บทที่ 2 ท่านย่า หว่าหวาอยากตัดผม

1322 Words
เมื่อหว่าหวาเริ่มรู้สึกตัวนางก็รู้แล้วว่าดวงจิตได้หลอมรวมสำเร็จและความทรงจำของร่างเดิมก็พอจะหลงเหลืออยู่บ้างจึงไม่ยากนักที่นางจะปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยนี้และกับทุกคน ส่วนการตายของร่างนี้ก็ไม่มีอะไรมากนางก็แค่เจ็บป่วยเป็นไข้ธรรมดาเท่านั้นเองไม่มีอะไรซับซ้อนในการตายและสมาชิกของบ้านนี้ ก็มีกันทั้งหมดหกคนรวมถึงหว่าหวาด้วย สมาชิกในบ้าน… ท่านย่าไท่ซวง อายุ 55 ปี ท่านย่าไท่ซวงมีหน้าตาเหมือนอาม่ามากๆ ท่านพ่อไท่หยาง อายุ 36 ปี เป็นพ่อหม้าย อดีตเจ้าสำนักคุ้มภัย ท่านอาไท่หยุน อายุ 25 ปี เป็นน้องชายคนเดียวของท่านพ่อ พี่ใหญ่ไท่หลาง อายุ 17 ปี ไท่หว่าหวา อายุ 15 ปีพอดี น้องเล็กไท่ฮั่น อายุ10 ปี ท่านแม่ก็เสียชีวิตเมื่อห้าปีที่แล้วมีนามว่าชางอิน ดูๆ ไปครอบครัวนี้เหมือนจะไม่ได้ลำบากอะไรแต่ไม่ใช่อย่างที่ตาเห็นพวกเราอยู่ค่อนข้างจะประหยัด ถ้าเทียบกับชีวิตที่แล้วของหว่าหวานะ หว่าหวาก็ต้องทำใจอย่างน้อยก็มีบ้านที่คนยุคนี้เรียกว่าจวน อาหารการกินก็ต้องขึ้นเขาไปหามา ตำลึงเงินก็หาลำบากตำลึงทองไม่ต้องพูดถึง ที่เห็นคนใช้จ่ายกันเยอะก็เงินอีแปะนี่แหละ ถ้าจะเปรียบก็คงเป็นเงินบาท ตำลึงเงินก็คงจะประมาณ 1,000 บาท ตำลึงทองก็คง มีค่าเท่ากับ 10,000 บาทละมั้ง จวนหลังนี้เป็นจวนขนาดกลางมีเรือนใหญ่และเรือนแยกฝั่งซ้ายขวายังมีเรือนคนงานเก่าที่อยู่ด้านหลังของจวนด้วย ท่านพ่อไท่หยางอยู่เรือนใหญ่กับน้องเล็ก ท่าอาไท่หยุนซึ่งเป็นอาของเราพักอยู่เรือนฝั่งขวากับพี่ใหญ่ไท่หลางส่วนท่านย่าไท่ซวงกับหว่าหวาเราพักอยู่ที่เรือนฝั่งซ้าย ทุกคนต่างก็มีงานทำอย่างเช่น การล่าสัตว์และหาของป่าคนที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์และหาของป่าก็คือท่านอาไท่หยุนและพี่ใหญ่ ส่วนท่านพ่อไท่หยางบิดาของเราได้รับบาดเจ็บที่ขาตั้งแต่ทำสำนักคุ้มภัย เดินไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยจะสะดวกนักท่านอาเลยไม่ให้ขึ้นเขาไปด้วย จึงต้องอยู่บ้านและทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่นงานไม้เป็นต้น พอได้เงินเข้าบ้านนิดๆ หน่อยๆ ส่วนท่านย่าไท่ซวงซึ่งเป็นท่านย่าของเราก็จะทำงานเย็บปักถักร้อยและคอยดูและความเรียบร้อยของจวน “อือ...ท่านย่า..” “อาหวาหลานย่าเป็นอย่างไรบ้างหลานรัก เจ้าหิวหรือไม่” ไท่ซวงเมื่อเห็นว่าหลานสาวฟื้นสติขึ้นมาแล้วจึงรีบเอ่ยถามเพราะเป็นห่วงกลัวว่านางจะหิว “อืออ..อาหวายังไม่หิวเลยเจ้าค่ะแค่เมื่อยเพราะนอนนานแค่นั้นเอง” ที่จริงนางก็ฟี้นอยู่นานแล้วแค่นอนให้ร่างกายปรับสภาพสักพัก ร่างนี้ช่างอ่อนแอเหลือเกินคงต้องปรับสภาพกันนานหน่อย “นี่เจ้ายังพูดว่าแค่นอนหรือ เจ้าหลับไปตั้งสองวันและหยุดหายใจตั้งนานเราจึงคิดว่าได้เสียเจ้าไปแล้ว แต่อาก็ดีใจมากที่อาหวาของเรากลับมา” ไท่หยุนอดที่จะค่อนขอดหลานสาวไม่ได้เพราะนางพูดเสมือนว่ามันเป็นปกติอย่างนั้นแหละ พอท่านอาพูดจบทุกคนก็ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา “อาหวาไปท่องเที่ยวที่อื่นมาเลยกลับมาช้าเจ้าค่ะ” หว่าหวาคงบอกกับพวกเขาได้แค่นี้ นางจำต้องโกหกเพื่อความสบายใจของทุกคนและหากว่านางเผลอทำอะไรผิดเพี้ยนไปจากเดิมจะได้มีข้ออ้างมาแก้ต่างบ้าง “พี่รองไปเที่ยวที่ไหนมาหรือขอรับ” ไท่ฮั่นตัวน้อยสนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินพี่สาวบอกว่าไปท่องเที่ยวมา ทั้งยังสงสัยว่าพี่สาวไปเที่ยวได้ยังไงในเมื่อเขายังเห็นนางนอนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา “เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิว่าเจ้าไปเที่ยวไหนมาอาหวา” ไท่หยางเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความอยากรู้เช่นกัน “อีกโลกใบหนึ่งที่แปลกมากเจ้าค่ะ มีเกวียนวิ่งได้โดยไม่มีวัว ไม่มีม้าคอยลากจูง” และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่หว่าหวาได้เล่าให้ทุกคนฟังแบบไม่หยุดพัก “แค่ก แค่ก น้องเล็กพี่ขอน้ำคอแห้งแล้ว” นางต้องขอพักเบรกบ้างเพราะพูดมากไปเลยรู้สึกคอแห้งจริงๆ แต่หว่าหวาก็รู้สึกสนุกมากจริงๆ เหมือนได้เล่านิทานให้เด็กๆ ฟังยังไงยังงั้นและทุกคนก็ตั้งใจฟังสิ่งที่นางเล่าชนิดที่พากันตะลึงถึงขั้นอ้าปากหวอเลยทีเดียวโดยเฉพาะน้องเล็กอาการยิ่งออกมากกว่าใครเพื่อน ด้วยท่าทางประกอบการบรรยายของหว่าหวาและคำพูดหยอกเย้ากับน้องชายคนเล็กก็ได้เรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคน เหมือนความสุขของบ้านไท่ได้หวนคืนกลับมาอีกครั้งแล้ว “อาหวาวันปักปิ่นของเจ้าคือเมื่อวานนี้แต่เจ้าก็มาล้มป่วยเสียก่อน เช่นนั้นเราจะจัดงานพิธีปักปิ่นให้เจ้าดีหรือไม่” ไท่ซวงเอ่ยถามหว่าหวาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลานสาวยังไม่ได้ปักปิ่นเลย “ท่านย่า ท่านพ่อ ทุกคนไม่ต้องจัดงานพิธีให้อาหวาหรอกเจ้าค่ะมันสิ้นเปลืองตำลึง แค่เราอยู่กันครบทุกคนและทำพิธีปักปิ่นง่ายๆ อาหวาก็มีความสุขแล้วเจ้าค่ะ” หว่าหวาพูดออกมาด้วยใจจริง นางไม่อยากให้ทุกคนต้องมาลำบากเพราะนางมากนัก แล้วทุกคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย พิธีปักปิ่นของหว่าหวาจึงได้จัดขึ้นมาแบบง่ายๆ และปิ่นนั้นก็เป็นของท่านแม่ที่เก็บเอาไว้ให้นาง เป็นปิ่นเงินรูปดอกไม้สีชมพูประดับด้วยมุกที่เกสรน่ารักมากเลยหว่าหวาชอบนะ เมื่อทำพิธีปักปิ่นเรียบร้อยทุกคนก็อยู่รวมกันพร้อมหน้าที่โถงใหญ่ของเรือนหลัก “ท่านย่าหว่าหวาอยากดัดผมเจ้าค่ะ” อยู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ “หะ..ห๊าาา ทำไมเจ้าถึงคิดอยากจะตัดผมล่ะ มันจะดีหรือ เป็นสตรีไม่ควรจะตัดผมเจ้ารู้หรือไม่” ไท่หยางตกใจไม่น้อยที่ได้ยินว่าบุตรสาวอยากจะตัดผมซึ่งมันก็ไม่เคยมีสตรีใดทำเช่นนี้มาก่อน หว่าหวาจึงได้เล่าถึงเโลกที่ตัวเองได้ไปท่องเที่ยวมาอีกครั้งเกี่ยวกับผู้คนที่ชอบทำทรงผมแปลกๆ มันเยอะแยะไปหมดบางคนก็กล้อนผมอย่างกับนักบวชและไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นสตรีหรือว่าบุรุษ ไม่ว่าจะตัดผมสั้นหรือจะไว้ผมยาวทุกคนก็สามารถทำได้อย่างเสรี แม้แต่สีผมก็ยังพากันย้อมออกมาหลากหลายสีสัน โอ้วววว..ทุกคนได้แต่ร้องโอววเมื่ออาหวาพูดจบจากนั้นไม่นานอาหวาของเราก็ได้ผมทรงบ๊อบอย่างสมใจอยากด้วยฝีมือของท่านย่าไท่ซวง หว่าหวายิ้มไม่หุบเมื่อได้ทรงผมดั้งเดิมจากโลกเก่าของตัวเองคืนมา เมื่อเห็นว่านางมีความสุขทุกคนก็พลอยมีความสุขไปด้วยเช่นกัน ยิ่งผู้เป็นบิดาอย่างไท่หยางเขาพร้อมเสมอที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เห็นรอยยิ้มของนาง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD