จวนเจ้าเมืองเถียน..ที่ห้องทำงานของท่านเจ้าเมือง…
“ท่านปู่ท่านมานานแล้วหรือขอรับ”
“ไม่ๆ ปู่เพิ่งมาถึงก่อนที่เจ้าเข้ามานี่เองเจ้าทำงานหนักเกิน ไปควรพักบ้างนะอาฟง ปู่ไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ ทำงานในราชสำนักก็ดีอยู่แล้วไฉนเลยฝ่าบาทถึงปล่อยให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ บิดาและมารดาของเจ้าก็อยู่โน่นแล้วคิดอย่างไรถึงอยากมาอยู่ที่เมืองเถียนกัน”
“หลานทูลขอฝ่าบาทมาเองขอรับท่านปู่ หลานแค่กราบทูลขอว่าต้องมาดูแลท่านปู่ฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตแล้วขอรับ และอีกอย่างเมืองเถียนก็เป็นเมืองที่บรรพบุรุษของเราก่อตั้งขึ้นมามีสิ่งใดไม่ดีกัน หรือว่าท่านปู่ไม่ชอบที่หลานมาอยู่ด้วยที่นี่”
“ปู่ดีใจที่เจ้ามาแต่ก็กลัวว่าพอเจ้าจะคิดถึงคนเมืองหลวง แล้วจะจากปู่ไปอีกคน.. พลานามัยของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง ยังทรงแข็งแรงดีหรือไม่”
“หากเป็นห่วงคนทางโน้นก็ไปเยี่ยมเยือนบ้างนะขอรับท่านปู่ ฝ่าบาทก็ทรงแข็งแรงดีส่วนท่านพ่อและท่านแม่ก็สบายดีจะมีก็แต่ท่านย่านั่นแหละที่กินไม่ค่อยได้และนอนก็ไม่ค่อยจะหลับ”
“หึๆ ยิ่งเจ้าไม่อยู่ด้วยแล้วนางจะไม่แย่เอาหรือ ขาดเจ้าไปสักคนเมืองหลวงคงจะวุ่นวายน่าดู”
“ใครว่าคนเดียวสองคนต่างหากขอรับท่านปู่ คาระวะท่านปู่ขอรับ” จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มอีกคนโผล่เข้ามา
“อาเฟยเจ้ามาอยู่นี่ได้อย่างไร นี่พวกเจ้าคงไม่คิดจะมาทำให้เมืองเถียนวุ่นวายหรอกนะ” จากนี้ต่อไปเมืองเถียนคงไม่สงบแน่แล้ว เถียนจวงซุนคิด
“ข้ามาถึงเมื่อวานนี้ขอรับ อีกอย่างหากมีเถียนฟงอวี้ที่ไหน ย่อมมีเถียนเฟยที่นั่น ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่มั้ยอาฟง?”
“ตามนั้น”
“แล้วน้องสาวเจ้าล่ะอาเฟยเจ้าไปหานางมาแล้วหรือ นางน่าสงสารยิ่งนัก เจ้ามาอยู่นี่ก็ดีแล้วต่อไปควรใส่ใจนางบ้างเข้าใจที่ปู่พูดไหมอาเฟย”
“เข้าใจขอรับท่านปู่เมื่อวานข้าก็ไปค้างที่จวนของนาง ข้าจะพยายามใส่ใจนางให้มากๆ ท่านปู่วางใจข้าได้ขอรับ”
“ได้เช่นนั้นก็ดีปู่จะได้หายห่วง” เด็กสาวที่ท่านปู่และเถียนเฟยพูดถึงก็คือเถียนฟางเซียนอายุสิบหกปีแล้วนางเป็นน้องสาวต่างมารดาของเถียนเฟยนั่นเอง
เรื่องราวของคนตระกูลเถียนช่างน่าสนใจหลายๆ คนคงจะพอเดาได้บ้างแล้วกระมัง ให้เรื่องราวค่อยๆ ดำเนินไป เถียนกับไท่ จะเจอกันเช่นไรต่อจากนี้
กล่าวถึงสาวน้อยหว่าหวากับท่านอาและพี่ชาย ทั้งสามได้เดินทางออกจากเมืองเถียนมุ่งหน้าสู่จวนสกุลไท่ที่นอกเมืองมานานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วและอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็คงจะถึงจวน
“ท่านอาโสมนี่หายากมากเลยหรือเจ้าคะ” หว่าหวาถามขึ้นมาในความเงียบ
“อานึกว่าเจ้าหลับไปแล้วเสียอีก โสมถ้ามันหาได้ง่ายมันคงจะไม่แพง โสมอายุหนึ่งปีต้นเดียวก็สิบตำลึงทองแล้ว ยิ่งมากปีก็ยิ่งแพง เจ้าจะขึ้นเขาช่วยอาค้นหาโสมหรืออย่างไร”
“ขึ้นเขาอาหวาต้องขึ้นอยู่แล้วเจ้าค่ะแต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่อาหวาอยากทำ อาหวาจะทำขนมหวานให้ทุกคนกินเจ้าค่ะ” ‘ทับทิมกรอบรอข้าก่อนนะ’ เมื่อมีมะพร้าวสิ่งแรกที่นางคิดถึงก็คือขนมหวานและทับทิมกรอบขนมหวานเมนูสุดโปรดของนางนั่นเอง
“.........” ‘จะทำได้อย่างไรนางเคยเข้าครัวที่ไหนกันแต่ช่างเถอะนางอยากทำข้าก็จะให้นางทำ’ แต่ไท่หลางกลับมองมองหน้าท่านอาเหมือนจะกล่าวว่า ท่านอาได้โปรดห้ามนางทีเถิดขอรับ
ประมาณครึ่งชั่วยามก่อนหน้านั้นที่จวนตระกูลไท่…
“ทำไมวันนี้พวกเขาถึงได้กลับค่ำนักล่ะอาหยาง อาหวาเพิ่งจะหายป่วยแท้ๆ แม่เป็นห่วงยิ่งนัก” ไท่ซวงเอ่ยถามบุตรชาย ทุกคนต่างมายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวนเผื่อจะได้ยินเสียงรถม้าวิ่งใกล้เข้ามาบ้าง
“ท่านแม่ใจเย็นๆ เถิดอาหวาคงจะเดินดูของเพลินถึงได้กลับกันช้าขนาดนี้” ที่จริงแล้วไท่หยางเองก็กังวลอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา เกรงว่าจะเพิ่มความกังวลใจให้กับมารดาเสียเปล่าๆ
ส่วนอาฮั่นก็เทียววิ่งเข้าวิ่งออกประตูจวนอยู่บ่อยครั้งเพื่อสอดส่องดูความเคลื่อนไหวและคอยเอียงหูฟังเสียงของรถม้า ถ้าหากได้ยินเสียงรถม้าแม้เพียงนิดนั่นหมายถึงท่านอาและท่านพี่ทั้งสองใกล้จะถึงแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านย่า! ข้าได้ยินเสียงรถม้าขอรับ นั่นไงท่านย่า ท่านอาและท่านพี่กลับมาแล้ว”
กุบกับๆ กุบกับๆ
“มากันแล้วหรือ โอ..มากันแล้วดีจริงๆ”
ชั่วอึดใจเพียงรถม้าชะลอยังไม่ทันได้จอดสนิท หว่าหวาก็กระโดดลงมาจากรถม้าทันที
“อาหวาทำไมเจ้ากระโดดลงมาแบบนั้นเล่าเดี๋ยวก็ได้แผลและบาดเจ็บหรอก เป็นสตรีไยไม่สำรวมบ้างนะ” ไท่ซวงดุหลานสาวแบบไม่จริงจังนัก
“อาหวาขอโทษเจ้าค่ะท่านย่า ก็อาหวาคิดถึงท่านย่ามากๆ เลยนี่เจ้าคะ” สาวน้อยหว่าหวาพูดจาออดอ้อนทั้งมือก็โอบกอดท่านย่าพลางหัวเราะคิกคัก ‘ช่างขี้โวยวายนักเหมือนอาม่าเลยนะเนี่ย’
“เจ้าเข้าเมืองวันนี้ได้สิ่งใดมาบ้างล่ะ พ่อไม่เห็นอะไรบนรถม้าเลย”
“นั่นน่ะสิขอรับของฝากข้าก็ไม่มี พี่รอง พี่ใหญ่ พวกท่านลืมของฝากข้า” ไท่ฮั่นโอดครวญเมื่อสอดส่องดูแล้วก็ไม่เห็นสิ่งใดในรถมาเลย
“ใครเขาลืมกัน เข้าบ้านก่อนแล้วพี่จะเอาให้เจ้า” อาฮั่นนะอาฮั่นนึกว่าจะวิ่งหาด้วยความคิดถึง ชิ ที่แท้ก็คิดถึงแค่ของฝากนี่เอง หว่าหวาคิดพลางมองหน้าน้องชายที่กำลังทำหน้าคว่ำอยู่อย่างนึกเอ็นดู
“เข้าบ้านกันเถอะพี่ใหญ่ ท่านแม่ เด็กๆ อาหวามีหลายเรื่องที่จะเล่าให้พวกเราฟัง” แล้วท่านอาก็เป็นคนจบการสนทนา จากนั้นจึงชวนให้ทุกคนเข้าบ้าน
ที่โถงหลักของเรือนใหญ่…
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันอาหวา เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร” ไท่หยางเอ่ยถามบุตรสาวหลังจากได้ฟังสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจากปากของนาง
“เมื่อคืนนี้เจ้าค่ะท่านตาผู้ที่พาอาหวากลับบ้านให้เป็นของ ขวัญวันเกิดเจ้าค่ะ ท่านพ่อดูนี่สิเจ้าคะกำไลที่ท่านพ่อทำให้” แล้วหว่าหวาก็เรียกของออกจากกำไลมิติ
“บะหมี่อาหวาซื้อมาฝากทุกคนมันยังอยู่สภาพเดิมเหมือนตอนอาหวาซื้อมาไม่มีผิด ของที่เก็บไว้ในมิติจะยังคงสภาพเดิมทุกอย่างเจ้าค่ะ และนี่คือของสำคัญที่สุดมันเป็นยาเพื่อรักษาขาให้ท่านพ่อที่ท่านตามอบให้เจ้าค่ะ อีกไม่นานท่านพ่อก็จะเดินได้ ดีใจมั้ยเจ้าคะ” พูดจบนางก็ร้องไห้โฮโผกอดบิดาแน่น
“วิเศษจริงๆ ประเสริฐที่สุดต่อไปอาหยางของแม่ก็จะเดินได้แล้วจริงๆ เป็นบุญวาสนาของครอบครัวเราแล้ว ตั้งแต่อาหวากลับมาทุกอย่างมันดูดีไปเสียหมด ต่อไปย่าคงตายตาหลับ”
“ท่านแม่/ท่านย่า!!” ทุกคนขานเรียกพร้อมกันกลัวว่าท่านย่าจะเลอะเลือนไปกันใหญ่ แต่อาหวาก็ยังไม่ได้บอกทุกคนเรื่องดวงตาสวรรค์..แล้วอาหวาจะค่อยบอกแล้วกันนะ
“ตอนนี้ทุกคนหิวหรือยังเจ้าคะบะหมี่ร้านเถ้าแก่ฟู่อร่อยมากๆ เลยเจ้าค่ะ ทานข้าวเสร็จแล้วอาหวาจะผสมยาให้ท่านพ่อแช่นะเจ้าคะ”
“ไปทุกคนกินข้าวกัน” ไท่หยางเป็นคนเอ่ยขึ้นนี่คงจะเป็นอีกวันที่ทุกคนได้กินข้าวพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
“ท่านพ่อข้าจะตักน้ำใส่ถังให้ท่านพ่อนะขอรับ” อาฮั่นไม่ยอมน้อยหน้าเลยจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า