ตอนที่ 6 (2)

1761 Words
“ท่านพ่อขอรับ คือว่า...” ป๋ายเลี่ยงรุ่ยมองบุตรชายที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดเสียที เขารอบุตรชายเอ่ยตั้งแต่ที่ตลาดจนเดินกลับมาจนเกือบจะถึงเรือน “ลู่เสียน เจ้าเป็นบุตรชายคนโต ข้าเคยสอนให้เจ้าอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดเช่นนี้หรือ แล้วแบบนี้จะเป็นผู้นำครอบครัวได้เช่นไร” คำกล่าวขอบิดาทำให้เขาสำนึกผิด “ขออภัยท่านพ่อ คือว่าข้า...ข้าอนุญาตให้น้องๆ นำแป้งหมั่นโถวมาลองปั้นกันเล่นเผื่อว่าจะนำมาขายได้ราคาดีขึ้น แต่ว่าปั้นมามากไปเสียหน่อย...” เขาสารภาพออกมาตามตรง ป๋ายเลี่ยงรุ่ยยกมือขึ้นเป็นเชิงให้บุตรชายหยุดพูด เปลวเทียนเล่มเล็กเพียงเล่มเดียวที่ถูกจุดเอาไว้สั่นไหวตามแรงลมพัดแผ่วเบาจนเกือบจะดับ ทั้งบุตรสาวคนกลางและบุตรชายคนเล็กนอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะที่มีจานหมั่นโถวกระต่ายสี่ตัวราวกับเป็นครอบครัวเดียวกันวางเอาไว้อยู่ ป๋ายเลี่ยงรุ่ยคลี่รอยยิ้ม มือสากเหยี่ยวหย่นตามอายุเอื้อมไปหยิบหมั่นโถวกระต่ายตัวที่ใหญ่ที่สุดเหมือนกับเป็นพ่อของพวกมันขึ้นมาก่อนจะกัดชิมหนึ่งคำ เนื้อหมั่นโถวมีรสชาติแปลกเล็กน้อยเหมือนมีบางอย่างผสมอยู่ แต่ก็ช่วยให้กลิ่นหอมมากขึ้น ศีรษะของเขาส่ายเบาๆ ถึงอยากจะดุที่เจ้าบุตรทั้งหลายโตแล้วยังทำตัวไม่รู้จักโตถึงเอาของกินมาเล่น แต่เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วจะทำใจดุก็ทำไม่ลง ฮุ่ยชิวมองหมั่นโถวของตนเองที่ถูกเลือกออกมาอย่างน้อยใจ เป็นเพราะนางปั้นออกมาได้รูปร่างประหลาด จะปั้นกระต่ายคล้ายกระต่ายก็ไม่เชิง ปั้นหมีจะคล้ายหมีก็ไม่คล้าย แม้แต่ปั้นดอกไม้ยังไม่เหมือน... “ท่านพ่อ เอาของข้าไปขายด้วยสักลูกก็ไม่ได้หรือ” สายตาฮุ่ยชิวส่องแววอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร นางเองก็อยากมีหมั่นโถวที่ปั้นด้วยมือตนเองขายบ้าง ก่อนจะมองค้อนเจ้าน้องชายตัวดีที่หัวเราะเยาะฝีมือปั้นสุดเทพของนาง ป๋ายเลี่ยงรุ่ยจำต้องยอมรับหมั่นโถวรูปหมีแต่ไม่ค่อยจะคล้ายหมีมา เพื่อให้บุตรสาวมีกำลังใจพัฒนาฝีมือต่อไป ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเด็กๆ นี้ทำให้ป๋ายเลี่ยงรุ่ยนำมาพัฒนาสูตรแป้งหมั่นโถวใหม่ให้เกิดสีสัน รสชาติแปลกใหม่ขึ้นมาหลายรส ประกอบกับฝีมือการปั้นหมั่นโถวของเฉาหลัวทำให้ขายได้ราคาดีขึ้นมาก ตอนนี้เพียงออกไปขายแค่รอบเดียวต่อวันก็เพียงพอเทียบเท่ากับการออกไปขายถึงสามรอบเลยทีเดียว “เจ้าอยู่เฝ้าเรือนดีๆ เล่า” ป๋ายเลี่ยงรุ่ยบอกบุตรสาว ฮุ่ยชิวรับคำ เมื่อบิดาและน้องชายออกไปขายหมั่นโถว ส่วนพี่ชายออกไปเข้าป่าเก็บของป่าอีกครั้ง นางจึงต้องอยู่เรือนคนเดียว เมื่อไร้คนอยู่ด้วยเช่นนี้แล้วเรือนก็เงียบเหงาขึ้นมาทันตา ฮุ่ยชิวคิดทบทวน ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่าเลยช่วงที่นางจะต้องพบเจอกับพระเอกของนิยาย ‘ท่านชายอวิ๋นหยาง’ มาแล้ว นางไม่รู้ว่าตอนนี้พระเอกของเรื่องจะทำเช่นไรต่อไป เมื่อเขาไม่พบนางก็เท่ากับว่าขาดตัวละครสำคัญที่จำเป็นต่อการขึ้นครองบัลลังก์ของเขาไป ด้วยตำแหน่งตอนนี้ของเขาที่มีศักดิ์เพียง ‘เจิ้นกั๋วกง’ หรือที่เรียกว่าท่านชายขั้นหนึ่ง คงยากที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ ฮุ่ยชิวตบหน้าตนเองเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านชวนปวดหัวออกไป ไม่ว่าเรื่องวุ่นวายในราชสำนักจะเป็นเช่นไร ใครจะได้ครองบัลลังก์ต่อก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางทั้งนั้น ตอนนี้นางเป็นเพียงแค่บุตรสาวของคนขายหมั่นโถว แล้วจะคิดมากไปทำไมให้ปวดหัว เมื่อคิดได้นางจึงลุกขึ้นมาลงมือเก็บกวาดเรือน เพื่อให้ตนเองไม่ต้องมีความคิดฟุ้งซ่านอีก สวรรค์ให้โอกาสนางมีชีวิตใหม่ นางก็ขอแค่มีชีวิตรอดต่อไปพร้อมกับครอบครัวใหม่ก็เพียงพอแล้ว บนถนนที่คนพลุกพล่าน บุรุษผู้หนึ่งที่แต่งกายดีกว่าชาวบ้านธรรมดากำลังเดินกวาดสายตามองราวกับต้องการสำรวจ หลังจากที่เขามาใช้ชีวิตอยู่ในร่างของท่านชายอวิ๋นหยางผู้นี้ เวลาก็ล่วงเลยมากกว่าเจ็ดวันแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะออกจากจวนมาเดินเล่นข้างนอกเสียหน่อยเพื่อทำความคุ้นชิน จางเชี่ยนหยุนเดินตามนายของตนไปไม่ห่าง สีหน้ามีความวิตกกังวล ก็ในเมื่อท่านชายของเขาเพิ่งจะรอดพ้นจากคนร้ายมาไม่นานนัก แต่ยามนี้กลับออกมาเดินออกจวนอย่างไม่ทุกข์ร้อน ซ้ำคนร้ายก็ยังจับตัวไม่ได้ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นเขาจะทำเช่นไร! แม้จะมีกลุ่มองครักษ์ติดตาม แต่จางเชี่ยนหยุนกับยังไม่ไว้วางใจ ถึงนายของตนเองจะมียศศักดิ์เป็นเจิ้นกั๋วกง แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขานั้นไร้อำนาจ จากบุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตชินอ๋องเมื่อสิ้นบิดามารดาไปด้วยความไม่กระจ่างกับได้ตำแหน่งมาเพียงเจิ้นกั๋วกงแทนที่จะได้สืบทอดชื่ออ๋องต่อไป ซ้ำยังถูกขับออกมาอยู่นอกวังหลวงไปไกลถึงหลายลี้และถูกจับตามองไม่ให้ออกนอกเมืองหลวง ขนาดคนสมองน้อยยังดูออกว่าฮ่องเต้ทรงชิงชังและไม่ไว้วางพระทัยพระนัดดาของตนเองผู้นี้มากนัก แต่ใครเล่าจะกล้ากล่าวออกมาให้ตนเองหัวขาด “ท่านชาย ข้างหน้าเป็นย่านการค้าผู้คนพลุกพล่านซ้ำยังร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ข้าว่าท่านไปโรงน้ำชาเจ้าประจำจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ” อวิ๋นหยางเหลือบสายตามองคนสนิทข้างกาย เพียงแค่สังเกตท่าทางของจางเชี่ยนหยุนเขาก็เห็นความเป็นกังวลที่ฉายชัด ตั้งแต่ที่หลี่เสี่ยวหลงมาอยู่ในโลกแห่งนี้ และแอบลอบถามข้อมูลจากจางเชี่ยนหยุนกับพ่อบ้านในจวนมา เขาก็ทราบว่าโลกแห่งนี้ดูเหมือนไม่ใช่ที่ปลอดภัยของชายที่มีนามว่าอวิ๋นหยาง เพียงแค่ก้าวเท้าออกจากจวนก็เหมือนกับมีสายตาคอยจ้องมอง “งั้นหรือ อืม นำทางเถิด” “หมั่นโถวร้อนๆ ไหมขอรับ” เสียงเด็กชายผู้หนึ่งตะโกนเรียกลูกค้าดังทำให้ขึ้นเรียกความสนใจของอวิ๋นหยางที่กำลังจะเดินตามจางเชี่ยนหยุนไปให้หันไปมอง ไอร้อนก่อนตัวเป็นควันขาวลอยขึ้นเมื่อถังไม้ถูกเปิดออก เมื่อมองเข้าไปในถังเขาก็เห็นหมั่นโถวลูกเล็กใหญ่คละกันวางเรียงอยู่จนเต็ม แต่ไม่ใช่หมั่นโถวลูกขาวที่เห็นทั่วไปในย่านนี้ เพราะหมั่นโถวนั้นมีความแตกต่างด้วยสีสัน ซ้ำยังเป็นรูปทรงต่างๆ เพียงแค่ตะโกนเรียกไม่นานก็มีคนมาซื้อ อากาศช่วงนี้เริ่มมีไอเย็นก่อตัว การที่มีหมั่นโถวร้อนในมือก็ทำให้ช่วยให้ความอบอุ่นได้ไม่น้อย ผู้ที่ซื้อหมั่นโถวต่างจากไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มยินดี ทั้งยังเอ่ยชมความสวยงามจนแทบไม่กล้ากินนี้ “ท่านชายมองอะไรอยู่หรือขอรับ” จางเชี่ยนหยุนเอ่ยเรียกนายของตนที่ไม่ยอมเดินตามมาเสียที พลันมองตามไปยังสายตาของเจ้านาย “หมั่นโถวพวกนี้แปลกสวยงามไม่น้อย ท่านชายสนใจสักลูกหรือสองลูกไหมขอรับ” เขารีบเอ่ยถามเพราะรู้ถึงความต้องการของเจ้านายตน แถมเขาเองก็เริ่มหิวแล้วด้วยเมื่อได้กลิ่นหอมของหมั่นโถว จึงต้องกลืนน้ำลายลงไปเพื่อพยายามห้ามไม่ให้น้ำลายไหลออกมา เมื่ออวิ๋นหยางพยักหน้ารับ จางเชี่ยนหยุนก็ควักเงินในกระเป๋าเดินไปซื้อให้เจ้านายทันที “เถ้าแก่ หมั่นโถวสี่ลูก” เขาเอ่ยสั่ง เถ้าแก่ร้านรีบตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เลือกได้นะขอรับ คุณชายอยากได้ลูกไหน” จางเชี่ยนหยุนกวาดตามอง แม้จะสวยงามก็จริง แต่ก็ออกน่ารักเกินไปกว่าที่ชายอย่างเขาจะหยิบขึ้นมากินกลางตลาดได้ เขากระแอมขึ้นมาเบาๆ ใบหูออกจะแดงเล็กน้อยเพราะผู้ที่มาต่อแถวข้างหลังล้วนมีแต่อิสตรี “เอาหมู ลูกเจี๊ยบ ก้อนกลมๆ ลายๆ นั่น แล้วก็...” “หมีสีน้ำตาล” อวิ๋นหยางเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ขอรับ” คนขายหมั่นโถวรีบจัดแจงตามที่ลูกค้าสั่งทันที “ไม่ใช่หมีตัวนั้น ตัวนี้” นิ้วเรียวยาวขึ้นไปที่หมีรูปร่างประหลาดตัวหนึ่ง แม้แต่ใบหน้าก็เบี้ยวไม่กลมเช่นลูกอื่น ป๋ายเลี่ยงรุ่ยร้อง อ๋อ ออกมาหนึ่งคำก่อนจะส่งหมั่นโถวลูกนั้นไปให้คุณชายที่หน้าตาหล่อเหลา แล้วรับเงินค่าหมั่นโถวจากผู้ติดตาม “ท่านพ่อ หมีประหลาดของพี่หญิงขายออกด้วย” ป๋ายเลี่ยงรุ่ยส่งสายตาห้ามปรามบุตรชาย “แม้เจ้าจะว่าน่าเกลียด แต่ในสายตาของผู้อื่นมันอาจจะสวยงามก็ได้ เอา รีบเรียกลูกค้าเร็วเข้า” “ขอรับ” ป๋ายเฉาหลัวตอบลากเสียงยาวอย่างเกียจคร้าน ถึงอย่างนั้นก็ยอมตะโกนเรียกลูกค้าแต่โดนดี “ท่านชาย...เจ้านั่นมันคือหมีหรือขอรับ” จางเชี่ยนหยุนเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก หมั่นโถวในมือของนายตนดูอย่างไรก็แทบจะไม่คล้ายหมี หน้าตามันดูประหลาดพิกลแถมยังบึ้งตึง อวิ๋นหยางส่งเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ เขามองหมั่นโถวในมือที่ชวนให้นึกถึงตัวการ์ตูนตัวหนึ่ง “ริลัคคุมะ” เขาเอ่ยเฉลย ใบหน้าคล้ายยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม พลันนึกถึงคนที่ชอบเจ้าหมีตัวนี้... จางเชี่ยนหยุนมีใบหน้างวยงงเมื่อคำพูดประหลาดที่เขาไม่เข้าใจถูกเอ่ยออกมาจากปากเจ้านายตนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้ท่านชายอ่านตำรามากไปหรือไม่ เขาที่ไม่เคยอ่านถึงฟังไม่เข้าใจ? สตรีรูปร่างอ่อนช้อยนางหนึ่งก้าวลงจากรถม้า ก่อนที่นางจะย่อกายคารวะทักทาย ผู้ที่บังเอิญพบเจออย่างนอบน้อม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านชายอวิ๋นหยาง บังเอิญจริงที่เจอท่านที่นี่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD