เวลาผ่านไปนานพักใหญ่ ถานเทียนสวี่เงยหน้ามองตะวันที่เคลื่อนมาอยู่ตรงศีรษะแล้วเดินไปล้างเนื้อล้างตัวที่ริมลำธาร จากนั้นเดินกลับมาหาเฉ่าเหมย เอ่ยกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไปล้างมือแล้วมากินข้าวกัน”
หวงสือหลิวมองถานเทียนสวี่จูงมือเด็กน้อยไปที่ลำธาร เขาจัดการล้างหน้าล้างตาและเช็ดคราบสกปรกออกจากมือเล็กทั้งสองอย่างใส่ใจ ดูแล้วถานเทียนสวี่ช่างเป็นคนละเมียดละไมและรักความสะอาดยิ่งนัก
สองพ่อลูกเดินกลับมานั่งพร้อมหยิบของกินออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ มีผักต้ม หมูทอดและแผ่นแป้งอีกสองแผ่น
ถานเทียนสวี่ยื่นแผ่นแป้งให้เฉ่าเหมยรับไป ปรายตามองหวงสือหลิว “ทุกวันข้าก็เตรียมของกินไว้ให้เจ้าที่เรือนอยู่แล้ว เหตุใดวันนี้จึงออกมา”
หวงสือหลิวปั้นหน้ายิ้ม “ข้าคิดถึงเจ้าไง”
ถานเทียนสวี่จ้องหญิงสาวด้วยแววตาตื่นตะลึง คิ้วเข้มทั้งสองขมวดเข้าหากันแน่น “เจ้าว่าไงนะ”
“คิดถึง” หวงสือหลิวตอบหน้าตาย “อยู่ที่เรือนคนเดียวเหงาจะตาย”
คิ้วของบุรุษขมวดแน่นยิ่งขึ้นไปอีก “เหงา? เจ้าก็มีที่ไปอยู่เสมอเวลาเหงาไม่ใช่หรือ”
หวงสือหลิวคนเก่ามิได้เป็นกุลสตรีดั่งผ้าพับไว้ นางเป็นสตรีเจ้าสำราญ ชอบสิงอยู่ที่หอเชยชมบุรุษและใช้จ่ายมือเติบอยู่เสมอ เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้อย่างยากลำบากของถานเทียนสวี่จึงมักถูกนำไปผลาญเล่นกับทั้งสุราและการพนันในโรงบ่อน
“หรือเพราะเงินหมด” ถานเทียนสวี่หยิบเอาถุงเงินที่ห้อยอยู่ข้างเอวขึ้นมาแล้วโยนให้หวงสือหลิว “ได้เงินแล้ว จะไปไหนก็เชิญ”
“แต่ข้าไม่ได้ต้องการเงินนะ”
“หึ! สำหรับข้าคงมีความหมายกับเจ้าแค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่จะโทษเจ้าก็ไม่ได้เพราะข้าเป็นคนสัญญาเองว่าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี”
หากเป็นแรกเริ่มก่อนแต่งงาน ถ้อยคำนี้อาจฟังดูน่าประทับใจ แต่ในตอนนี้มันกลับฟังดูขมขื่นและน่าหดหู่อย่างไรชอบกล
“ถานเทียนสวี่...คือข้า”
“รีบไปซะ ข้าเหนื่อยทะเลาะกับเจ้าแล้ว”
เด็กน้อยเฉ่าเหมยเงยหน้ามองบิดาก่อนตีมือลงที่ตักของเขา “ท่านพ่อไม่!”
ถานเทียนสวี่เลิกคิ้วมองบุตรสาว
“ท่านแม่ไม่ไป!” เฉ่าเหมยทิ้งตัวกอดเอวหวงสือหลิวไว้แน่น “ท่านแม่อยู่ที่นี่”
เด็กน้อยส่งเสียงอ้อนวอน แววตากลมราวลูกแมวที่กำลังอ้อนขอขนมก็มิปาน
“เฉ่าเหมยอย่างอแง รีบกินข้าวได้แล้วนะ” ถานเทียนสวี่เคี้ยวแผ่นแป้งในมืออย่างไม่สนใจ
เห็นทีความสัมพันธ์ระหว่างถานเทียนสวี่กับหวงสือหลิวจะเข้าขั้นวิกฤตแล้วกระมัง ยิ่งคิดหวงสือหลิวยิ่งหนักใจ นางไม่อยากถูกเกลียดไปมากกว่านี้ อีกทั้งไม่อยากจบชีวิตดั่งเนื้อเรื่องในนิยายด้วย
“เฉ่าเหมย... งั้นไว้เจอกันที่บ้านนะ” หวงสือหลิวเอ่ยเสียงอ่อน
ถานเทียนสวี่เค้นเสียงหึ!ในลำคอ คิดไว้อยู่แล้วว่าสันดานคนมันฝังร่างลึกเกินจะแก้ นางเป็นสตรีที่เห็นแก่ตัว คนทั้งหมู่บ้านต่างรู้และเตือนให้เขาตัดใจจากนางมานานแล้ว แต่ถานเทียนสวี่ในตอนนั้นโง่งมเกินไป เขาคิดว่าความรักที่เขามีจะเปลี่ยนแปลงหวงสือหลิวได้
“ท่านแม่! ไม่ท่านแม่”
ถานเทียนสวี่ลูบศีรษะเฉ่าเหมยให้หยุดโวยวาย นัยน์ตาล้ำลึกยิ่งดำทะมึนเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้น หลังทานอาหารที่มีอันน้อยนิดหมดก็กล่อมให้เฉ่าเหมยนอนกลางวันแล้วจึงลงไปดำนาต่อ
ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำแล้ว ถานเทียนสวี่จึงเริ่มเก็บของและอุ้มพาเฉ่าเหมยกลับบ้าน ระหว่างทางได้แวะเก็บผักป่ามากำมือหนึ่ง คิดว่าจะเอาไปผัดกับเนื้อหมูที่ยังมีเหลืออยู่ในครัว
ทว่าเมื่อใกล้จะถึง กลับเห็นควันไฟลอยฟุ้งออกมาเหนือหลังคาเรือน ในใจชายหนุ่มพลันตื่นตระหนกคิดว่าเรือนตนเกิดไฟไหม้
ถานเทียนสวี่เร่งฝีเท้าจนเกือบทำเฉ่าเหมยตกจากอ้อมแขน แต่แล้วเมื่อวิ่งมาถึงลานเรือนกลับต้องแปลกใจเมื่อได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากตัวบ้าน
“มาแล้วหรือ” เสียงหวานเอ่ยทัก “รีบมาล้างมือแล้วมากินข้าวกันเถอะ ข้าทำอาหารไว้เยอะแยะเลย”
เฉ่าเหมยดิ้นให้ถานเทียนสวี่ปล่อยตนลง ก่อนจะเดินเตาะแตะมาหาหวงสือหลิว ดวงหน้ากลมระบายยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ได้เจอมารดา
“เฉ่าเหมยน้อยหิวหรือยังเอ่ย” หวงสือหลิววางอ่างเล็กในมือลงบนพื้นแล้วจึงเลียนแบบถานเทียนสวี่ ช่วยเฉ่าเหมยล้างมือจนสะอาด จากนั้นจูงพาไปที่โต๊ะอาหาร
บนโต๊ะในห้องโถงกลางมีข้าวสวยร้อนๆ ที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ๆ หมูทอดกรอบ ไก่ต้มสับ หนอไม้ต้มและซุปไข่น้ำ
ถานเทียนสวี่ที่ยกอ่างไปเทน้ำทิ้งที่ด้านนอกรู้สึกตงิดใจอย่างไรชอบกล ปกติอย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แค่กลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกยังทำได้ยาก
“มองอะไร รีบมานั่งเร็วเข้า” หวงสือหลิวกวักมือเรียกถานเทียนสวี่
“ท่านแม่ น่ากินๆ อยากกินนั่น นั่น นั่น”
เฉ่าเหมยกระตือรือร้นมากกว่าปกติ อาจเพราะแต่ก่อนไม่เคยได้ร่วมโต๊ะกันพร้อมหน้า หวงสือหลิวแทบจะไม่อุ้มหรือเอาใจเด็กน้อยเช่นนี้มาก่อน วันนี้มีโอกาสได้เล่นและกินข้าวด้วยกัน ทำเฉ่าเหมยรู้สึกดีใจอย่างมาก
“จ้าๆ รอก่อนนะ ระวังร้อน ค่อยๆ กิน” หวงสือหลิวตักซุปไข่น้ำให้เฉ่าเหมยเสร็จก็หันมาตักให้ถานเทียนสวี่บ้าง
“ข้าตักเองได้”
แต่หวงสือหลิวก็ยังดึงดันจะตักให้เขาอยู่ดี นางวางถ้วยซุปลงตรงหน้าพลางส่งยิ้มให้
ถานเทียนสวี่ยังคงมองหวงสือหลิวอย่างไม่ไว้ใจ ดวงตาของเขายังเย็นชา ใบหน้าก็ไร้อารมณ์ยิ่ง ทำหวงสือหลิวรู้สึกขนลุกขึ้นมาแต่ก็ยังคงทำใจกล้าพูดหยอกล้อกับเฉ่าเหมยต่อไปโดยไม่สนใจสายตาจับผิดของชายหนุ่ม
หลังกินอิ่มแล้ว หวงสือหลิวขอให้ถานเทียนสวี่เก็บถ้วยชามไปล้างให้ เพราะตนอยากที่จะเปลี่ยนชุดให้เฉ่าเหมยและพาเด็กน้อยเข้านอนเอง
หวงสือหลิวคนเดิมไม่ได้ใช้เวลากับบุตรสาวมากนัก แรกเริ่มก็ไม่ต้องการจะแต่งงาน ยิ่งเรื่องมีลูกยิ่งไม่อยากมีไปกันใหญ่ นางจึงมักจะเย็นชาและเกียจคร้านจะเลี้ยงดู
“เฉ่าเหมยอยากฟังนิทานไหม”
เฉ่าเหมยตาเป็นประกายพยักหน้ารัวเร็ว
‘เฮอ...ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหวงสือหลิวคนเก่าใจแข็งกับเด็กน้อยหน้าตาน่ารักราวตุ๊กตาเช่นนี้ได้อย่างไร’
ถานเทียนสวี่เดินมาแอบมองหวงสือหลิวที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียง ในอ้อมแขนนางมีเฉ่าเหมยนอนเอกเขนกฟังนิทานของหญิงสาวอย่างตั้งใจ
‘หรือนางเกิดล้มหัวกระแทกพื้นจนเพี้ยนหรือไร’ ถานเทียนสวี่ลอบคิดก่อนเดินมาล้างถ้วยชามต่อ เสร็จแล้วจึงเดินออกมาที่ลานด้านนอก ตรวจดูเล้าไก่ ปิดประตูห้องเก็บฝืน และล็อกประตูหน้าเรือน
กระทั่งเดินกลับเข้ามาในเรือน ชายหนุ่มเป็นต้องผงะเมื่อพบหวงสือหลิวนั่งยิ้มแป้นรอเขาอยู่ “ข้าเตรียมน้ำไว้ให้อาบแล้วนะ”