“อาหารเย็นวันนี้มันแปลกไปมั้ย” หัสวีร์ก้มมองตามคำพูดของธารา สายตากวาดมองในกระบะใส่อาหารในตู้กระจก มันบังเอิญเกินไปมั้ยที่เมนูทั้งหมดเป็นของที่เขาเคยชอบกินทั้งนั้น ที่ต้องบอกว่าเคยชอบเพราะเมนูเหล่านี้เป็นเมนูที่เขากินยามอยู่ที่บ้าน แต่มันก็ผ่านมาสองปีแล้วเขาไม่เคยเอ่ยบอกใคร คนที่รู้ก็มีเพียงคุณแม่ และตอนนี้เขาก็ไม่ชอบมันแล้ว เขาเปลี่ยนไปแล้วเขาชื่นชอบทุกเมนูอาหารของคุณแม่ทับทิมเสียแล้ว
“หัส นั่นจะไปไหน”
“ฉันไม่หิว” จากที่เดินย่างก้าวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นวิ่ง ตึกตึก ร่างสูงออกวิ่งเร็วขึ้น...เร็วขึ้น แค่อยากไปให้ไกล ไกลจากสิ่งที่เขาพยายามหนีมา สองปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปหาคุณแม่ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อเขาก้าวออกจากบ้านหลังนั้น แม่จะต้องอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง หลายครั้งที่เขาจะกลับไปเยี่ยมแม่ แต่เพียงคำพูดไม่กี่คำนั้น [ไม่มีที่ไหนสบายเท่าบ้านเราหรอกจ๊ะ...เมื่อลูกกลับมาเดี๋ยวแม่จะคุยกับคุณพ่อให้จัดการส่งลูกไปเรียนต่อเมืองนอกทันที]
[เกิดเป็นคนก็ต้องเหนื่อย ถ้างั้นตอนนี้ก็กินเยอะๆ เดี๋ยวก็หายเหนื่อยแล้ว] คำพูดของคุณแม่ทับทิมที่แสนจะธรรมดาแต่เขาอยากได้แม่ที่เชื่อในตัวเขาเหมือนแม่ทับทิมที่เชื่อในตัวธาราและคอยให้กำลังใจและสนับสนุนอยู่ข้างหลังอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดแบบนี้ต่างหาก
เฮ่อ เฮ่อ เสียงหอบหายใจจากร่างที่นอนแผ่กลางสนาม โดยไม่รู้ตัวว่าได้วิ่งไปกี่รอบแล้ว และนานแค่ไหนแล้ว
พรึ่บ! และจู่ๆ ข้างกายก็มีเสียงบางอย่าง หัสวีร์หันไปมอง เป็นธาราที่ยื่นส่งขวดน้ำให้ “สองปีมานี้นายไม่เคยถามอะไรฉันเลย” หัสวีร์เอ่ยขึ้นในที่สุดเมื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าลงได้บ้าง
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนาย และที่เราเป็นเพื่อนกันมันไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวอะไรพวกนั้นไม่ใช่เหรอ...แต่ถ้านายต้องการให้เพื่อนคนนี้ช่วยแบ่งเบาความกลุ้มอกกลุ้มใจที่สะสมมานาน ฉันก็ยินดี”
วันนี้คงเป็นวันที่หัสวีร์รู้สึกอ่อนแอที่สุดก็ว่าได้ เขาที่คิดว่าหนีพ้นแล้วแต่แท้จริงแล้วเขายังไม่ได้ไปไหนไกลเลย “ธารา ที่ฉันตัดสินใจเดินทางดำเนินชีวิตสายทางนี้ไม่ใช่เพราะว่าฉันมีอุดมการณ์แก่กล้าอย่างนาย หรือรักในอาชีพรักในประเทศชาติ ฉันก็แค่อยากหนี ฉันมันเป็นเพียงคนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น...ตั้งแต่ตอนนั้นซึ่งฉันจำไม่ได้แต่ตอนนั้นฉันเด็กมาก การที่ได้เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันซึ่งทั้งๆที่ฉันไม่ใช่เด็กคนเดียวในโลกที่เจอสถานการณ์แบบนี้ แต่...แต่ว่า...ทุกคำที่ได้ยินมันทำให้ฉันเสียใจอย่างมาก ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าแม้พ่อกับแม่จะไม่รักกันแล้วแต่พวกท่านก็ยังเป็นพ่อกับแม่ฉันและยังรักฉันอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องราวที่พวกเขาทะเลาะกันนั้นฉันได้ยินทั้งหมด...
“แขไขเราสองคนหย่ากันเถอะ” แม้ก่อนที่คนจะพูดจะได้สูดลมหายใจระงับอารมณ์ให้เย็นลงและพยายามปรับน้ำเสียงให้สุขุมอย่างมากแล้วก็ตาม
กรี๊ดดดด แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “หย่า! หย่าอย่างงั้นเหรอ ฉันไม่หย่า ใช่แล้ว! ตอนนี้คุณมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันมันหมดประโยชน์กับคุณแล้วคุณจึงคิดจะถีบหัวส่งฉัน...ไม่มีทาง คุณคิดว่าฉันโง่ไม่รู้เรื่องความเลวต่ำช้าของคุณหรือไง ตอนนี้สันดานคุณมันเก็บไว้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย เอาสิถ้าคุณอยากหย่าฉันจะฟ้องคุณ...ฉันจะทำให้คุณหมดเนื้อหมดตัว และอยากรู้นักว่าผู้หญิงของคุณคนนั้นยังจะรักคุณจริงมั้ยถ้าคุณไม่เหลืออะไรเลย”
“แขไข คุณอย่ามากเกินไปนะ จริงอยู่ที่ผมได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวคุณแต่เธอก็ลำบากช่วยเหลือผมมาโดยตลอด ที่ผมมีทุกวันนี้ได้ไม่ใช่แค่การสนับสนุนของครอบครัวคุณเท่านั้น”
“คุณสำนึกในบุญคุณของมันจึงถวายตัวและจะแบ่งหุ้นให้มัน...ฉันต้องอดทนมากแค่ไหนที่ยอมให้คุณมีมัน แค่นั้นพอแล้ว แต่เรื่องหุ้นและทรัพย์สินเงินทองฉันไม่ให้! ได้ยินมั้ยว่าฉันไม่ให้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์ของคุณมันจะต้องเป็นของตาหัส หัสวีร์ลูกชายของฉันเท่านั้น...จำไว้!”
?????? ??????