“แม่หนูตื่นเถอะใกล้ได้เวลาแล้ว”
“จะตื่นได้ยังไงกันคะก็หวาตายแล้ว” หว่าหวาละเมอพูดเหมือนว่าเธอกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
“ถ้าไม่ตื่นดวงจิตเจ้าจะหายไปจริงๆ แล้วนะ”
แต่พอได้ยินเสียงที่ตอบกลับมาทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้นทันทีทันใด
“ตื่นแล้วค่ะตื่นแล้ว แล้วท่านจะพาดวงจิตของหวาไปไหนคะ นรกหรือสวรรค์” หว่าหวาถามด้วยความอยากรู้เพราะเธอทำบุญมาก็เยอะคงได้ขึ้นสวรรค์เป็นแน่เธอคิดแต่บาปและอบายมุขกับความมีมากสามีของเธอมันก็น่าตกใจอยู่เหมือนกัน แล้วมันจะหักล้างกันได้ไหมเนี่ย
“เจ้าคิดอะไรอยู่กัน ข้าไม่พาไปทั้งสองที่นั่นแหละแต่จะพาไปอีกที่หนึ่งที่นั่น ดวงจิตอีกเสี้ยวของเจ้ากำลังจะแตกสลายเราต้องรีบแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”
“แล้วแต่ท่านเลยค่ะ แล้วหนูต้องดื่มน้ำแกงยายเมิ่งมั้ยคะ”
“..........” ท่านผู้นำพาวิญญาณ
“มันมีที่ไหนกันน้ำแกงที่เจ้าว่านั่นแค่เดินข้ามสะพานนั้นไป เจ้าก็จะไม่เหลือความทรงจำอีกแล้วล่ะแต่สำหรับตอนนี้ไม่จำเป็น ต้องข้ามแล้วสะพานน่ะข้าจะพาเจ้าไปทางลัดมาเถอะจับมือข้าเอาไว้ให้แน่น”
แล้วท่านผู้นำวิญญาณก็ได้พาหว่าหวา วาป! ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที [ท่านผู้นำวิญญาณคือชื่อที่หว่าหวาตั้งขึ้นเองนะคะ]
วูบ! ว้าวววว วาป! เอาแบบนี้เลยนะ เอ๊ะ..หยุดทำไม ไม่ไปต่อแล้วเหรอ ผ่านไปไม่ถึงห้าวิเลยนะ
“หยุดทำไมถึงแล้วเหรอคะ”
“ถึงแล้วล่ะเรือนหลังนั้นไง”
‘นี่มันที่ไหนเนี่ยใช่ยุคของเราแน่เหรอทำไมบรรยากาศมัน โบร๊าณโบราณ’ หว่าหวามองสถานที่ใหม่ด้วยความประหลาดใจ และใคร่สงสัย
“ใช่แล้วมันไม่ใช่ยุคของเจ้า กาลก่อนโน้นดวงจิตของเจ้าได้แยกออกไปถึงสี่ดวงและแต่ละดวงก็อยู่คนละที่คนละยุคสมัย
แตกต่างกันไป ดวงจิตที่เป็นตัวเจ้าแข็งแกร่งที่สุดแล้วและดวงจิตที่อยู่ในโลกใบนี้ก็อ่อนแอที่สุดในทั้งหมดทั้งที่ยังไม่หมดอายุขัยแท้ๆ ผิดกับเจ้าดวงจิตออกจะแข็งแกร่งแต่อายุขัยดันหมดไปเสียก่อน.. วันนี้เป็นวันเกิดของนางแต่กลับเป็นวันที่นางจะต้องจากโลกใบนี้ไปเช่นกัน”
“วันนี้ก็เป็นวันเกิดของหวาเหมือนกันนะคะ”
“โอ้..ใช่สิข้าลืมไป อืม..หลับตาลงก่อนสิแม่หนูข้าจะได้หลอมดวงจิตของเจ้ากับนางเข้าด้วยกัน เอาไว้ข้าจะส่งของขวัญวันเกิดมาให้เจ้าทีหลังก็แล้วกันนะ จากนี้ไป..จงใช้ชีวิตตามแต่ใจของเจ้าปรารถนาแค่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นพอแต่กับคนชั่วก็แล้วแต่เจ้าเถิด” ท่านผู้นำวิญญาณหลอมดวงจิตให้กับหว่าหวา พร้อมกับมอบพรอันประเสริฐให้กับนาง
เรือนใหญ่ของจวนตระกูลไท่…
“อาหวาของย่าเจ้าจะไปแบบนี้ไม่ได้นะ รออย่าก่อนมารับย่าไปอยู่กับเจ้าด้วยอาหวา ฮึกๆ ฮือฮือ” เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของผู้เป็นย่าทำเอาทุกคนในงานต่างก็น้ำตาไหลไปตามๆ กัน เด็กสาวคนนี้ช่างอาภัพนัก เมื่อห้าปีที่แล้วนางก็เพิ่งจะเสียมารดาไปพอมาวันนี้กลับต้องมาตกตายในวันปักปิ่นของตัวเอง
“ท่านแม่สงบใจบ้างเถิดขอรับอย่าทำเช่นนี้เลยอาหวาจะไปไม่สงบเอานะขอรับ ข้าก็เสียใจไม่ต่างกับท่านแม่นะขอรับ ฮึก ฮึก” ไท่หยาง บิดาของหว่าหวาและเป็นบุตรชายคนโตของไท่ซวง เป็นคนที่พูดขึ้นมาเพื่อปลอบใจมารดาของตน
“อาม่าา”
“..........” เงียบกริบ ทุกคนที่อยู่ในงานศพของหว่าหวาต่างก็พากันนิ่งเงียบเพราะไม่มั่นใจว่าเสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นดังออกมาจากศพหรือไม่
“ท่านย่า” และอีกครั้งที่มีเสียงดังออกมาและชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อมั่นใจว่าเสียงได้ยินนั้นออกมาจากร่างบางที่กำลังนอนสงบนิ่งอยู่ไม่ผิดแน่แล้ว
“อาหวาา!” สมาชิกทุกคนของตระกูลไท่ ต่างร้องเรียกชื่อของนางออกมาพร้อมกัน
“ท่านพ่อ ท่านย่า ท่านอา น้องเล็ก อาหวาฟื้นแล้ว” เป็นไท่หลางพี่ชายคนโตได้บอกกับทุกคนว่าน้องสาวของเขาได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้วจริงๆ และจากนี้ไปความวุ่นวายของตระกูลไท่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วรึเปล่านะ?