาเริ่มรู้สึกกลัวป่านี้ขึ้นมา ทว่าหันกลับไปมองเห็นสหายหญิงทั้งสองแล้วตนเองในฐานะบุรุษจำต้องกล้ำกลืนความกลัวเอาไว้
ชิงเว่ยเว่ยเดินมาดูข้างหน้าในขณะที่มีซิวลู่ฉิงคล้องแขนอยู่
“ดะ เดี๋ยวสิ! เว่ยเว่ย เจ้าช้าหน่อย!”
“อืม! ที่แท้ป่านี้ก็ทำค่ายกลร้อยทางแยกไว้นี่เอง! ข้ารู้สึกเอะใจตั้งแต่เห็นต้นไม้เหมือนกันไปหมดแล้ว”
“หือ! ร้อยทางแยก...ไม่ใช่ว่าเราเดินต่อไปจะมีทางแยกมากขึ้นอีกนะ” ซิวอี้เซิงนึกถึงการเดินไปข้างหน้าแล้วหวั่นใจ
“หัวหน้าคิดถูกแล้ว ยิ่งเราเดินต่อ ทางแยกจะเพิ่มเป็นสี่ทาง ห้าทาง ไปจนถึงร้อยทางแยก”
“หา! แล้วนี่เราจะออกไปกันได้หรือ?” ซิวลู่ฉิงเริ่มเป็นกังวล นางมองไปรอบๆ ป่าที่แสงแดดเริ่มอ่อนลงตามลำดับ “ตอนนี้ก็เย็นลงแล้วนะ”
ฉีเหยียนรู้สึกอากาศโดยรอบเย็นขึ้นกว่าเดิม “จริงด้วย หากหมดแสงอาทิตย์ล่ะก็ พวกเราคงจะทำลำบากแน่ ไม่รู้ว่าจิงหานที่รออยู่ข้างล่างจะคิดขึ้นมาตามหาข้าหรือไม่?” เด็กชายรู้ว่าสาวใช้ประจำตัวของตนนั้นขี้กังวลยิ่งนัก หากเขาหายตัวไปเกินกว่าที่บอกไว้ นางจะต้องพาคนขึ้นมาตามหาเขาแน่
“ข้าสั่งไห่ฮ่าวเอาไว้แล้ว หากข้าหายไปเกินหนึ่งชั่วยามให้ขึ้นมาตามได้เลย” ชิงเว่ยเว่ยหันไปบอกสหายทุกคนให้สบายใจ แม้ว่าจิงหานคนสนิทของ ฉีเหยียนจะคิดมาตามหาแต่นางก็เป็นแค่สาวใช้ธรรมดา
“เจ้าก็รู้ว่าไห่ฮ่าวเป็นผู้มีวรยุทธ์ผู้หนึ่ง เขาน่าจะหาวิธีช่วยเหลือพวกเราได้”
เด็กอีกสามคนค่อยถอนหายใจออกมาพร้อมกันด้วยความโล่งใจ พวกเขาเคยเห็นไห่ฮ่าวที่ติดตามมากับรถม้าของสกุลชิง หลังจากทำความรู้จักกันแล้วเด็กทั้งสี่ก็จะให้คนขับรถม้ามาจอดอยู่ข้างๆ กัน คนผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่องอาจกล้าหาญและยังพกกระบี่อยู่ตลอดเวลามักจะตามไปส่งชิงเว่ยเว่ยถึงหน้าประตูใหญ่และคอยมองกระทั่งนางเดินเข้าอาคารเรียน
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ลองเดินไปอีกสักหน่อยเถอะ ข้าชักอยากรู้แล้วสิว่าหากเราเดินอยู่เช่นนี้จะเจอทางเดิมบ้างหรือไม่?” ชิงเว่ยเว่ยมองไปด้านซ้าย “หัวหน้าซิว เราเลือกทางเดินด้านซ้ายสุดเสมอก็แล้วกันนะ?”
“ได้! ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเราจะเจอรอยบากเดิมที่ทำไว้บ้างหรือไม่?” ซิวอี้เซิงทำรอยบากบนต้นไม้ทางเดินซ้ายสุดสองรอย รอยบากบนต้นไม้ทางเดินตรงกลางเป็นกากบาท และทางเดินซ้ายสุดเป็นรูปสามเหลี่ยม
ซิวลู่ฉิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “เหยี่ยวตัวนั้นหายไปแล้ว!”
อาจารย์ใหญ่หวังที่ยืนอยู่หน้าอาคารของนักศึกษาระดับกลาง มองเห็นเหยี่ยวที่บินมาเกาะแล้วร้องเสียงแหลมสามครั้งก็รู้แล้วว่าเกิดเหตุร้าย ชายสูงวัยรีบทะยานตามเหยี่ยวของตนไปทันที ร่างที่พุ่งลิ่วไปทางเขาไข่มังกรด้านหลังหอสมุดนั้นทำให้ไต้เส้าจวินอดสงสัยไม่ได้ เขาพอจะรู้ว่าเหยี่ยวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของหวังต้าจิ้งแต่ดูเหมือนอาจารย์ใหญ่ผู้นั้นจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้
“เส้าจวิน เจ้าจะไปไหนน่ะ?”
“ดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนของข้าแล้วล่ะ เจ้าว่างก็มาด้วยกันสิจะได้ช่วยเหลือข้า” ไต้เส้าจวินวิ่งลงจากอาคารไปด้านข้างหอสมุด โดยมีจงกว้านซีวิ่งตามไปติดๆ
“เด็กพวกนั้นแอบขึ้นเขาไข่มังกรหรือ?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะติดอยู่ในค่ายกลร้อยทางแยก อาจารย์ใหญ่หวังจึงได้รีบร้อนนัก”
อาจารย์ใหญ่หวังหยุดยืนอยู่หน้าชายป่า จากเขตแดนตรงหน้านี้ไปเป็นเขตค่ายกลที่เขาไหว้วานให้จอมยุทธ์ลู่ผู้เป็นสหายชาวยุทธ์ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งปรมาจารย์ด้านค่ายกลได้สร้างเอาไว้เพื่อเป็นการทดสอบนักศึกษาชั้นเรียนระดับสูงในช่วงก่อนจะจบการศึกษา ธรรมเนียมของการขึ้นเขาไข่มังกรจึงเป็นเหมือนด่านสุดท้าย จอมยุทธ์สูงวัยกวาดตามองไปรอบๆ ไม่นานนักไต้เส้าจวินกับจงกว้านซีก็ตามมาถึง
“อาจารย์ใหญ่หวัง เด็กพวกนั้นติดอยู่ในค่ายกลหรือขอรับ?”
หวังต้าจิ้งหูไวยิ่งนัก เขารู้แล้วว่าคนที่ตามมาคืออาจารย์หนุ่มสองคนที่ดูแลอยู่ฝั่งชั้นเรียนเบื้องต้น หวังต้าจิ้งไม่ได้หันกลับมามองคนทั้งสอง
“อาจารย์ไต้กับอาจารย์จงมาได้รวดเร็วจริง ลูกศิษย์ของเจ้าเห็นทีจะเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นกันมากเชียว จึงได้บุกขึ้นมาบนเขาไข่มังกรเช่นนี้”
“ข้าเห็นพวกเขาเดินเข้ามาข้างหอสมุด ไม่คิดว่าจะกล้าชวนกันมาบนนี้ เห็นทีคราวหน้าคงต้องประกาศเตือนเด็กใหม่ทุกคน” อาจารย์ใหญ่นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้บอกกล่าวให้อาจารย์ทุกคนบอกศิษย์ของตนให้เรียบร้อย
“อาจารย์ใหญ่หวัง จะแก้ค่ายกลอย่างไรหรือขอรับ?”
“บอกตามตรง ค่ายกลนี้คนที่สร้างไว้คือจอมยุทธ์ลู่ เจ้าคิดว่าข้าจะทำลายมันได้หรือไม่?”
“หา!” ชายหนุ่มทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน
*************************