บทที่ ๓
ลานฝึกฝนของเหล่าทหารองครักษ์ ในช่วงเวลาก่อนทินกรจะลาลับ สลับหมุนเวียนให้ศศิธรมาทำหน้าที่ร่ายแสงคืนความสว่างให้ผืนนภดลกว้างใหญ่ แม้แสงแห่งจันทราจะไม่ร้อนแรงเท่าแสงสุรีย์ร่าย ทว่ามอบความอบอุ่นอย่างประหลาดยามทอดมองด้วยจิตปฏิพัทธ์
ลำแสงสุดท้ายยามอาทิตย์อัสดงสาดกระทบโลหะสีเงินในพระหัตถ์เจ้าชายหนุ่ม ส่งสะท้อนแยงดวงตาที่หรี่เพื่อกักกันไม่ให้แสงนั้นสะท้อนทำลายการมองเห็นของฮาฟา โมห์เซน ชาราเยน เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อทรงตั้งพระองค์มั่นในทิศทางที่มีเปรียบ ร่ายรำกระบวนท่าการต่อสู้แบบโบราณที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น แสงสะท้อนของอาวุธสั้นโง้งในมือของสองฝ่ายฉวัดเฉวียนผ่านหน้าคู่ต่อสู้อย่างสูสี ไม่มีใครยอมตกเป็นฝ่ายตั้งรับนาน จนเวลาหมุนผ่าน การเดินวนหยุดลงตรงตำแหน่งที่องค์มกุฎราชกุมารแห่งชาร์มาหยุดยืนหน้าฮาฟา เบื้องพระขนองเป็นภาพทินกรเพียงครึ่งดวง ร่ายรัศมีโอบล้อมพระวรกายส่องสะท้านน่ายำเกรง ฮาฟารู้ดีมาถึงตรงนี้เขาเสียทีพ่ายแก่พระองค์แล้ว แม้จะประทับถือคอนยัรอาวุธประจำถิ่นนิ่ง หยุดการจู่โจม ทว่าเมื่อครู่ยามเขาหรี่เปลือกตาปิดกั้นแสงที่แยงมานั้น หากพระองค์ตวัดมีดคมกริบนั้นเข้ามา ลูกกระเดือกเขาก็คงได้ออกมาให้ยลโฉมด้านนอก
ฮาฟาลดคอนยัรด้ามเงินดุนลายละเอียดลงข้างตัว โค้งคำนับแล้วทูล “ขอบพระทัยที่ทรงไว้ชีวิต”
องค์ประทับยืนนิ่ง โดยมีแสงสีกุหลาบเป็นพื้นหลัง ลดมีดโง้งด้ามทองดุนลายฝังทับทิมเม็ดเขื่องลงบ้าง หากยังไม่ยินยอมเป็นผู้มีชัยเสียทีเดียว “ยังไม่ถึงที่สุด จะว่าเราไว้ชีวิตได้อย่างไร ฮาฟา”
“ทรงพระปรีชาและพระกรุณายิ่งแล้ว เกล้ากระหม่อมทราบดี เพียงตวัดคมมีดมา คอเกล้ากระหม่อมก็หมดสวย”
องค์ประทับนิ่งในทีแรกพระสรวลดัง คอหมดสวย ฮาฟาช่างเจรจายิ่ง
“ไว้วันหลังเรามาประลองดาบกันนะ กลับเถอะ” รับสั่งชวน องครักษ์ที่ชมการประลองอยู่วงนอกนำปลอกคอนยัรอันเป็นทองคำดุนลายละเอียดงามวิจิตรเข้ามาถวาย ทรงรับมาเสียบมีดสั้นโง้งนั้นลงไป ความยาวของมีดนั้นไม่มากเมื่อเทียบกับฝ่าพระหัตถ์เรียว ทว่าประสิทธิภาพนั้นเหลือคณา แล้วแต่จะอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญระดับไหน อาวุธที่บรรพบุรุษใช้สืบต่อกันมา ด้วยพกพาง่าย ต่างกับซิมิตาร์ดาบโง้งที่นักรบโบราณใช้ฟาดฟัน การใช้มีดถือเป็นการต่อสู้ประชิดตัว แต่กองทัพปัจจุบันของชาร์มาและประเทศต่างๆ ทั่วโลกหันมาใช้อาวุธทันสมัยรุนแรงขึ้น เช่นเดียวกับวิถีทำลายล้างในระยะหวังผลที่ไกลขึ้น เช่นปืนชนิดต่างๆ และระเบิดทำลายล้าง ทว่ายามมีเวลาว่าง ทรงโปรดการต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณตามแบบแผนของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมา
“เสด็จกลับตำหนักหรือจะเสด็จฝ่ายใน” ฮาฟาบุตรชายของพระนมไมนาร่า ถือผู้เสียสละน้ำนมที่พึงได้ดื่มกินให้มกุฎราชกุมารแห่งชาร์เสวยเมื่อทรงพระเยาว์ จึงประทานความสนิทสนมให้ทูลถาม ดวงตาสีดำตามเชื้อสายส่งประกายล้อเลียน เพราะรับรู้ว่าเจ้าชายหนุ่มน้อยเพิ่งรับนางห้ามคนแรกเมื่อไม่นาน หลังหมั้นหมายกับเจ้าหญิงบิชาเราะห์มาสองปีกว่า
เจ้าชายกาเบรียนที่พระพักตร์อันเรื่อแดงเพราะการออกกำลังด้วยการต่อสู้เชิงอาวุธอยู่แล้วก่ำขึ้นอีกเท่าตัว เพราะขัดเขินกับสายตาของฮาฟา กำปั้นขาวจนเห็นเส้นโลหิตเขียวด้านในประทานเข้าเต็มท้อง แต่แค่พอเบาะๆ ไม่หวังให้จุกจนลงไปนอนดิ้น
“ยังมาล้อ ตัวเองไม่หาสะใภ้ให้นมละ พวกข้างในมองตามเป็นตาเดียวเวลาออกมาทำธุระข้างนอก” ทรงถามกลับ เพราะฮาฟานั้นจัดว่าเป็นหนุ่มรูปงามไม่เป็นรองใคร
“ยังไม่อยากมีห่วง เกล้ากระหม่อมจะเรียนให้จบเป็นนายทหารเอกของกองทัพเสียก่อน แล้วค่อยหาหญิงงามมาเคียงข้าง เกล้ากระหม่อมตั้งใจจะมีเจ้าของหัวใจเพียงคนเดียวเท่านั้น” คนพูดมีความมุ่งมั่น แม้ศาสนาอนุญาตให้มีภรรยาได้ถึงสี่ ทว่าต้องมอบความรักให้นางเหล่านั้นเท่าๆ กัน แล้วผู้ชายที่มีหัวใจเพียงหนึ่งดวงอย่างเขาจะแบ่งซอยความรักได้หรือ ฮาฟามุ่งมั่น เมียเดียวเท่านั้น
“เจ้าของหัวใจเพียงหนึ่งเดียวหรือ? พูดดีแต่คงทำยาก” ทรงส่ายพระเศียร ก่อนทรงพระดำเนินกลับตำหนัก แม้จะไกล หากต้องการออกพระกำลังไปในตัว
รอยต่อระหว่างฝ่ายหน้าและฝ่ายในที่ซึ่งกำลังทรงพระดำเนินผ่าน ประตูทองคำที่แบ่งแยกเปิดออก พร้อมรถจากฝ่ายในแล่นออกมา รถสีดำมันปลาบกระจกทึบหยุดนิ่งรอให้ทรงพระดำเนินผ่านไป ทว่าคนนั่งในรถกลับลดกระจกลงมาเล็กน้อยเพื่อส่งสายตาที่เหลือรอดจากผ้าคลุมมองตามพระองค์ไป แม้จะเป็นการผิดประเพณีและกฎเกณฑ์ แต่พระสนมที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้วของเจ้าชายกาเบรียนประสงค์ ผู้ติดตามจึงไม่กล้าขัด
มัยมูนะห์มองสวามีในนามของเธอด้วยสายตาละห้อย ตั้งแต่คืนนั้นไม่เคยพบหน้า เธอรู้ดีที่ทรงรับไว้เป็นนางห้ามเพื่อยกระดับเธอขึ้นมาจากทาสก็ไม่ปาน ให้มีชื่อว่าเป็นสนมของมกุฎราชกุมารจะได้ไม่มีใครกล้ารังแก แต่มัยมูนะห์ไม่ต้องการถวายตัวแค่ในนาม เธอต้องการถวายการปรนนิบัติจริงๆ เฉกหญิงชายที่ได้ร่วมหอลงโรง
เมื่อรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องมองตาม เจ้าชายรัชทายาทหนุ่มแห่งชาร์มาจึงหยุดพระดำเนิน หันไปทอดพระเนตรที่รถคันดังกล่าว แค่พระเนตรสีเข้มประสานเข้ากับดวงตาที่มองมาจากช่องกระจกที่ลดลงเพียงน้อยในรถ พระพักตร์ของพระองค์ก็ระเรื่อขึ้น ดุจเป็นดรุณีแรกแย้มถูกหมู่ภมรวนเวียนเกี้ยวพาราสีเสียเอง จนฮาฟาที่เดินตามเสด็จสังเกตเห็นจึงมองตามสายพระเนตร ดวงตาที่เห็นเพียงเล็กน้อยในรถนั้นเขาจำไม่ได้ว่าผู้ใด แต่เห็นอาการเจ้านายหนุ่มก็พอจะเดาได้ ฮาฟากระซิบเบาๆ
“ถ้าจะเสด็จไปทักทายก็ไม่ผิดประเพณีหรอก พระเจ้าค่ะ”
เนตรดำตวัดกลับมามองสหายหนุ่มบุตรชายของพระนมในพระองค์ ก่อนเมินหนีรีบทรงพระดำเนินจากไป ทิ้งให้คนยื่นข้อเสนอหัวเราะหึๆ แล้วรีบวิ่งตาม เพราะจากทรงพระดำเนินบัดนี้เปลี่ยนเป็นวิ่งเสียแล้ว
กระจกรถค่อยๆ เลื่อนขึ้น มัยมูนะห์มีใบหน้าหม่นลงเล็กน้อย ที่ทรงทำเหมือนวิ่งหนีเธอก็ไม่ปาน