ภาพของเขมิกาที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง สภาพของเธอในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับซากศพ ข้อมือข้อเท้าแม้จะถูกปลดล็อกให้เป็นอิสระ แต่รอยแดงช้ำนั่นเริ่มขยายเป็นวงกว้างมันกำลังบวมเป่ง เพราะการเสียดสีอย่างหนักของค่ำคืนที่ผ่านมา แผ่นหลังที่เริ่มจะอักเสบจากรอยแส้ ที่เดวิดหวดลงมาเป็นรอยแดงยาวลึกที่กลางหลัง มันทำให้เขมิกาไม่สามารถพลิกกายนอนหงายได้ เธอต้องนอนตะแคงตลอดเวลา รอยแดงรอบสะดือกับรอยที่เขาจี้เทียนลงมา มันทำให้เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนกับแผลที่เริ่มพุพองของเนื้อบางนุ่มนวล
ช่วงล่างที่ผ่านศึกหนัก มันเริ่มอักเสบแสบเข้าไปถึงท้องน้อย มันช่างเป็นการขายเรือนร่างที่แสนจะสาหัส เท่าที่เคยขายมา ซึ่งใครจะมาเข้าใจมีแต่เขาจะซ้ำเติมในสิ่งที่เธอถูกกระทำ เพราะเขมิกาเป็นคนเลือกเอง
เรือนร่างงามในเวลานี้มันช่างน่าสมเพชยิ่งนัก น้ำตาของเธอค่อยๆ ไหลออกมาจากตาคู่สวย ตัวของเธอร้อนราวกลับว่ากำลังนั่งอยู่บนกองไฟ เพราะพิษไข้ที่แผลมันอักเสบ เวลาเช่นนี้เธอจะหาใครมาดูแล เดวิดก็หนีหายเมื่อเขาเสร็จสมดังที่หมายจากร่างกายของเธอ เขมิกาค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้น เพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำเธอหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางไว้บนเตียงกับชุดใหม่ที่วางเอาไว้ อย่างน้อยเขาก็ยังมีน้ำใจในการหาชุดมาไว้ให้เธอ เขมิกาค่อยๆ เปิดฝักบัวรดมาที่ใบหน้า ก่อนจะชำระล้างไปทั้งตัว ความเจ็บแสบได้บังเกิดขึ้นกับเธออีกครั้ง
“โอ๊ย! ซี้ด!” นั่นไม่ใช่เสียงครางในการสุขสมของรสสวาท แต่มันคือเสียงซี๊ดของปากเมื่อผิวกายที่มีแผลโดนน้ำกระทบราดมาใส่ ไม่ต่างอะไรกับโดนเกลือทา เธอค่อยๆ ฟอกสบู่ไปทั่วกาย ข้อมือข้อเท้าที่บวมขึ้นอย่างน่ากลัว จนเขมิกาแทบจะยกแขนไม่ขึ้น ขาที่เดินปนลากราวกับว่ากำลังใส่โซ่ตรวน เมื่อช่วงล่างที่มันแสบและเจ็บแปล๊บไปถึงท้องน้อย ไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะหาย เขมิกาพยายามฝืนตัวเอง เพื่อทำความสะอาดจากราคีคาวที่ติดตัวมา ก่อนจะค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดตัวซับที่ผิวกายอย่างเบามือแล้วสวมใส่เสื้อผ้าที่เตรียมเข้ามา เธอแทบจะคลานออกมาจากห้องน้ำ เขมิกาค่อยๆ นั่งลงบนเตียงอย่างช้าๆ เพื่อให้ก้นสัมผัสกับพื้นเตียงเบาที่สุด ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเช็คที่หัวเตียง โดยมีกระดาษโน้ตเล็กๆ แนบไว้ด้วย
#คุณกลับไปได้เลย ผมมีธุระด่วนต้องบินไปต่างประเทศ เช็คผมเขียนให้คุณเต็มจำนวน คราวหน้าจะเรียกใช้บริการใหม่# จากเดวิด
พออ่านโน้ตจบเขมิกาถึงกับกุมมือแนบชิดกับอกอย่างโล่งใจ คราวหน้าคงไม่มีอีกแล้ว ถ้าต้องมาเจอกับความป่าเถื่อนแบบนี้ เขมิการู้สึกไม่ไหวร่างกายของเธออ่อนล้าและบอบช้ำเกินกว่าจะก้าวออกไปจากห้องนี้ได้ ที่สำคัญมาเรียมจะเห็นเธอในสภาพแบบนี้ไม่ได้ เธอตัดสินใจยกโทรศัพท์โทรหาลัลนาทันที
"ฮัลโหล ลัลนาช่วยฉันด้วยมาช่วยเขมที!”
"เกิดอะไรขึ้น แกเป็นอะไรเขม" เมท่อลัลนาเอ่ยถามออกมา เขมมิกาจึงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับเพื่อนรักฟัง ลัลนาฟังแล้วรู้สึกโกรธเดวิดมาก ที่ทำกับเพื่อนรักของเธอแบบนี้
"ช่วยพาเขมไปหาหมอที!”
"ได้เดี๋ยวนาจะรีบไป มันจะเอาแกให้ตายจมเตียงเลยหรือไง ไอ้บ้าเอ๊ยผู้ชายเฮงซวย!”
ลัลนาพูดออกไปอย่างหัวเสีย การสนทนาของคนทั้งคู่ มาเรียมได้ยินทั้งหมด เมื่อลัลนากำลังทำบัญชีอยู่ที่ห้องแล้วเธอก็เปิดลำโพงพูด หญิงสาวลืมไปว่ามาเรียมมานอนกับเธอที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน ลัลนาจึงรีบเดินไปแง้มประตูดู เมื่อเห็นมาเรียมยังคงนอนห่มผ้าหลับตาอยู่ เธอรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที และคิดว่ามาเรียมคงไม่ได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับเขมิกา
ลัลนาพาเขมิกาไปส่งโรงพยาบาล เพราะเธอต้องแอดมิทหลายวันกว่าจะหาย จากสภาพแล้วก็น่าจะเกือบสองสัปดาห์เลยทีเดียว
"ไอ้เลวเดวิดสภาพของเขม นานึกว่าซากศพคุ้มกับเงินล้านไหมเนี่ย”
"เขมก็เพิ่งรู้คนที่พาขึ้นสวรรค์และพาลงนรกคือผู้ชายอย่างเดวิด โคตรเลวเลยจริงๆ”
"รู้สึกดีขึ้นแล้วสิพูดเล่นได้เนี่ย”
“เขมอยากรู้จังมีอะไรที่แย่กว่านี้ ที่เขมยังไม่ได้เจออีกไหม รีบๆ เข้ามาจะได้รับมือทีเดียว”
"เขมนาขอโทษ นาไม่คิดว่าเดวิดจะเสพติดความรุนแรงแบบนี้”
"อย่าคิดมากได้มาตั้งล้าน เชียวนะ” คำพูดรอยยิ้มของเขมิกาที่แสดงออกมา เพื่อให้เพื่อนรักสบายใจเธอไม่ได้โทษลัลนาเลยสักนิด ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าแขกจะมีนิสัยอย่างไร เพราะเขาเปย์หนักพวกเธอก็ยอมตกลงแล้วกับเส้นทางที่เลือกเดิน
ค่ำคืนราตรีที่มืดมนมาเรียมนั่งอยู่หลังร้าน เพราะที่นี่ผู้คนไม่พลุกพล่านนานๆ ทีจะมีคนเดินออกมาสูบบุหรี่เท่านั้นเอง แต่เจ้าถิ่นอย่างมาเรียมก็ไม่ได้กลัว เพราะเธอมีฝีมือพอที่จะล้มผู้ชายที่คิดร้ายกับเธอได้ดีพอตัว ติณณ์ที่เข้ามาในผับแห่งนี้นานแล้ว เขาสังเกตเห็นเธอเดินไปหลังร้านไม่กลับออกมาสักที ชายหนุ่มจึงอยากรู้ว่าเธอไปทำอะไรที่นั่นเป็นนานสองนาน
"กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะเดี๋ยวมา!”
"แอนไปด้วยไหมคะ เผื่อคุณอยากปลดปล่อย” แอนคือคู่ขาคนใหม่ของติณณ์ เธอไม่พูดเปล่าแต่ใช้มือลูบไล้ลงไปที่แผงอกของเขา ก่อนจะเลื่อนลงต่ำมาที่เป้ากางเกง ติณณ์จับมือเธอออกก่อนจะส่งสายตาที่ไม่พอใจใส่แล้วเดินออกมาในทันที
มาเรียมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เมื่อเธอรู้ว่าผู้เป็นมารดาเพิ่งเผชิญกับชะตากรรมอะไรมา มาเรียมโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุทำให้เขมิกาต้องมาเจ็บตัวและที่หนักไปกว่านั้น ไม่กี่วันมานี้เธอแอบได้ยินแม่เขมิกาคุยกับแม่ลัลนาถึงบิดาของเธอ เธอคือลูกที่พ่อสั่งให้ฆ่าตั้งแต่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ ทำให้หญิงสาวคิดว่าตัวเองเกิดมาเป็นภาระของมารดา เธอเป็นแค่ตัวกาลกิณี เมื่ออยู่ที่ไหนกับใครทุกคนก็เดือดร้อนไปหมด
“มาเรียมแกเกิดมาทำไม! เกิดมาเป็นภาระให้กับแม่ทำไม ฮึก ฮื้อ!” เธอพูดออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงร้องไห้กับเข่าที่ตั้งชันขึ้น ลำแขนสองข้างโอบเข่าเอาไว้แน่น เวลานี้เธอเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้ง ซึ่งความจริงแล้วเธอโดดเดี่ยวทุกครั้ง มีเพียงน้ำตาที่คอยเป็นเพื่อน เมื่อความคับข้องหมองใจที่มีไม่สามารถระบายกับใครได้
“ยัยมนุษย์น้ำแข็งร้องไห้ เกิดอะไรขึ้น” ติณณ์เดินเข้าไปใกล้เขาไม่คิดว่าคนเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเธอจะมานั่งร้องไห้คนเดียวแบบนี้ ติณณ์ค่อยๆ นั่งลงข้างๆ มาเรียม ขณะที่เธอยังคงก้มหน้าสะอื้นเบาๆ กับเข่าที่ตั้งชันขึ้น เมื่อสัญชาตญาณมันบอกว่ามีคนมานั่งอยู่ข้างๆ มาเรียมรีบเงยหน้าขึ้น พร้อมกับเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แล้วขยับกายห่างจากคนข้างๆ
"เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้มานั่งร้องไห้คนเดียวที่นี่” คำถามของติณณ์ที่แฝงไปด้วยความห่วงใยมาด้วยนั้น ไม่ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับมาเรียมเลยแม้แต่น้อย
"ยุ่ง!” คำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความที่แปลว่าเสือกนั้น สำหรับติณณ์มันช่างน่าน้อยใจนักกับความห่วงใยและจริงใจที่เขามีให้กับเธอ
“หึ! หึ!...” เสียงติณณ์หัวเราะในลำคอ สมแล้วกับฉายายัยมนุษย์น้ำแข็งที่เขาตั้งให้เธอ
"ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งเย็นชาตลอดเวลาก็ได้ บางครั้งน้ำตามันก็เป็นเครื่องระบายอย่างหนึ่งน้ำตาไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอเสมอไป บางครั้งน้ำตาของคนเราก็เกิดจากความดีใจปีติยินดี บางครั้งน้ำตาไหลเกิดจากการเสียสละ ได้ทำเพื่อคนอื่น แต่บางคนน้ำตาไหลเพราะกำลังเสียใจกับอะไรบางอย่าง เห็นไหมว่าน้ำตาไม่ใช่สัญลักษณ์ของการเสียใจหรืออ่อนแอเสมอไป" พูดจบติณณ์ก็คว้าร่างของมาเรียมเข้ามาซบกับอกกว้าง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ที่เขารู้คือเธอกำลังอ่อนแอและต้องการกำลังใจอย่างมาก การที่เธอมาร้องไห้ในที่เงียบๆ แบบนี้ มันแสดงออกว่าเธอไม่รู้จะระบายกับใครดี
"ร้องไห้ออกมาสิ ฉันจะเป็นเพื่อนเธอเอง มีอะไรก็ระบายออกมา ฉันเองก็เคยร้องไห้ไม่เห็นต้องอายเลย”มาเรียมจะผละออกจากอ้อมกอดนี้ก็ได้ แต่เธอกลับซบหน้าลงไปพร้อมกับสะอื้นอออกมา จุดอ่อนของมาเรียมเธอมักจะพ่ายแพ้ให้กับคนปลอบโยน เหมือนอย่างที่เคยยอมเป็นเพื่อนกับชยันต์มาแล้วในวัยเด็ก ภายใต้ความเข้มแข็งกับปมในใจ มาเรียมไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันนี้ติณณ์จะมานั่งข้างๆ คอยปลอบเธอในยามทุกข์ใจเช่นนี้ ชายหนุ่มค่อยๆ ลูบผมของเธอไปมาเบาๆ เพื่อปลอบโยนให้เธอคลายความทุกข์นั้นลงบ้าง น้ำตาที่เปื้อนเสื้อทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของเธอ
เมื่อเธอรู้สึกดีขึ้นมาเรียมรีบผละออกจากอกกว้างทันที เธอไม่ควรเผยความอ่อนแอให้เขาเห็น ในเมื่อเธอกับเขาไม่ได้สนิทกันมาก่อน มาเรียมรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มสองข้าง เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นแล้วไปฟ้องมารดาของเธอ
"คุณเข้าไปข้างในได้แล้ว ฉันก็จะไปทำงานเหมือนกัน" เป็นครั้งแรกที่ติณณ์ได้ฟังประโยคยาวๆ จากเธอเพราะตั้งแต่รู้จักเธอก็มักจะพูดคำว่าเปล่ากับค่ะเพียงเท่านั้น
"บ้านเธออยู่ที่ไหนทำไมถึงทำงานที่นี่” มาเรียมเหลือบตามองมาที่เขา แต่ไม่มีคำตอบใดๆ เปล่งออกมาจากปากเธอแม้แต่ประโยคเดียว หญิงสาวไม่ได้อายที่จะบอกว่าที่นี่คือบ้านของเธอ แต่มาเรียมไม่อยากทำความคุ้นเคยกับเขามากไปกว่านี้