รถม้ายศศักดิ์ของเจิ้นกั๋วกง วิ่งมาหยุดอยู่หน้าประตูวังหลวง เหตุเพราะท่านชายอวิ๋นหยางถูกองค์ฮ่องเต้เรียกเข้าพบกะทันหัน ทั้งที่จากเดิมไม่เคยเรียกเข้าพบมาเกือบสี่ปี...
หลี่เสี่ยวหลงในร่างของท่านชายอวิ๋นหยางมีความกังวลไม่น้อย จากที่เขาทราบมาก่อนคือ อวิ๋นหยางมีศักดิ์เป็นพระนัดดาขององค์ฮ่องเต้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รับความโปรดปราดแต่อย่างไร มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือว่าถูกชิงชัง เหตุเป็นเพราะฮ่องเต้มีความขัดแย้งกับบิดาของท่านชายอวิ๋นหยางที่เป็นพระอนุชา และยังมีข่าวลือเรื่องสาเหตุการณ์ตายของชินอ๋องว่าอาจจะเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันด้วย
“กระหม่อมเจิ้นกั๋วกง ขอพระองค์ทรงพระเจริญเป็นหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” อวิ๋นหยางทำความเคารพผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างเต็มพิธี
ก่อนที่จะมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้จางเชี่ยนหยุนที่เห็นว่าเจ้านายตนเองแปลกไปราวกับว่าสูญเสียความทรงจำจึงทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทั้งขนบธรรมเนียมในวังหลวง บุคคลที่สมควรยุ่งเกี่ยวและไม่ยุ่งเกี่ยวให้กว่าสองวันเต็ม หนึ่ง เป็นเพราะห่วงเกรงว่าท่านชายจะทำเรื่องไม่สมควร และสอง หากฮ่องเต้ทราบเรื่องว่าท่านชายมีอาการหลงๆ ลืมๆ เกรงว่าจะถูกสืบสาวเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่ใช่ผลดีต่อตัวท่านชายอวิ๋นหยาง...
“ลุกขึ้นเถิด เราเรียกเจ้ามาครั้งนี้เพราะเห็นว่าไม่ได้เจอเจ้านาน” พระโอษฐ์ของฮ่องเต้ทรงยกขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง”
“กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นหยางตอบกลับ เขารู้ดีว่าการเรียกตัวเขาให้มาเข้าเฝ้าในวังวันนี้คงไม่ใช่เพราะต้องการถามไถ่ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ หลังจากสอบถามเรื่องทั่วไปแล้วในที่สุดก็เข้าเรื่องหลัก
“ปีนี้เจ้าก็จะอายุครบยี่สิบสองแล้ว เราเห็นว่าเจ้ายังไม่แต่งเสียที ในฐานะอา เราก็เป็นกังวลใจยิ่งนัก ยังไงเสียเจ้าก็เป็นหลานคนหนึ่งของเรา”
อวิ๋นหยางก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง กระหม่อมเพียงแค่ยังไม่เจอสตรีที่ถูกใจ อีกทั้งกระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้มิควรรีบร้อน...” ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ฮ่องเต้ก็ทรงขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าไม่รีบร้อน แต่เราที่เรี่ยวแรงน้อยลงทุกวันจะไม่ให้รีบร้อนไปได้อย่างไร ชินอ๋องฝากฝังเจ้าเอาไว้กับเรา หากเราตายไปโดยที่เจ้ายังไม่แต่ง เราจะมีหน้าที่ไหนไปพบชินอ๋อง”
“ฝ่าบาทอย่าทรงกล่าวเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะต้องอยู่ดูแลบ้านเมืองอีกเป็นหมื่นหมื่นปี” แม้จะตอบกลับไปเช่นนั้น แต่ในใจเขากลับรู้สึกขัดกัน สี่ปีที่ไม่เคยเรียกหา เช่นนี้หรือที่เรียกว่าเป็นกังวลใจ?
เมื่อได้ฟังคำเยินยอ พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ดูชื่นมื่นยิ่งขึ้น “คำว่าหมื่นปีเป็นเพียงคำพูดสรรเสริญเท่านั้น แค่ร้อยปีข้าก็พึงพอใจแล้ว”
อวิ๋นหยางทำทียิ้มรับเล็กน้อยไม่เอ่ยคำใด
“เอาล่ะ เจ้ายังไม่มีสตรีที่ถูกใจก็ไม่เป็นไร เราเชื่อว่าคนที่เราเลือกให้เจ้าจะต้องเป็นภรรยาที่ดีของเจ้าแน่ เรื่องนี้ไม่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เราจะจัดการให้เจ้าเอง” เพียงแค่รับสั่งเสร็จฮ่องเต้ก็ทรงเสด็จลุกออกไป
อวิ๋นหยางไม่อาจจะเอ่ยแย้งคำใดได้ เขากล่าวอำลาอย่างจำใจ เพิ่งจะเคยลำบากใจเป็นอย่างมากก็วันนี้ รับสั่งขององค์ฮ่องเต้ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจจะขัดได้ หากขัดคำสั่งก็เท่ากับว่าไม่รักษาศีรษะบนบ่าตนเอง ถึงวันนี้ฮ่องเต้จะยังไม่ทรงบอกสตรีที่ต้องการแต่งให้เขา แต่เขาก็พอจะทราบมาบ้างจากข่าวลือ
บันไดหินอ่อนมีบุรุษแต่งกายด้วยชุดเต็มยศผู้หนึ่งกำลังรีบร้อนก้าวขึ้นตำหนัก อวิ๋นหยางที่กำลังจะกลับหลีกทางไปด้านข้าง ทั้งคู่สบตากันชั่วครู่ คนหนึ่งไม่มีความรู้สึกอันใด แต่ทว่าอีกคนแววตากลับเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจและไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน
“ท่านชายเชิญขอรับ” จางเชี่ยนหยุนเปิดม่านให้เจ้านายตนเอง
อวิ๋นหยางก้าวขึ้นรถม้า “คนเมื่อสักครู่ ใช่องค์รัชทายาทหรือไม่”
จางเชี่ยนหยุนแทบจะซับน้ำตา แม้แต่องค์รัชทายาทท่านชายยังจำไม่ได้ ดีหน่อยที่เขายังจำหน้าฮ่องเต้ได้ “ใช่ขอรับ”
“อืม กลับจวน”
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทิ้งห่างวังหลวงให้อยู่ข้างหลัง แม้ใบหน้าของคนในรถม้าจะสงบนิ่งแต่หากจะให้กล่าวตามตรง ตอนนี้เขาเองก็คิดไม่ตก ไม่เข้าใจตนเอง ไม่ทราบว่าควรจะทำเช่นไรถึงจะดี...
ข่าวเรื่องฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้แก่เจิ้นกั๋วกงดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะเห็นว่าเจิ้นกั๋วกงกับคุณหนูสือซูหนี่ว์ไม่เหมาะสมกัน แต่ใครเล่าจะกล้าเอ่ยแย้ง หรือกล่าวไม่ดีตรงๆ
เบื้องหน้าต่างล้วนเยินยอ แต่เบื้องหลังแอบซุบซิบนินทา ในสายตาของผู้อื่นแน่นอนว่าคุณหนูสือซูหนี่ว์มีความงาม และความสามารถล้ำเลิศไม่เป็นสองรองใคร มีสกุลมากมายจ้องหมายตาอยากจะเกี่ยวดองด้วย ใต้เท้าสือผู้เป็นบิดาก็เป็นถึงเสนาบดีซ้าย ทั้งยังมีพี่สาวเป็นพระชายาขององค์ชายรอง นับว่าสกุลสือมีทั้งตำแหน่ง และเกี่ยวดองกับองค์ฮ่องเต้ ทำให้ยามนี้สกุลที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นสกุลสือ แล้วแบบนี้ใครเล่าจะไม่อยากเกี่ยวดองด้วย
กลับกัน เจิ้นกั๋วกงเป็นเพียงพระนัดดาที่ฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดจึงมอบจวนที่ห่วงไกลจากเมืองหลวงให้ ซ้ำยศศักดิ์ก็เป็นเพียงเจิ้นกั๋วกง ตำแหน่งในราชสำนักก็ไม่มีทั้งที่อายุมากแล้ว จึงอย่าได้ถามถึงความก้าวหน้าในอนาคตเพราะไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งทุกคนก็ต่างรู้ถึงสาเหตุเพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเท่านั้น
แน่นอนว่าการจับคู่ในครั้งนี้นั้นย่อมมีเบื้องหลัง...
“คุณหนูของบ่าว...” น้ำเสียงของลี่จือมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
นางสงสารคุณหนูแต่ไม่รู้จะทำเช่นไรดี ท่านชายอวิ๋นหยางนั้นจะว่าดีก็ไม่ได้ จะว่าไม่ดีก็ไม่ได้อีก แต่ที่คุณหนูของนางเจอเขาครั้งล่าสุดบ่งบอกได้ดีว่าท่านชายอวิ๋นหยางดูไม่สนใจคุณหนูแม้แต่น้อย แล้วแบบนี้หากคุณหนูแต่งออกไปโดยไม่ได้รับความโปรดปรานจากสามี คุณหนูจะมีความสุขได้หรือ...
“แบบนี้ดีแล้วหรือเจ้าคะ”
“ลี่จือ นี่เป็นรับสั่งของฮ่องเต้ แม้สายตาผู้อื่นจะมองว่าท่านชายเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ข้าเชื่อว่าเขาจะเป็นสามีที่ดีของข้าได้แน่” สือซูหนี่ว์เผยรอยยิ้มบาง สีหน้าของนางมีความอ่อนโยนขึ้นเมื่อนึกถึงว่าที่สามีในอนาคต เมื่อตอนงานชมบุปผาปีที่แล้ว นางยังคงจำไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่คู่นั้นที่ช่วยประคองนางเอาไว้ได้ดี รอยยิ้มของเขาที่มอบให้นางเหมือนดั่งแสงตะวันส่องสว่าง
นางรู้สึกว่าเขา...ไม่ได้เป็นเหมือนที่ทุกคนมอง
แน่นอนว่าข่าวที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้แก่ท่านชายอวิ๋นหยางและสือซูหนี่ว์ย่อมดังถึงหูป๋ายฮุ่ยชิว เมื่อทราบข่าวฮุ่ยชิวรู้สึกดีใจจนแทบจะเต้น เพราะตามเนื้อเรื่องเท่ากับว่าช่วงเวลานี้ฮุ่ยชิวต้องเข้าไปแฝงตัวในวังหลวงแล้ว ย่อมหมายถึงตอนนี้นางรอดพ้นจากชะตากรรมตามเนื้อเรื่องและสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขกับครอบครัวโดยไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป
ฮุ่ยชิวถึงกับยิ้มหน้าบาน ในใจภาวนาของให้นางเอกและพระเอกสุขสมหวังกันเร็วๆ แต่แน่นอนว่าเรื่องความรักมันง่าย เพราะนางเขียนให้นางเอกมีใจให้พระเอกก่อนที่จะได้รับพระราชทานสมรสเสียอีก เพียงคืนเข้าหอก็...
ป๋ายเฉาหลัวที่เข้ามาเห็นพี่หญิงตนเองบิดตัวไปมาเหมือนเขินอายแล้วก็ทำหน้าตาแปลกๆ เจ้าตัวจึงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่กล้าเดินเข้ามา “พี่หญิง ท่านยังสติดีใช่หรือไม่...หากไม่สบายตรงไหนบอกข้าตามหมอให้ดีกว่าไหม ข้าว่าช่วงนี้พี่หญิงดูแปลกๆ”
ฮุ่ยชิวที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามากระแอมไอทีหนึ่งแก้เขิน บางครั้งนางก็รู้สึกว่าเจ้าน้องชายคนนี้ชอบเข้ามาเห็นตอนนางเผลอตัวบ่อยจริงเชียว “มานี่มาอาหลัว” นางกวักมือเรียกน้องชายให้เข้ามาใกล้ “เจ้าฟังข้านะ ข้าสบายดี สตรีเวลาอยู่คนเดียวบางทีก็มีเรื่องให้ต้องคิดจึงมีท่าทีแปลกไปบ้าง แต่เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย เมื่อเจ้าโตขึ้นเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง บางที...ภรรยาเจ้าในอนาคตอาจจะชอบทำท่าทีแปลกๆ มากกว่าข้าเสียอีก” ฮุ่ยชิวจงใจแอบขู่เฉาหลัวเล่น นางยิ้มกรุ้มกริ่ม
เมื่อได้ฟังดังนั้นเฉาหลัวถึงกับส่ายศีรษะระรัว เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ เดี๋ยวก็เห็นพี่หญิงดึงผมตนเอง เดี๋ยวก็หัวเราะอยู่คนเดียว มาคราวนี้ยังนั่งเหมือนเขินอายอยู่คนเดียว? เขาไม่เข้าใจเลยว่าสตรีเวลาอยู่คนเดียวอารมณ์จะแปรปรวนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ
ฮุ่ยชิวหัวเราะในลำคอ เหมือนรู้ทันความคิดของน้องชาย นางเอื้อมมือหมายจะไปลูบหัวเขาเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคย
“พี่หญิงห้ามเล่นหัวข้านะขอรับ!”
เฉาหลัวถอยห่างไม่ยอมให้ฮุ่ยชิวเล่นศีรษะ ฮุ่ยชิวเอียงคออย่างสงสัย เพราะปกตินางก็ยังลูบเล่นได้ตลอดนี่น่า “ทำไมเล่า”
“ข้าเป็นบุรุษนะขอรับ จะให้สตรีมาลูบศีรษะเล่นอย่างเอ็นดูได้อย่างไร ไม่เอา” เฉาหลัวพยายามหลบมือฮุ่ยชิวอย่างเต็มที่
ฮุ่ยชิวหัวเราะ “เจ้าโตแล้วหรือนี่ แต่ในสายตาข้าเจ้าก็ยังเด็กอยู่ดี มาหาพี่สาวมา” นางวิ่งเข้าหาตัวน้องชาย แต่ร่างเพรียวกลับหนีอย่างว่องไวจนนางตามไปไม่ทัน
เฉาหลัวใบหน้าแดงก่ำโผล่หน้ามาจากหน้าต่าง เขาลืมไปว่าท่านพ่อฝากให้มาบอกพี่หญิง “บนโต๊ะท่านพ่อซื้อของที่พี่หญิงอยากได้มาให้”
ของที่อยากได้หรือ? ฮุ่ยชิวปล่อยให้เฉาหลัวหนีไป ส่วนนางเดินไปดูของที่อยู่บนโต๊ะอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าบิดาซื้ออะไรมาให้ เพียงแค่เห็นดวงตาของนางก็เบิกกว้างอย่างดีใจ
บนโต๊ะมีทั้งแท่นฝนหมึก พู่กัน และกระดาษ ถึงจะมีร่องรอยการใช้งานมาก่อนทำให้ทราบว่านี่เป็นของมือสอง แต่นางก็ยินดีมากนักที่บิดาหามาให้ ในที่สุดนางก็จะได้กลับมาเขียนนิยายเสียที เอาล่ะ ได้เวลาสร้างจินตนาการให้คนยุคโบราณเพลิดเพลินกันแล้ว!
ใบหน้าของฮุ่ยชิวปรากฏรอยยิ้มร่าเริง ก่อนที่นางจะหอบของทั้งหมดกลับไปเก็บไว้ที่ห้องของตนเอง
ป๋ายลู่เสียนที่เพิ่งจะกลับมาจากการออกไปหาของป่าเห็นน้องสาวตนเองกำลังนั่งขีดๆ เขียนๆ อยู่จึงถามอย่างแปลกใจ “นี่เจ้าเขียนพู่กันเป็นด้วยหรือ” เขาเดินมาชะโงกหน้าดูจากข้างหลัง
“พี่ใหญ่” ฮุ่ยชิววางพู่กันลง นางเกาท้ายคอไม่ได้สบตาเขา “คือว่าข้า...เอ่อข้า เพิ่งจะหัดเรียนน่ะเจ้าค่ะ” นางหัวเราะเสียงแห้ง ด้วยลายมือที่ไม่ค่อยจะดีของนางกล่าวว่าเพิ่งหัดเรียนคงไม่มีใครสงสัย
ลู่เสียนพยักหน้ารับ แววตามีความพึงพอใจ ที่เห็นน้องสาวใฝ่เรียน เพราะปกติสตรีจะไม่สนใจเรื่องเขียนพู่กันอ่านตำรากันมากนัก นอกเสียจากจะเป็นสตรีชนชั้นสูง
“เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
“พี่ใหญ่กลับมาเหนื่อยๆ หากมีอันใดให้ข้าช่วยก็เรียกข้าได้นะเจ้าคะ” นางตะโกนบอกพี่ชาย แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีอะไรให้นางช่วยนางจึงนั่งเขียนต่อ การเขียนหนังสือด้วยพู่กันเช่นนี้ยากพอสมควรเพราะนางไม่เคยหัดเขียนมาก่อน แต่เมื่อเขียนจนจบได้หนึ่งบทนางก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก
เรื่องแรกที่นางแต่งขึ้นในโลกนี้ นางตัดสินใจที่จะลองเอาไปให้ลุงหลิวซึ่งเป็นคนเล่าเรื่องและนิทานในโรงน้ำชาอ่านดู แม้นางจะอยากคัดลอกวางขาย แต่ลายมือของนางเมื่อใช้พู่กันเขียนมัน...ไม่ไหวๆ หากจะจ้างคนมาคัดลอกให้ก็ไม่มีเงิน เช่นนั้นก็ลองขอให้ลุงหลิวอ่านจะดีกว่า ถ้ารุ่งนางจะได้ขอส่วนแบ่งกำไรมาสักนิดหน่อย
ฮุ่ยชิวยิ้มหน้าบานเดินออกจากเรือน ตอนแรกนางคิดว่าจะต้องกล่อมลุงหลิวนานเสียหน่อยเขาจึงจะยอมอ่านเรื่องเล่าของนาง แต่เพียงแค่อ่านบทนำลุงหลิวก็หัวเราะชอบใจ
“ป๋ายฮุ่ยชิว ข้าไม่คิดเลยว่าสตรีตัวกระจ้อยอย่างเจ้าจะเขียนเรื่องออกมาได้น่าติดตามเช่นนี้ ดี ดีมาก ข้าจะเอาเรื่องของเจ้าไปเล่าแน่นอน เริ่มตั้งแต่บ่ายวันนี้เลยก็แล้วกัน”
“จริงหรือลุงหลิว! ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” ฮุ่ยชิวดีใจจนแทบจะตัวลอย ในที่สุดผลงานเรื่องแรกของนางก็จะได้เผยแพร่แล้ว แม้นางจะยังไม่รู้ผลตอบรับ แต่ก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อยจึงรีบกลับเรือนไปเขียนบทต่อไปทันที