ครืนนน ~
สมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะเกิดแรงสั่นครืนขึ้นเบาๆ พร้อมกับหน้าจอที่สว่างขึ้นมา เรียกความสนใจจากคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่เงียบๆ ให้หันไปมอง แต่พอเห็นว่าเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากแอ็กเคานต์ที่น่ารำคาญ นิกซ์ ก็เอื้อมมือไปจับสมาร์ตโฟนของตัวเองคว่ำหน้าจอลงบนโต๊ะแล้วนั่งทำงานต่อโดยไม่สนใจแม้จะเปิดอ่านข้อความนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของเขาอยู่แล้ว
“รู้มั้ยว่านิวเยียร์มาถึงแล้ว” น้ำเสียงเรียบนิ่งของเทมส์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้องทำงาน ประโยคที่เอ่ยขึ้นมานั้นหันไปทางลูกชายคนโตที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เมื่อได้รับรายงานจากภรรยาว่าตอนนี้ลูกสาวเพื่อนและเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตัวเองเดินทางมาถึงแล้ว
นิกซ์เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพ่อก่อนจะตอบกลับสั้นๆ
“ครับ” เขารู้แล้วรู้ทุกอย่างว่าเด็กน่ารำคาญจะมาหา เพราะเจ้าตัวมักจะรายงานเขาทุกก้าวเดินเลยก็ว่าได้
“ไม่ได้บอกน้องก่อนเหรอว่าไม่อยู่”
“ป่านนี้แม่คงบอกไปแล้ว”
“ไม่รู้เหรอว่าน้องบินมาคนเดียว”
“…” ประโยคเมื่อกี้จากคนเป็นพ่อทำให้มือที่กำลังจะจรดปลายปากกาลงบนเอกสารตรงหน้าถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นมองไปที่คนพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
เด็กน่ารำคาญบินมาคนเดียวงั้นเหรอ?
“ทีหลังถ้าทำในสิ่งที่พูดไม่ได้อย่าไปพูด” ได้ทีเทมส์ก็ถือโอกาสสั่งสอนลูกชายจอมเย็นชา คนที่ผ่านโลกมาก่อนอย่างเขาจนอายุขนาดนี้ ย่อมรู้ดีกว่าการที่คนคนหนึ่งผิดคำพูดนั้นมันเป็นอย่างไร และส่งผลต่ออีกคนที่รออย่างไร
“…” นิกซ์ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป ยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉยอย่างปกติของเขา
ไม่รู้ว่าเด็กน่ารำคาญจะฟ้องอะไรกับแม่เขาบ้าง แต่ถ้าพ่อเขารู้เรื่องที่เขาผิดคำพูดก็แสดงว่าเด็กคนนั้นฟ้องไปหมดทุกเรื่องแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขายังติดใจในคำพูดก่อนหน้านี้ของพ่อเขาที่บอกว่านิวเยียร์บินมาคนเดียว…
ข้อนี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเธอบินมาคนเดียว เพราะเจ้าตัวไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้ ปกติก็บินมาพร้อมพ่อกับแม่ไม่คิดว่ามาปีนี้จะบินมาคนเดียวแบบนี้ หรือนี่เป็นเหตุผลที่เธอรบเร้าอยากให้เขาไปรอรับที่สนามบิน และด้วยความรำคาญเขาเลยตอบรับไปส่งๆ เท่านั้น
นิกซ์วางปากกาในมือลงแล้วหยิบสมาร์ตโฟนที่วางคว่ำหน้าจอไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นดู ปลายนิ้วเรียวยาวแตะไปที่ข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาจากแอ็กเคานต์ที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า เด็กน่ารำคาญ
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้เห็นข้อความประหลาด? ที่ถูกส่งมา
เด็กน่ารำคาญ: น้องนิวรออยู่ที่บ้านใหญ่นะคะ เสร็จงานแล้วนิกซ์มารับน้อ…อ่ก้ๆไก้รคำพปจตจำดทกาชคะ?ทใ
เขาไม่แน่ใจว่าข้อความประหลาดช่วงท้ายพวกนั้นคืออะไร อ่านรู้เรื่องแค่ช่วงแรกเท่านั้น แถมยังไม่ได้มีอะไรส่งมาอีกนอกจากข้อความนี้ มันค่อนข้างผิดปกติจากนิสัยจุ้นจ้านของเธอ
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า…
นิวเยียร์ถูกปลุกให้ตื่นในช่วงเย็นก่อนถึงเวลาอาหารเย็นประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมตื่น ความตั้งใจที่ว่านอนพักผ่อนก่อนแล้วตื่นขึ้นมาทานมื้อเย็นทีเดียวนั้นต้องถูกล้มเลิกไป เพราะความง่วงซึมที่มีมากโขลทำให้เธอเลือกที่จะงัวเงียขึ้นมาบอกปฏิเสธอาหารเย็นไปอีกมื้อ เพื่อจะได้นอนต่อให้หายจากความง่วงนี้
“อื้อ…” เสียงครางในลำคอดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมกับร่างกายที่พลิกจากการนอนตะแคงเป็นนอนหงาย ลืมตาขึ้นช้าๆ ก็พบกับความมืดสลัวที่เข้าปกคลุม ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่และเธอหลับไปนานแค่ไหนแล้ว
มือบางครวนหาสมาร์ตโฟนตัวเองไปตามที่นอนอย่างสะเปะสะปะเพื่อจะดูเวลาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่พอเห็นเวลาและวันที่บนหน้าจอก็ถึงกับตาสว่างดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!
“นี่หลับหรือซ้อมตายเนี่ย!” คนตัวเล็กบ่นกับตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อที่เห็นเวลาตอนนี้คือตีห้าของอีกวันแล้ว
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับยาวขนาดนี้ได้ยังไง ตั้งแต่เที่ยงวันของเมื่อวานจนตอนนี้เป็นเวลากว่า 17 ชั่วโมงเห็นจะได้ นี่เธอไม่เคยนอนหลับกินเวลายาวขนาดนี้มาก่อนเลย
เมื่อตั้งสติได้ก็รีบปลดล็อกหน้าจอสมาร์ตโฟน เช็กดูว่ามีอะไรผิดปกติในระหว่างที่เธอหลับไปหรือเปล่า และใช่! มันมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ เมื่อข้อความที่เธอตั้งใจจะส่งหาว่าที่คู่หมั้นจอมเย็นชาของตัวเองนั้นมันยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ข้อความก็ถูกส่งไปแล้ว ส่งไปพร้อมกับข้อความประหลาดๆ ต่อท้ายไปอีก แถมสถานะยังขึ้นว่าอีกคนเปิดอ่านแล้วด้วย แต่ทำไมเขาถึงไม่คิดจะถามอะไรกลับมาบ้างเลยละ ทั้งที่ข้อความพวกนั้นอ่านรู้เรื่องแค่ช่วงแรกเท่านั้น
“จะใจร้ายเกินไปแล้วนะ” ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่บ่นกับตัวเองอย่างตัดพ้อถึงความใจร้ายที่อีกคนมี
ความใจร้ายของเขาที่มีต่อเธอมันเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ
หลังจากที่นั่งตัดพ้อเสร็จเธอก็ส่งข้อความอธิบายข้อความประหลาดเหล่านั้นไปหาเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะอยากรู้ไหม แต่ด้วยนิสัยของเธอ เธอจะต้องบอกและรายงานเขาตลอดอยู่แล้ว ทำทุกอย่างเสร็จก็ลุกไปเปิดไฟและเข้าไปอาบน้ำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่น จะนอนต่อก็คงนอนไม่หลับแล้ว อีกอย่างตอนนี้ท้องเธอก็ร้องประท้วงอย่างหนักจนเกิดเสียงดังโครกครากอย่างน่าเวทนา
นิวเยียร์เดินลงมาจากห้องนอนในช่วงเวลาเกือบหกโมงเช้า ภายในบ้านหลังใหญ่ที่เธอเรียกมันว่าคฤหาสน์นั้นยังคงเงียบกริบ อาจจะเพราะยังเช้ามากและเจ้าของบ้านก็ไม่อยู่กันหลายคน ทำให้ภายในบ้านเลยยังคงเงียบกริบ แต่ก็มีเสียงพูดคุยกันดังแว่วมาจากทางห้องครัว ก็คงจะเป็นเสียงของแม่บ้านที่ตื่นเช้ามาทำงานบ้านและเตรียมอาหารเช้า
“คุณหนูนิวเยียร์! มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ แล้วนี่ทำไมตื่นเช้าจังเลยละคะ” เสียงของแม่บ้านที่กำลังนั่งเช็ดแก้วอยู่ทักขึ้นด้วยความตกใจที่เห็นนิวเยียร์ยืนแอบส่องอยู่หน้าประตูห้องครัว
คนถูกทักรีบเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับรอยยิ้มแหย หากเธอบอกว่าหิวมากขออะไรกินรองท้องก่อนมันจะดูไม่ดีหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้เหมือนจะยังไม่ได้เตรียมมื้อเช้าเลย
“คือว่า…นิวหิวมากเลยค่ะ มีอะไรที่พอรองท้องได้บ้างมั้ยคะ” แต่สุดท้ายเธอก็ตอบไปตามตรงด้วยรอยยิ้มแหยๆ เพราะความหิวมีมากเกินจะทนไหวแล้ว
“ตายจริง! มีค่ะๆๆ มีนมมีขนมปังพร้อมเลย หรือคุณหนูจะเอาข้าวต้มมั้ยคะ” แม่บ้านคนเดิมร้องขึ้นด้วยความตกใจ รีบวางผ้าในมือลงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นสำหรับของหวานที่แยกคนละตู้กับของคาวอย่างชัดเจน หยิบนมกับขนมปังออกมาเตรียมอุ่นให้กับแขกคนสำคัญ
“มีข้าวต้มด้วยเหรอคะ” นิวเยียร์ถามด้วยแววตาเป็นประกาย ไม่คิดว่าเช้าขนาดนี้แม่บ้านจะทำอาหารเสร็จแล้ว เพราะเธอยังไม่ได้กลิ่นอาหารเลย
“มีค่ะ คุณเฌอให้ป้าเก็บใส่ตู้เย็นไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เผื่อคุณหนูนิวตื่นกลางดึกแล้วหิว เดี๋ยวป้าอุ่นให้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ นิวนั่งรอตรงนี้นะคะ” แต่พอได้ยินแม่บ้านอธิบายก็หายสงสัยทันที ก็ว่าทำไมเธอถึงยังไม่ได้กลิ่นอาหารเลย
“ได้ค่ะ งั้นรองท้องด้วยนมอุ่นๆ กับขนมปังก่อนนะคะ รอป้าอุ่นข้าวต้มให้สักครู่ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ^^” คนตัวเล็กเดินไปนั่งรอที่โต๊ะสำหรับจัดเตรียมอาหารที่ตั้งอยู่ในครัว ก่อนที่แม่บ้านจะเอานมกับขนมปังมาให้เธอรองท้องระหว่างรอข้าวต้ม
จากที่คิดว่าแค่รองท้องไปก่อน ไปๆ มาๆ นมแก้วใหญ่กับขนมปังอีกสองแผ่นพร้อมด้วยข้าวต้มอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ นิวเยียร์สามารถทานหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที เล่นเอาแม่บ้านที่กำลังเตรียมอาหารเช้ากันอยู่ต้องรีบเร่งลงมือทำให้เสร็จให้เร็วกว่าปกติ เพราะดูท่าแล้วแขกคนสำคัญคนนี้คงจะหิวเอามากๆ ขืนมัวชักช้าอาจจะโดนเจ้านายตำหนิที่ปล่อยให้แขกต้องทนหิว แต่พอจะเสิร์ฟเมนูที่ทำเสร็จก่อนให้นิวเยียร์ก็รีบปฏิเสธอย่างเร็ว เพราะแค่นี้เธอก็อิ่มจนแทบจะลุกเดินไม่ได้อยู่แล้ว
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จนิวเยียร์ก็เดินออกมาจากห้องครัว บรรยากาศก็เริ่มสว่างขึ้นตามเวลา แต่ว่าภายในบ้านหลังใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบจนรู้สึกว่าบรรยากาศมันดูวังเวงจนเกินไป ไม่รู้ว่าเธอต้องอยู่รอว่าที่คู่หมั้นของตัวเองอีกกี่วันถึงจะได้ไปอยู่ที่เพนต์เฮาส์ ยิ่งคาดเดาอะไรจากเขาไม่เคยได้อยู่ด้วย
“เฮ้ออออ” คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ อยากเจอหน้าใจจะขาดก็ยังไม่ได้เจอ
หนึ่งปีเต็มๆ แล้วที่เธอไม่ได้เห็นหน้าเขา ถึงจะส่งข้อความหาโทรหาเขาอยู่ทุกวันก็ไม่เคยได้คุยเกินสามประโยค พอขอให้เปิดกล้องคุยกันแบบเห็นหน้าก็ถูกวางสายใส่ทันที คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว