เหยี่ยวตัวใหญ่สีเทาดำบินวนอยู่เหนือทุ่งหญ้า ซิวอี้เซิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นเต้นก่อนจะชี้นิ้วให้ลูกน้องทั้งสามของตนมองตาม
“พวกเจ้าดูนั่น! เหยี่ยวตัวนี้บินวนพวกเราหลายรอบแล้วนะ”
ซิวลู่ฉิงผู้ชอบอ่านนิยายสืบสวนและลึกลับอยู่บ่อยๆ มองตามนิ้วของพี่ชายอย่างตื่นเต้น “นี่มันเหยี่ยวระวังภัยเหมือนในเรื่องนักสืบยุทธภพเลย”
“เฮ้อ! เจ้าก็เอาแต่พร่ำเพ้อถึงนิยายเรื่องโปรดอยู่ได้ เหยี่ยวระวังภัยที่เจ้าว่าเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาน่าจะเป็นเหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์ขององค์หญิงจินเฟิ่งแห่ง แคว้นจิน* พระชายาเอกของจวิ้นอ๋อง” ซิวอี้เซิงไม่ชอบอ่านหนังสือ หากเป็นตำราอาวุธและการฝึกยุทธเขาจึงพากเพียรอ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็กชายมักจะขอให้ผู้อารักขาของท่านพ่อพาไปฟังการเล่านิทานในโรงน้ำชาซึ่งมักจะเล่าเรื่องจริงจากแดนไกลหรือไม่ก็เรื่องลึกลับมหัศจรรย์
ส่วนซิวลู่ฉิงที่ชอบอ่านนิยายก็มักจะขอให้สาวใช้ประจำตัวของนางไปแอบซื้อนิยายที่ชอบจากร้านหนังสือมาให้เพราะบิดาของนางไม่ค่อยชอบให้อ่านนิยายนักบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ให้ประโยชน์ต่อการค้า ครั้นอ่านแล้วเด็กหญิงก็มักจะเอามาเล่าให้พี่ชายฟังอยู่เสมอ
ชิงเว่ยเว่ยมองดูเหยี่ยวตัวนั้นแล้วก็หันไปถามซิวลู่ฉิง “เหยี่ยวระวังภัยที่เจ้าว่ามันทำหน้าที่อะไรบ้าง?”
“เหยี่ยวของจอมยุทธ์เซียวมีชื่อว่าสายฟ้า มันจะทำหน้าที่ลาดตระเวนในบริเวณที่จอมยุทธ์เซียวอยู่รัศมีหกลี้* หากเห็นความปกติจะบินกลับไปรายงานในทันที บางครั้งมันก็ยังทำหน้าที่ส่งข่าวด้วยเพราะมันคอยระวังภัยและจับตา มองศัตรูจึงได้ชื่อว่าเป็นเหยี่ยวระวังภัย”
“จวิ้นอ๋องเองก่อนที่จะเดินทางไปอภิเษกสมรสกับองค์หญิงจินเฟิ่งที่แคว้นจินก็ทรงฝึกเหยี่ยวมาก่อน ไม่แน่ว่าในแคว้นหมิงอาจจะมีผู้ที่ทำได้อีกหลายคน เหยี่ยวตัวนี้ดูเหมือนคอยจับตามองพวกเรานะ”
เด็กทั้งสี่พากันกินจนอิ่มหนำแล้วก็เริ่มเก็บของใส่ในห่อผ้าก่อนจะพาเดินไปดูชายป่า ซิวอี้เซิงมองดูร่องทางเดินที่หายเข้าไปในป่า
“นี่คงเป็นเส้นทางที่บรรดาศิษย์พี่ใช้เข้าไปหาของสำคัญในป่าสินะ”
“อืม....น่าจะเป็นเช่นนั้น” ฉีเหยียนพึมพำ
“อาเหยียน เจ้าเดินก็ก้มลงมองทางหน่อยเล่า? เนินเขาที่พวกเราเดินกันอยู่นี่ ใช่ว่าจะปลอดภัยเหมือนอย่างตอนที่เราเดินอยู่ในเมืองหรอกนะ อาจจะมีสัตว์เลื้อยคลานเพ่นพ่านผ่านมาก็ได้”
“ไอหยา!” ฉีเหยียนเผลอกระโดดจนตัวลอย ขึ้นขี่หลังซิวอี้เซิง เขากลัวงูยิ่งนัก เคยเจองูเขียวในสวนครั้งหนึ่งเขาก็กระโดดขึ้นขี่หลังสาวใช้ประจำตัวไม่ยอมลงเดินซ้ำยังซุกหน้าซบอยู่หลังจิงหานตัวสั่นเทา จนนางต้องคอยปลอบอยู่นาน ครั้นพวกบ่าวรับใช้มาช่วยกันจับงูเขียวตัวนั้นเอาไปทิ้งนอกจวนแล้วเขาจึงยอม ลงยืนที่พื้น
“อะไรของเจ้า? กลัวถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ทำยังกับเจ้าไม่กลัวงูอย่างนั้นแหละ”
ซิวอี้เซิงหัวเราะร่วน “ข้าเป็นหัวหน้าซิวเชียวนะ แค่งูจะไปกลัวทำไมกัน? อีกอย่างไม่เคยได้ยินคนพูดกันว่ามีงูบนเขาไข่มังกรมาก่อน”
“หรือว่าจะเป็นเหมือนตอนที่จอมยุทธ์เซียวไปเจอเขาที่ไร้สัตว์อยู่อาศัย” ซิวลู่ฉิงขมวดคิ้ว
“อย่างไรหรือ?”
“เว่ยเว่ย วันหลังข้าจะเอานิยายเรื่องนี้ให้เจ้ายืมไปอ่านก็แล้วกัน ในเล่มที่สามได้กล่าวถึงภูเขาแห่งหนึ่งที่ไม่มีสัตว์แม้สักตัวกล้าอาศัยอยู่เพราะที่นั่นมีพวกภูตผีปีศาจน่ะสิ”
ชิงเว่ยเว่ยฟังถึงตรงนี้นางรู้สึกว่าสายลมที่พัดกรูเกรียวเข้ามาเหมือนจะทำให้ขนลุกขนพอง “ไม่แน่นะ บางทีที่นี่อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้”
“เจ้าอย่าพูด! หัวหน้าซิวบอกแล้วมิใช่หรือว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงสิ่งน่ากลัว” ซิวลู่ฉิงที่ยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่รีบเปลี่ยนไปยืนอยู่กลางกลุ่มสหายทันที
“เหลวไหล จะมีภูตผีปีศาจมาจากไหนกัน?”
“เอ๊ะ! นั่นเงาอะไรอยู่ในป่า?”
“หืม! อาเหยียนเจ้าเห็นหรือ?” หัวหน้ากลุ่มฉีหลินรู้สึกตื่นเต้นในทันที รีบมองหาตามทิศที่ฉีเหยียนมองอยู่
“ใช่! ดูเหมือนเมื่อครู่จะมีหลายเงาเสียด้วย”
“พวกเราเข้าไปดูกันดีไหม?” ซิวอี้เซิงรีบเสนอแนะ เขาอยากเห็นนักว่าข้างในมีอะไร? ไม่รอให้คนขี้กลัวอย่างฉีเหยียนทัดทานเขาเดินดุ่มๆ นำหน้าเข้าไปในป่าทันที
“หัวหน้า! ไม่มีผีแน่นะ” ซิวลู่ฉิงผู้กังวลเพียงว่าตนเองจะเจอผีร้องถามขึ้น
“ผีที่ไหนจะมาเล่า? กลางวันแสกๆ แบบนี้”
ชิงเว่ยเว่ยเดินต่อจากฉีเหยียนซึ่งขออยู่กลางระหว่างซิวอี้เซิงกับเว่ยเว่ยเพราะเขารู้ว่าสองคนนี้ใช้กระบี่ได้เก่ง หากเจอเรื่องใดก็น่าจะช่วยเขาได้ ส่วน ซิวลู่ฉิงก็เกาะแขนชิงเว่ยเว่ยเอาไว้ แม้นางจะมิได้แย่เรื่องการป้องกันตนเอง แต่เมื่อเห็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ก็นึกกลัวว่าอาจจะมีผี เด็กทั้งสี่คนเดินตามกันเข้าไปในทางเดินเข้าป่าที่สอง เดินวนไปวนมาก็ยังไม่พบเงาที่ฉีเหยียนว่า
“อาเหยียนอาจจะมองเห็นกวางก็ได้”
“ข้าว่าป่านี้ไม่มีกวางแน่ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตั้งแต่พวกเราเดินขึ้นเนินเขาขึ้นมาแม้แต่กระต่ายน้อยสักตัวก็ไม่มี” ชิงเว่ยเว่ยตั้งข้อสังเกต
“นั่นน่ะสิ!” ซิวอี้เซิงหันไปสนับสนุน “ที่นี่ชักจะแปลกไปแล้ว นกสักตัวก็ไม่ได้ยินเสียง”
แม้ซิวอี้เซิงจะไม่เคยไปเดินป่าแต่เพราะเขาคิดว่าวันข้างหน้าหากตนเองได้เป็นแม่ทัพย่อมต้องขึ้นเขาลงห้วย ดังนั้นตำราที่เกี่ยวกับภูมิประเทศ แม่น้ำ ป่าไม้เขาจึงหมั่นอ่านและศึกษา
“อย่าว่าแต่นกเลย! ข้ายังแปลกใจที่ไม่มีแมลงสักตัว” ซิวลู่ฉิงเอ่ยขึ้น
“จริงของเจ้า!” ชิงเว่ยเว่ยเริ่มรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี “หัวหน้าซิว ข้าว่าพวกเราออกจากป่านี้ไปก่อนดีกว่า เอาไว้วันหลังค่อยหาคนมาเพิ่มแล้วขึ้นมาสำรวจกันใหม่”
ซิวอี้เซิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาสังเกตว่ายิ่งเดินไปยิ่งเห็นต้นไม้เหมือนกันไปหมด ปกติในป่าทุกต้นล้วนแตกต่างแต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าป่านี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น?
“เออ...งั้นพวกเรากลับกันเถอะ!”
ซิวลู่ฉิงกับชิงเว่ยเว่ยหันหลังกลับเพราะพวกเขาคิดจะย้อนกลับไปทางเดิม ทว่าพอหันหลังกลับมาเด็กทั้งสี่คนถึงกับตกใจ
“เอ๊ะ!” ฉีเหยียนตื่นตะลึงยิ่งกว่าคนอื่นๆ “ทำไมทางเดินหายไปแล้ว?”
เส้นทางที่พวกเขาเดินเข้ามาเมื่อครู่หายไปหมดกลายเป็นต้นไม้และเถาวัลย์รกครึ้ม ชิงเว่ยเว่ยนึกถึงตำราจอมยุทธ์ที่นางศึกษา
“หรือว่า? พวกเราตกอยู่ในค่ายกลเสียแล้ว แย่ล่ะ!”
ซิวอี้เซิงผงะ “ข้าเคยได้ยินว่าการตั้งค่ายกลล้วนเป็นการทำกับดักของยอดฝีมือ ไม่เคยคิดว่าเราจะได้เจอด้วยตนเอง”
“หัวหน้าซิว พวกเราคงเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวแล้ว”
****************************
*หกลี้ ประมาณ 3 กิโลเมตร
*องค์หญิงจินเฟิ่ง นางเอกเรื่อง “ท่านอ๋องเป็นของข้า”