วันนี้อากาศมืดครึ้มตั้งแต่ลืมตาตื่นนอน สายลมโหมกระหน่ำพัดผ่านอย่างรุนแรงพร้อมกับหยาดฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก เสียงฟ้าร้องคำรามลั่นอยู่หลายครั้ง ผลจากพายุทำให้ช่วงนี้อากาศค่อนข้างแปรปรวนจนคาดเดาไม่ถูกว่าจะตกอีกนานเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องปากท้องก็สำคัญเช่นกัน
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวในชุดสบายๆพร้อมกับหยิบยาที่กินเป็นประจำทุกวันมากินให้เรียบร้อย จากนั้นก็หยิบเอาร่มคันใหญ่สีดำสนิทเดินออกไปไว้เบาะรถด้านข้าง ส่วนตัวเองเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ ล้อทั้งสี่หมุนออกไปอย่างช้าๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นความเร็วสม่ำเสมอ
ตลอดทั้งเส้นทางการจราจรไม่ได้ติดขัดเหมือนอย่างที่คิด แต่กลับชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำที่รวมตัวไหลลงท่อระบาย เวลาผ่านไปยี่สิบนาทีที่โลดแล่นบนท้องถนนก็ถึงที่หมายสักที
แวมไพร์อายุใกล้แตะสองร้อยปีหยิบร่มคันใหญ่กางออกแล้วเดินฝ่าสายฝนที่โปรยปรายเข้าไปในคาเฟ่ขนาดกลาง วันนี้คนธรรมดาไม่ค่อยเยอะทำให้ไม่ต้องฝืนตัวเองมากเกินไป อมนุษย์ก็ไม่เยอะเช่นกัน สองเท้าก้าวเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมพร้อมทั้งส่งยิ้มหวานให้กับเด็กน้อยที่เดินมาหาเพื่อรับเมนูของวันนี้
"เอาเหมือนเดิม"
"เสียดายจังที่วันนี้กรุ๊ปเอบีหมด"
"งั้นเอาง่ายๆอย่างกรุ๊ปโอแล้วกัน"
"สักครู่นะคะ"
"เอากลับบ้านด้วยสองที่เผื่อหิวดึกๆ"
"ได้ค่ะ"
"ฮานะวันนี้เลิกงานกี่โมง?"
"สี่โมงเย็นค่ะ แล้ววันนี้หนูก็มาทำงานวันสุดท้าย"
"ห่ะ!?"
"ตกใจอะไรคะ?"
"แล้วฮานะจะไปอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร แล้ว…เราจะได้เจอกันอีกไหม?"
"หนูไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อยไม่เห็นต้องตกใจเลย หนูลาออกแต่ก็ยังอยู่ในเมืองนี้แหละค่ะ"
"หางานได้รึยัง?"
"ยังค่ะ"
"งั้นมาทำงานให้ฉันไหม?"
"หนูขอบคุณนะแต่ไม่ดีกว่าค่ะ ขอตัวนะคะ"
นั่นคือฮานะเด็กสาวที่พูดคุยกันครั้งละไม่กี่คำและไม่เคยเห็นใบหน้าจริงๆเลยสักครั้ง เธอทำงานที่นี่มาปะมาณครึ่งปีโดยไม่กลัวอะไรเลยทั้งที่น่าจะรู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นพวกอมนุษย์ทั้งนั้น น้ำเสียงที่ใช้พูดคุยค่อนข้างราบเรียบ ใบหน้ามีหน้ากากผ้าสีดำปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่งทำให้เห็นเพียงนัยน์ตาสีฟ้าเปร่งประกายเท่านั้นเอง ผมสีบลอนด์ทองที่มัดรวบต่ำอย่างสุภาพเสมอเลยไม่รู้ว่ายาวประมาณไหนกันแน่ รูปร่างค่อนข้างบอบบางแม้อยู่ในชุดยูนิฟอร์มหลอมๆของคาเฟ่ก็พอจะดูออกในช่วงที่ขยับตัว ผิวขาวซีดเห็นจากมือเวลายกมาของเสิร์ฟและลำคอเล็กที่น่าฝังเขี้ยวลงสักครั้งจริงๆเพราะกลิ่นกายของเธอหอมเย้ายวนมากเกินไป
"กรุ๊ปโอได้แล้วค่ะ"
"เดี๋ยวฮานะ"
"ต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่าคะ?"
"เลิกงานแล้วไปกินข้าวด้วยกันไหม ฉันเลี้ยงเอง"
"ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า"
"กลัวว่าฉันจะเผลอกัดหนูรึไง?"
"เลือดของหนูไม่อร่อยหรอกค่ะ"
ช่างต่อปากต่อคำดีจริงๆเลยนะเด็กคนนี้
แต่เขาจะรอกินข้าวกับเธอ
จริงอยู่ที่แวมไพร์ใช้ชีวิตใต้แสงอาทิตย์ยากและเรื่องการอยู่ท่ามกลางผู้คนก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน แต่นั่นมันคือเมื่อห้าสิบปีก่อนเท่านั้นแหละ พวกมนุษย์ที่เขาเคยคิดว่าโง่เขลาได้สร้างยาต้านสำเร็จนั่นทำให้แวมไพร์อย่างเราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นแม้ว่าบางอย่างจะทำให้หงุดหงิดหน่อยก็ตาม
เรายังต้องการเลือดเพื่อลดความหิวกระหายอยู่
เพราะงั้นถึงมีบลัดดี้คาเฟ่ไงละ!
ยาที่กินทุกวันจะออกฤทธิ์ให้ทนต่อแสงแดดยาวนานขึ้นประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมงต่อหนึ่งเม็ด ทำให้รับรู้รสชาติของอาหารมนุษย์ทั่วไปได้เล็กน้อย ต้านอาการคลุ้มคลั่งเมื่อได้กลิ่นหอมจากเลือดที่ไหลเวียนทั่วทั้งร่างกายคน แต่นั่นก็ต้องยอมแลกกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นเมื่อเกิดบาดแผล โดยปรกติแผลใหญ่ๆจะสมานตัวเองในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่เมื่อกินยาต้านไปแล้วอาจต้องใช้เวลารักษาตัวเองยาวนานถึงหนึ่งชั่วโมงเลยก็ได้
นั่นคือสิ่งที่ต้องจ่ายก่อนจะสิ้นเผ่าพันธุ์
แวมไพร์มีลูกค่อนข้างยากมาก
ถ้าหากนับพวกสายเลือดปลอมๆที่มักจะเกิดขึ้นเพราะโดนกัดมาในระยะเวลาสั้นๆก็ค่อนข้างเยอะแต่กลับตายไวเสียจนน่าสมเพชในความอ่อนแอแบบนั้น แต่หากเป็นลูกที่เกิดจากการร่วมรักของแวมไพร์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีทำให้ไม่หลงเหลือสายเลือดของมนุษย์แล้วก็พวกเลือดบริสุทธิ์ด้วยกันเอง ลูกที่เกิดมามักจะมีความแข็งแกร่งมากเกินไปและความสามารถพิเศษ
แต่น่าเสียดายที่การตายมากกว่าการเกิด
แวมไพร์ร้อยคู่ มีลูกได้เพียงหนึ่งคนโดยประมาณ
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราต้องปรับตัวต่อภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์และใช้ชีวิตธรรมดาได้แบบคนทั่วไปเพื่อไม่ให้โดยกวาดล้างจากมนุษย์และอมนุษย์อื่นๆที่ร่วมมือกัน เพียงแต่ว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่จะมีฐานะค่อนข้างร่ำรวย และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยสักนิดหากคิดดีๆ ในเมื่อมีชีวิตอยู่มาเป็นร้อยปีถ้าไม่มีทรัพย์สินเลยคงน่าสมเพชมากเกินไป
"เลิกงานแล้วเหรอ?"
"คุณ!"
"ฉันชื่อควินน์ เมื่อไรหนูจะจำได้สักที?"
"วันหนึ่งหนูมีลูกค้าตั้งเยอะแยะจะจำคุณได้ยังไงละคะ"
"แต่ฉันเป็นลูกค้าประจำเลยนะ!"
"ลูกค้าประจำก็เยอะค่ะ"
"ฉันไม่มีอะไรพิเศษพอให้จำได้เลยรึไง?"
"หนูกลับก่อนดีกว่า แล้วในคาเฟ่ตอนนี้คนไม่เยอะมากคุณน่าจะชอบ"
"ฉันอยากเลี้ยงส่งให้"
"หนู…ว๊าย!!! คุณควินน์ปล่อยหนูนะ!"
"ฮานะอย่าดื้อน่า!" เขาจับเด็กน้อยตัวเบาหวิวอุ้มพาดบ่าแล้วเดินดุมๆไปที่รถ พอเปิดประตูแล้วโยนเธอเข้าไปได้ก็ใช้ความเร็วปรกติของแวมไพร์เข้าไปประจำที่คนขับเร็วเกินกว่าที่เธอจะลงจากรถทัน
"คุณควินน์ปล่อยหนูลง!"
"ฉันแค่จะเลี้ยงข้าวเฉยๆไม่ได้พาไปฆ่าซะหน่อย"
"หนูจะแจ้งตำรวจ!"
"ข้อหาลักพาตัวงั้นเหรอ?"
"อื้ม!"
"ก่อนจะจับฉันเข้าคุกช่วยถอดหน้ากากก่อนได้ไหม ฉันอยากเห็นหน้าหนูชัดๆก่อนเข้าไปอยู่ในห้องขัง"
"อย่าเลย…ไม่มีใครอยากเห็นหน้าหนูหรอก"
“ก็ฉันไงที่อยากเห็น”
“แต่หนูไม่อยากให้ใครเห็นสักหน่อย!”