“เจ้าชอบนางหรือ?” เถียนเฟยถามย้ำอีกครั้ง
“ไร้สาระ ข้าแค่รอนางมาเจรจาเรื่องที่ดินแค่นั้นเอง เจ้าไม่มีสิ่งใดทำหรืออย่างไรออกไปได้แล้ว” ท่านเจ้าเมืองหนุ่มพยายามกันให้สหายจอมวุ่นวายออกไปห่างๆ ‘หากเถียนเฟยยังอยู่เขาจะคุยกับนางได้อย่างไรก็เจ้านี่น่ะปากสว่างยิ่งกว่าอะไรดี’
“นี่เจ้ากล้าไล่ข้าหรือ เฮอะ! ใช่ซี้..ตอนนี้เถียนเฟยคนนี้คงจะหมดความหมายแล้วสิท่า น่าสงสารตัวเองยิ่งนักที่อุตส่าห์ถ่อสังขารมาจากเมืองหลวงเพื่อเขาโดยแท้ แต่ช่างไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์จริงๆ”
“เถียนเฟย!”
“โอ้ะ..ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไปแล้วขอรับท่านเจ้าเมืองอย่าทำหน้าตาเช่นนั้นมันไม่งามสาวๆ จะไม่ชอบเอาได้” เถียนเฟยเย้าแหย่ท่านเจ้าเมืองอีกครั้งก่อนจะกระโดดผล่อยหนีหายออกไปทางหน้าต่าง
“ให้มันได้อย่างนี้สิเถียนเฟย” เถียนฟงอวี้ กล่าวว่าไล่หลังผู้เป็นญาติอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก หึหๆ ก็นิสัยเด็กน้อยแบบนี้อาเฟยจะเป็นก็แค่ต่อหน้าเขากับท่านปู่เท่านั้นแหละ
“ท่านเจ้าเมืองคุณหนูหว่าหวามาแล้วขอรับ” เสียงของทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูเข้ามารายงานเมื่อพากลุ่มคนที่เจ้านายเฝ้ารอคอยมาส่งถึงหน้าประตูห้องทำงาน
“ให้เข้ามา”
สิ้นเสียงอนุญาต หว่าและผู้ติดตามก็พากันทยอยเข้ามาทันทีตามคำเชิญ
“คาราวะท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ/ขอรับ”
“อืม..นั่งสิ” บุรุษสองคนนี้เป็นใครกันไม่เคยเห็นหน้าเลย เจ้าเมืองหนุ่มแอบสงสัย เมื่อเห็นบุรุษรูปงามสองคนติดตามมากับนางด้วย
“เจ้าอยากจะเช่าที่ดินแล้วหรือคุณหนูหว่าหวา” ฟงอวี้เปิดประเด็นขึ้นอย่างไม่รีรอ
“เจ้าค่ะ..ท่านเจ้าเมืองจะให้ข้าเช่าได้มากน้อยเพียงใดเจ้าคะ”
“ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าอยากจะเช่าตรงไหนบ้าง”
“ข้าจะขอเช่าที่ดินที่ติดกับจวนของข้าแถวนี้ทั้งหมดเลยรวมถึงเขตป่าชั้นนอกที่ติดกับที่ดินผืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ” หว่าหวาชี้พลางวาดอณาเขตให้กับท่านเจ้าเมืองดู
“ป่าชั้นนอกหากว่าเป็นพื้นที่ราบก็คงได้อยู่ จากที่ข้าดูคงมีประมาณสัก1000หมู่เห็นจะได้อาจจะเกินมาบ้างแต่ข้าไม่นับ เจ้าจะเช่าสักกี่ปีดีล่ะ”
“ท่านเจ้าเมืองท่านให้เช่านานสุดแค่ยี่สิบปีเองหรือเจ้าคะ”
‘อะไรนะ! นางพูดออกมาได้ว่าแค่ยี่สิบปี นี่นางคิดจะฝังรกรากอยู่บนที่ดินของผู้อื่นหรือยังไงกัน’
“ยี่สิบปีก็นับว่านานมากแล้ว หากถึงวันนั้นเจ้ายังอยากจะเช่าต่อก็ค่อยมาต่อสัญญาเอา”
“ก็ได้เจ้าค่ะแค่ยี่สิบปีก็ยังดี หากว่าข้าจะสร้างสิ่งปลูกสร้างบนทีดินนั่นล่ะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ก็แล้วแต่อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้าเจ้าไม่รู้สึกเสียดายหากมีการรื้อถอนขึ้นมา”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะข้าแค่จะสร้างสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง แล้วท่านจะคิดค่าเช่าเท่าใดหรือเจ้าคะ”
“5,000ตำลึงทอง”
“ห๊าาาาา” หว่าหวา พี่ใหญ่และพี่ชานต่างก็ตกใจจนร้องประสานเสียงกันขึ้นมา
“5,000ตำลึงทองตลอดยี่สิบปีจะเช่าหรือไม่เช่า ที่ดินตั้งพันกว่าหมู่เชียวนะ” ใจเขาอยากให้นางเช่าแค่1,000ตำลึงทองก็พอ แต่เกรงว่านางจะไม่เช่าเดี๋ยวจะหาว่าถูกเกินไปอีก
“อ่อ..5,000ตำลึงทองสำหรับยี่สิบปีหรอกหรือเจ้าคะ ข้านึกว่าต่อเดือน” ฮิฮิ ยี่สิบปี 5,000 ตำลึงทองเหมือนได้ที่ดินฟรีเลยนะหว่าหวาเอ๊ย
“ใครเขาจะคิดเช่นเจ้ากันเล่า คุณหนูหว่าหวา”
“ก็พวกเขายังไงล่ะเจ้าคะ” หว่าหวาชี้นิ้วเรียวเล็กไปทางอาชานกับพี่ชายของตน
‘หึๆ ช่างหาพวกพ้องได้ดียิ่ง ก็คนของนางทั้งนั้นนี่’
“เช่นนั้นมาทำสัญญากันเลย”
จากนั้นทั้งสองก็ได้ลงนามในสัญญาเช่า...
“เอ๋..เถียนฟงอวี้ ทั้งหมดเป็นที่ดินของท่านเจ้าเมืองเองหรอกหรือเจ้าคะ แล้วทำไมไม่ให้ข้าน้อยหว่าหวาผู้นี้ใช้ประโยชน์กับที่ดินตรงนั้นไปเลยล่ะเจ้าคะแบบไม่ต้องคิดค่าเช่าข้าจะเป็นคนดูแลผืนดินให้ท่านและคอยทะนุบำรุงผืนแผ่นดินให้เป็นอย่างดีดีกว่าที่ท่านเจ้าเมืองจะปล่อยทิ้งไว้ให้ร้างโดยเปล่าประโยชน์นะเจ้าคะ”
‘เฮ้อ ข้าขอคืนคำพูดที่ว่านางจะไม่ยอมเช่าหากข้าคิดค่าเช่ากับนางถูกเกินไป ไท่หว่าหวานางช่างกล้าต่อรองอย่างหน้าไม่อาย’ เถียนฟงอวี้ ไร้ซึ่งคำจะกล่าว ก็ได้แต่แค่นหัวเราะอยู่ในอกเท่านั้น
“ให้เช่าน่ะดีแล้ว หากให้เจ้าช่วยดูแลคงได้เปลี่ยนที่ดินให้เป็นสินสอดแล้วล่ะ”
ห๊าาาาา ทั้งหว่าหวา พี่ใหญ่และพี่ชานต่างก็ประสานเสียงกันอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าจะตกใจไปทำไม ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
“อ่าา เจ้าค่ะ” ล้อเล่นแบบหน้าตายเนี่ยนะหัวใจของข้าจะวายเอานะสิ
“เช่นนั้นข้าขอจ่ายค่าเช่าบางส่วนก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ตามใจเจ้าหรือเจ้าจะมาจ่ายทุกเดือนก็ได้ ข้าไม่ขัดแล้วแต่เจ้าสะดวก”
“อ่อ..เช่นนั้นยิ่งดีเลยเจ้าค่ะข้าจะได้จ่ายครั้งละน้อยๆ” เห็นเงินก้อนโตกำลังจะปลิวหายหว่าหวาก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันนะ อย่างน้อยท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้ใจร้ายกับนางจนเกินไป
“เจ้ามีสิ่งใดสงสัยหรือมีสิ่งใดจะบอกข้าอีกหรือไม่คุณหนูหว่าหวา” ‘ตลาดของเจ้ายังไงล่ะพูดออกมาสิ’ ฟงอวี้แอบลุ้นและหวังอยู่ในใจว่านางจะชวนเขาไปงานวันเปิดตลาดบ้าง
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกข้าขอลานะเจ้าคะ”
ฮึ่มม..ฟงอวี้เผลอถอนหายใจอย่างแรง จนแล้วจนรอดนางก็ไม่ยอมจะเอ่ยปากชวนเขาสักคำช่างใจดำเสียจริง
. “แล้วตลาดนัดของเจ้าจะเปิดวันไหนหรือ มีพ่อค้าแม่ค้ามาติดต่อค้าขายบ้างไหม”
“อ่อ..ข้าลืมชวนท่านไปเลย มะรืนนี้เจ้าค่ะท่านเจ้าเมือง ลองออกไปเดินชมตลาดนอกเมืองดูบ้างนะเจ้าคะ”
“อืมม..ข้าจะลองไปดูอย่าทำให้ข้าผิดหวังก็แล้วกัน”
“รับรองท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอน เช่นนั้นพวกข้าลาจริงๆแล้วนะเจ้าคะ” เฮ้อ..กว่าจะเสร็จสิ้นจากจวนเจ้าเมืองหว่าหวารู้สึกเหนื่อยจริงๆ เลย
“กลับกันเลยหรือไม่อาหวา” ไท่หลางเห็นท่าทางของน้อง สาวดูเหนื่อยๆ เลยตัดสินใจชวนนางกลับบ้าน
“พี่ใหญ่ไปซื้อของเถิดเจ้าค่ะ ไปกันสองคนกับพี่ชานนั่นล่ะ หว่าหวาจะเดินไปร้านสมุนไพรของท่านหมอจวงเสียหน่อย”
“ให้อาชานไปกับเจ้าน่ะดีแล้วพี่ไปซื้อของไม่นาน แล้วค่อยเจอกันที่ลานรับฝากรถม้า อาชานดูแลนางให้ดีเกิดเป็นลมขึ้นมาจะลำบาก”
“ขอรับคุณชาย” อาชานรับคำแล้วเดินตามคุณหนูดั่งเป็นเงา
หว่าหวาไปหาหมอจวงที่ร้านแต่ไม่เจอมีก็แต่คุณหนูเถียน คนนั้นหว่าหวาจึงได้สนทนากับคุณหนูเถียนอยู่พักใหญ่ คุณหนูผู้นี้มีนามว่าฟางเซียน แซ่เถียน เปิดร้านขายแพรพรรณและของจิปาถะ ทั้งสองคุยกันถูกคอทีเดียว แม่นางเถียนไม่ได้เป็นคนขี้อายอย่างที่หว่าหวาคิดนางเป็นคนเก่งมากอยู่ตัวคนเดียวกับบ่าวรับใช้มาตั้งแต่เด็กแต่หว่าหวาก็ไม่ได้ถามลึกถึงครอบครัวหรอกนะ คุณหนูเถียนให้หว่าหวาเรียกนางว่าท่านพี่ฟางเซียนส่วนตัวนางนั้นจะเรียกหว่าหวาว่าอาหวา ตอนนี้เราสองคนสนิทกันแล้วนะหว่าหวาจึงชวนท่านพี่ฟางเซียนไปเดินตลาดนัดด้วยกันแต่แทนที่นางจะไปเดินชมตลาด นางกลับอยากไปขายของเสียอย่างนั้น มีหรือที่หว่าหวาจะเซโนก็ได้แม่ค้ากิตติมศักดิ์มาแล้วหนึ่งคนนี่ หลังจากคุยรายละเอียดเกี่ยวกับตลาดพอคร่าวๆ หว่าหวาจึงขอตัวกลับ
สิ้นเรื่องของของที่ดินในวันนี้ หลังจากเปิดตลาดนัดหว่าหวาก็ยังมีงานใหญ่รออยู่อีก ก็ปลูกตังเซียมไงคงจะไม่ใช่งานเล็กๆ หรอกนะ
วันเปิดตลาดนัด...
ทันทีที่กระถางคบเพลิงถูกจุดขึ้นก็ได้เรียกเสียงฮือฮาและเสียงปรบมือจากทุกคนอย่างล้นหลาม รวมไปถึงกลุ่มคนของท่านเจ้าเมืองด้วย
“ท่านหมอจวงท่านชอบตลาดนัดของข้าหรือไม่เจ้าคะ” หว่าหวาถามท่านหมอที่ยังคงอ้าปากค้างดูกระถางเพลิงยักษ์ที่กำลังลุกโชนอยู่กลางอากาศ
“อืม..ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีตลาดเช่นนี้จริงๆ เจ้าคิดได้อย่างไรกันแม่หนูหว่าหวา”
“คงมาจากนิมิตฝันกระมังเจ้าคะ ท่านหมออยากลองเดินดูตลาดหน่อยไหม ท่านย่าขายซาลาเปาอยู่ด้านโน้นเจ้าค่ะ ท่านพี่ฟางเซียนท่านไปชิมขนมกับข้านะ ข้าจะพาท่านเดินตลาดเอง"
“คุณหนูหว่าหวา..ข้าอยากจะสนทนากับเจ้าสักนิดจะได้หรือไม่”
“ย่อมได้เจ้าค่ะท่านเจ้าเมือง”
ดูเหมือนเถียนเฟย จะรู้ว่าท่านเจ้าเมืองต้องการความเป็นส่วนตัว เขาจึงได้ชวนน้องสาวไปเดินดูสิ่งของด้วยตัวเอง
“ขอบคุณที่มาชมตลาดของข้าเจ้าค่ะท่านเจ้าเมือง”
“เจ้าทำได้ดี ข้าไม่เคยคิดว่าตลาดยามค่ำคืนจะน่าเดินขนาดนี้” เขาคงต้องยอมรับกับความคิดของนางมันเป็นทางเลือกอีกทางของคนขายและคนซื้อ..ดูผู้คนสิยิ่งค่ำมืดคนก็ยิ่งมาเยอะผู้คนมาจากที่ไหนกันมากมายเถียนฟงอวี้ยังคงทึ่งกับสิ่งที่เห็นอยู่ไม่หาย ไท่หว่าหวาคือผู้พลิกผืนดินที่ไร้ค่าให้เป็นเงินโดยแท้ จากที่รับรู้มาที่ดินผืนนี้ราคาถูกแสนถูกฝากขายมาก็ตั้งหลายปีก็ยังไม่มีคนซื้อแต่มาบัดนี้เห็นจะเป็นทำเลทองแล้วกระมัง
“ท่านเจ้าเมืองไม่อยากเดินชมตลาดบ้างหรือเจ้าคะ”
“หากเจ้าเดินเป็นเพื่อนข้า”
“อืม..ก็ได้เจ้าค่ะ” หว่าหวาไม่ได้ปฏิเสธ การเดินตลาดเคียงคู่ไปกับท่านเจ้าเมืองมันก็เหมือนกับการโปรโมทตลาดของนางไปในตัวนั่นแหละมันดีจะตาย
เดินไปได้ไม่นาน...“ท่านไม่อยากจะซื้ออะไรบ้างหรือเจ้าคะ”
“ข้า..ข้าแค่อยากกินขนมหวานน่ะ”
“ขนมหวานหรือเจ้าคะ น่าจะมีอยู่สองถึงสามร้านเจ้าค่ะเดี๋ยวข้าพาไป”
“ข้าอยากกินขนมที่เจ้าทำน่ะ”
“อ่อ..ท่านอยากกินทับทิมกรอบก็ไม่บอก”
“ขนมที่เจ้าทำมันเรียกว่าทับทิมกรอบหรือ ชื่อแปลกดีนะ”
“อีกหน่อยท่านจะเห็นของแปลกๆ อีกเยอะ หากว่าท่านเจ้าเมืองมาเดินตลาดนัดบ่อยๆ” นี่เขาไม่ได้เรียกว่าอ่อยใช่ไหมเนี่ย เขาเรียกว่าเชิญชวนต่างหากเนอะ