เสียงหวานนั้นครางลึกอยู่ในลำคออันแห้งผากขณะร่างบางในชุดเจ้าสาวบิดตัวไปมาด้วยเมื่อขบเสมือนมันแทรกซึมอยู่ในกล้ามเนื้อที่คงอยู่กับอากัปกิริยาท่าเดียวติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แพขนตางอนงามบนเปลือกตาไหวไปตามการหรุบขึ้นลงเมื่อแสงสว่างลอดผ่านเข้าไปในม่านดวงตากลมโต ปรายฟ้าขยับกายเล็กน้อยรู้สึกอยากยกมือขึ้นขยี้ตาที่ยังไม่ชินกับความสว่างที่ค่อย ๆ แทรกตัวเข้ามาในความมืดมิดมากขึ้นทุกขณะหากก็อึดอัดคัดแน่นไปหมดที่ข้อมือทั้งสอง
เธอมาถึงโรงแรมแล้วหรืออย่างไร...ทำไมจึงเผลอหลับไปนานเช่นนี้ คำถามซ้ำ ๆ หมุนวนไปมาก่อนเปลือกตาทั้งสองจะเปิดขึ้นเต็มที่เพื่อรับภาพเบื้องหน้าที่แสงสว่างจากไฟฟ้าริมทางสาดเข้ามาภายใต้ท้องฟ้าที่ยังมืดหม่นและนั่นเองทำให้ร่างบอบบางที่เอนไปตามเบาะปรับให้ราบลงผุดนั่งหลังตรงและหันไปทางคนขับรถซึ่งก็ไม่ใช่นายย้งนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถคันใหม่ที่ไม่ใช่รถเก๋งที่นราจัดเตรียมให้เธอนั่งมา!
“เอ๊ะ!...นี่คุณเป็นใครกัน!...แล้ว...แล้วฉันมาอยู่ในรถคันนี้ได้ยังไง!” ปรายฟ้าหายใจสะดุด เธอมึนงงไปหมดแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น นายย้งคนขับรถหายไปไหน...เธอมากับใคร ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังบังคับให้รถพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าโดยไม่ยอมพูดจาออกมาแม้แต่คำเดียว
“นี่!...ฉันบอกให้หยุดรถ...จอดรถเดี๋ยวนี้! ฉันไม่เคยรู้จักคุณ แล้ว ...แล้ว...อะไรกัน!” หญิงสาวละล่ำละลัก ดวงตาเบิกโพลงเมื่อคิดจะยกมือขึ้นฉวยอะไรบางอย่างหากพบแต่เพียงข้อมือเรียวบางทั้งสองถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกเกลียวขนาดใหญ่ ปรายฟ้าเริ่มสติแตกและร้องไห้เสียงดัง เธอคิดได้เพียงอย่างเดียวว่านี่คงเป็นการลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่แน่แล้ว
“ไอ้โจร!...มัดมือฉันไว้ทำไม นี่จะพาฉันไปเรียกค่าไถ่ใช่มั้ย...ปล่อยฉันนะ...ไอ้โจรบ้า!...ฮือ...ฮือ...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ เราไม่เคยรู้จักกัน....ฉันกำลังจะไปงานแต่ง มาจับฉันไว้ทำไม...ฉันจะแจ้งตำรวจ...จะแจ้งตำรวจ...”
“หยุดพูดจาบ้าเลือดซะที!...ถ้าขืนยังโวยวายหนวกหู จะฆ่าให้ตายซะตอนนี้ล่ะ!” เสียงหนักที่แผดลั่นกลับมาทำให้ปรายฟ้ากลืนเสียงตัวเองกลับลงไปแทบไม่ทัน หญิงสาวตัวสั่นปากสั่นทำอะไรไม่ถูก มีแต่ความกลัวและน้ำตาเท่านั้นท่วมล้นจิตสำนึกอันสับสนจนตระหนกถึงขีดสุด ทว่าเพียงเสี้ยวเวลาตอนเขาหันมาตวาดเธอเพียงชั่วแวบจึงเห็นว่าใบหน้าเคียดขึ้งครึ้มด้วยเคราบางนั้นคมเข้มบาดจิต ร่างกายอันบึกบึนและความหล่อเหลาภายใต้หมวกแก๊ปสีดำทำให้หญิงสาวนึกครั่นคร้ามอยู่ครามครันว่าใยคนหน้าตาดีจึงกลายเป็นโจรเรียกค่าไถ่ไปเสียได้ คนเลวมักซ่อนความชั่วเบื้องหลังภาพดึงดูดใจ หากแต่ใยโชคร้ายจึงมาตกแก่เธอที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวในค่ำคืนที่ผ่านไปแล้วกับความหวังเล็ก ๆ ในตอนนี้ว่าอาจมีใครสักคนที่บ้านตามเธอได้พบ
“เราไม่เคยรู้จักกันหรอก คุณปรายฟ้า นิรกิจจากร...แต่ผมรู้จักกับเจ้าบ่าวของคุณ ไอ้ก้องกาจ รัฐกิจเธียรชัย มันทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งตายทั้งเป็นเพราะความเลวระยำ ไม่รู้จักพอของมัน!” คนตัวโตแตะเบรกให้รถจิ๊บคันใหญ่ซึ่งหญิงสาวรู้สึกได้ถึงความกระด้างทั้งเบาะรองนั่งและคนขับหยุดลงบนถนนข้างทางก่อนถอดหมวกออกและหันมามองร่างบางที่เอาหลังพิงกระจกรถ หากแต่ในท่าทีสับสนระคนขลาดกลัวใบหน้างามกลับเชิดขึ้นขณะดวงตากลมโตรื้นน้ำจ้องตาเขาราวกับความเกลียดชังแผ่ขยายอยู่ในความตระหนกด้วยกระนั้น
ปรายฟ้า นิรกิจจากร
ชายหนุ่มร่างกำยำในวัยยี่สิบแปดเพิ่งเห็นหน้าของเธอชัด ๆ ก็วันนี้ แม้เรียวหน้าสวยแปดเปื้อนน้ำตาและปลายผมสีอ่อนจะหลุดลุ่ยออกมาจากมวยที่ถูกมุ่นไว้อย่างดีทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความงดงามจับจิตจับใจนั้นหาใช่เพียงคำร่ำลือ
ดวงตาคมเข้มบนใบหน้าคมคายที่ข้นคลั่กยามนี้จับจ้องอยู่ที่ดวงตากลมใต้คิ้วโก่งรับกับจมูกโด่งปลายรั้นและริมฝีปากอิ่มเต็มซึ่งยังคงฉาบด้วยประกายของลิปสติกอ่อนใส สายตาคู่นั้นแลเลยลงไปยังลำคอเรียวระหงและอดไม่ได้ที่จะมองความงามของเนินเนื้อที่โผล่พ้นเสื้อคอกว้างของชุดแต่งงานออกมารำไร มันไหวกระเพื่อมขึ้นลงจนเขาได้ยินเสียงหอบปนสะอื้นของหญิงสาวชัดเจน ร่างสูงใหญ่เหยียดยิ้มหยันส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ หากแต่สำหรับหญิงสาวราคาแห่งความพอใจจากสายตาที่ไร้ความเป็นมิตรอาจอยู่ที่สร้อยเพชรแบบดราเพอรี่ราคาหลักล้านซึ่งประดับอยู่บนเรือนกายของเธอมากกว่าเป็นอย่างอื่น
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรที่คุณว่ามานั่นหรอก...ปล่อยฉันไปเถอะนะ ได้โปรด...หรือว่า...หรือว่าคุณอยากได้อะไร เอาไปเลย!...นี่ไง สร้อยเพชรเส้นนี้เอาไปขายได้นะ ได้หลายล้านด้วย ฉันจะให้...แค่ปล่อยฉันไป...ฉันจะ...ว้าย!”
ปรายฟ้ากรีดร้องสุดเสียงเมื่อกำลังทำท่าจะยกมือที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกขึ้นดึงของมีค่าบนลำคอออกมาหากแต่ไม่ทันมือหนาที่เอื้อมมากระชากมันทิ้งไปทางเบาะด้านหลังราวไม่ใยดี
“ทำอะไรน่ะ!...จะบ้ารึไง!...สร้อยนั่นราคาเป็นล้านนะ ราคาของมันมากกว่ารถจิ๊บคันนี้ซะอีก คุณต้องการอะไรกันแน่!”