ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในตอนใกล้ฟ้าสาง ได้ยินเสียงหายใจของใครบางคนดังอยู่ข้างกาย หันขวับไปมองก็เห็นว่าเป็นเด็กหญิงอรองค์หลับอยู่ข้างๆ เอาเท้าก่ายบนขา หลับสบายจนน่าทุบ ส่วนมารดาของเขาหลับอยู่บนโซฟาเบดในมุมนั่งเล่น
ภูวิณค่อยๆ ยกขาเล็กๆ ของอรองค์ออกจากขาเขา แล้วลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ จัดการธุรส่วนตัวเงียบๆ ก่อนจะออกไปที่ไร่ เพราะนอนเต็มอิ่ม และอยากใช้แรงกายให้เหนื่อยเข้าไว้ จะได้ไม่ต้องพึ่งเหล้าให้เมาหลับ ไม่เช่นนั้นชีวิตอันแสนอิสระของเขาจะถูกตามควบคุมจากผู้หญิงต่างวัยสองคนนี้
ถึงจะรู้ว่าเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากให้ทั้งสองมากังวลด้วย โดยเฉพาะมารดา ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดที่ยังเหลืออยู่ บิดาของเขานั้นเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน พร้อมกับบิดาของอรองค์ อรรคพลเป็นรุ่นพี่ของเขาที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ใกล้กัน อายุมากกว่าเขาห้าปี และทำงานเป็นหัวหน้าคนงานและเป็นผู้ช่วยของบิดาเขาด้วย
บิดาเขาที่นอกจากเป็นเจ้าของไร่ภูวิณ ยังรั้งตำแหน่งกำนันที่น่านับถือของคนในพื้นที่ ซึ่งมีคู่แข่งและศัตรูทางการเมืองท้องถิ่นอยู่พอสมควร สองเดือนก่อนการเลือกตั้งกำนันอีกวาระ ขณะไปทำธุระที่ในเมืองพร้อมกับอรรคพล จากนั้นก็แวะไปรับเขา ซึ่งวันนั้นไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อน ดื่มพอสมควรเลยไม่ได้ขับรถกลับเอง
ระหว่างทางกลับไร่เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม พ่อของเขาถูกลอบยิง ขณะที่อรรคพลเอาตัวบังเขาไว้จากกระสุน ทั้งสองเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ในขณะที่เขาไม่มีแม้รอยขีดข่วน และนั่นคือเหตุผลที่เขากับมารดาต้องรับเด็กหญิงอรองค์เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว
ส่วนคนร้ายลอยนวล เพราะไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสใดๆ เกี่ยวโยงไปถึงคนก่อเหตุ นอกจากถนนที่เกิดเหตุไม่มีกล้องวงจรปิด และไม่ทิ้งหลักฐานอะไรที่จะสาวไปถึงตัวคนทำและคนบงการได้เลย
ทำงานกันได้ละเอียดไร้ที่ติ!
แต่ถึงตำรวจจะหาคนร้ายมารับโทษไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าใครๆ จะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร เพราะในตำบลนี้คนที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งกำนันให้กับพ่อเขาทุกปี ก็มีอยู่เพียงคนเดียว และตอนนี้มันก็ได้เป็นกำนันแทนบิดาของเขาได้สมใจ
รอก่อนเถอะ สักวันเขาจะแก้แค้นพวกมันให้ได้ ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งสิน่า!
เพราะยังเช้าตรู่ ไม่ถึงเวลาเข้างาน ภูวิณจึงเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในไร่ เดินดูแปลงผักไปเรื่อยๆ ไร่ภูวิณนอกจากปลูกพืชผักเกือบทุกชนิดที่มีขายในตลาดแล้ว ยังมีพื้นที่แบ่งเป็นสวนผลไม้
และยังมีที่ดินอีกแปลงที่เพิ่งซื้อเพิ่ม เพื่อจะทำเป็นรีสอร์ท ซึ่งคงใช้เวลาอีกสองปีกว่าจะสร้างเสร็จ เขาจะทำความฝันของพ่อให้เป็นจริง
แน่นอนว่ามันเป็นความฝันของเขาด้วย
ความฝันที่พ่วงด้วยความหวัง ว่าหากเรียนจบจะกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว พร้อมกับแต่งงานกับระริน ใช้ชีวิตคู่ในบ้านเกิดพร้อมกับธุรกิจของครอบครัวให้เติบโตต่อไป เพื่อให้ฐานะความเป็นอยู่มั่นคงสำหรับลูกหลานในภายภาคหน้า
แต่ความหวังนั้นของเขาพังทลายลงแล้ว แต่ความฝันมันก็ยังอยู่ และเขาจะทำมันต่อไป แม้ไม่มีระรินในชีวิตของเขาแล้วก็ตาม
เพราะเขายังมีแม่และอรองค์เป็นสองคนในครอบครัวที่เขาต้องดูแล แล้วไหนจะคนงานในไร่อีกนับร้อยชีวิต ที่ฝากความหวังไว้กับเขา ว่าจะมีงาน มีเงินเพื่อดูแลครอบครัวให้มีชีวิตอยู่อย่างมีกินมีใช้ในทุกวัน
ยามเช้าตรู่ ใกล้พระอาทิตย์จะขึ้นอากาศสดชื่นเย็นสบาย คลายเรื่องวุ่นวายในใจลงบ้าง ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่อยากเสียเวลากับความเสียใจในความรักที่มันจบไปนานแล้ว
แม้จะทำใจยินดีกับความสุขของอดีตคนรักไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธแค้น เพราะคนเราก็มีสิทธิ์เลือกไม่ว่าความรักหรือความฝันของตัวเอง
เขาเองก็เช่นกัน ต่อไปนี้จะใช้ชีวิตโสดให้คุ้ม หาความสุขใส่ตัวเองให้มากที่สุด จนกว่าจะพบใครสักคนที่อยากลงหลักปักฐานด้วย แล้วเขาจะหยุดเพื่อจะสร้างครอบครัวกับคนคนนั้น
“ย่าจ๋า โตขึ้นเอิงจะได้แต่งงานกับอาวิณหรือเปล่า” เด็กหญิงอรองค์ถามขึ้น หลังจากทั้งสองออกจากการนั่งสมาธิ ในห้องพระของเรือนหลังเล็ก
หลังจากสูญเสียสามี พิศมัยจึงอยากใช้เวลากับการสวดมนต์ทำสมาธิ การอยู่ในตึกใหญ่นอกจากจะทำให้คิดถึงสามีที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว ก็อยากอยู่เงียบๆ ตึกใหญ่แม้จะมีลูกชายอาศัยอยู่เพียงคนเดียว เพราะบ้านหลังใหญ่ คนดูแลบ้านก็มากตามไปด้วย
ส่วนเรือนหลังเล็กก็อยู่กับอรองค์สองคน มีเด็กรับใช้แค่คนเดียวที่ขึ้นมาทำงานบนบ้าน ซักผ้าทำความสะอาดบ้าน ส่วนเรื่องอาหารก็ทางแม่ครัวประจำบ้านก็จัดสรรให้เด็กรับใช้ยกมาให้ทุกวัน เว้นบางวันที่ภูวินกลับบ้านเร็วเธอกับอรองค์ก็ไปกินที่ตึกใหญ่
ในทุกวันก่อนนอนเธอกับอรองค์จะสวดมนต์นั่งสมาธิด้วยกัน ส่วนตอนเช้าตรู่ ก่อนปลุกเด็กหญิงไปโรงเรียน เธอจะนั่งสมาธิเพียงลำพัง
“ย่าจะรู้ได้ยังไงเล่า” พิสมัยตอบพร้อมกับยิ้มขำ
“ย่าต้องรู้สิ วันก่อนยังบอกว่าเอิงจะสอบได้ที่หนึ่ง และเอิงก็สอบได้ที่หนึ่งจริงๆ ด้วย”
“ที่ย่ารู้เพราะเอิงอ่านหนังสือทุกวันน่ะสิ”
“ไม่จริงหรอก ย่ารู้เพราะย่ามองเห็นอนาคตต่างหาก”
“เปล่า ย่าไม่ได้มองเห็น...” แล้วเธอก็ชะงัก เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“ย่าโกหกไม่ได้นะ เดี๋ยวผิดศีล ย่าต้องรักษาศีลห้านะคะ”
พิสมัยถึงกับหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะเธอพร่ำสอนเรื่องศีลห้าให้เด็กหญิงอรองค์มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องการพูดเท็จ ห้ามเด็ดขาด และดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะใช้คำสอนนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือให้เธอตอบคำถามของเจ้าตัวเสียแล้ว
“ตอบเอิงมาตามตรงเถอะค่ะคุณย่า ถ้าเอิงไม่ได้เป็นเจ้าสาวของอาวิณ เอิงจะได้ทำใจ”
“อู้ย ตัวแค่นี้คิดเรื่องเป็นเจ้าสาว แก่แดดแก่ลมไปแล้วนะ” พิสมัยว่า แล้วบีบแก้มยุ้ยๆ นั่นอย่างมันเขี้ยว
“เอิงก็แค่อยากอยู่กับอาวิณไปตลอดชีวิต”
“จะแต่งหรือไม่แต่งก็อยู่กับอาวิณได้ตลอดชีวิตอยู่แล้ว”
“ป้าศรีบอกว่า ถ้าอาวิณแต่งงานแล้ว เอิงจะอยู่กับอาวิณไม่ได้หรอก เพราะอาวิณต้องอยู่กับเมียกับลูกเขา เอิงอยู่ด้วยก็จะกลายเป็นคนนอก”
“ยายศรีนี่นา พูดอะไรไม่เข้าท่ากับเด็กได้ยังไง ต้องเรียกมาอบรมบ้างแล้ว”
“อย่าโกรธป้าศรีเลยค่ะ เพราะถ้าอาวิณแต่งงานกับคนอื่น เอิงจะกลายเป็นคนนอกจริงๆ นั่นแหละค่ะ” น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อย จนคนฟังรู้สึกสงสาร
พิศมัยรู้ว่าเด็กหญิงอรองค์จะยังเด็กและกลัวการถูกทอดทิ้งจากคนที่รัก จนคิดจะอยากแต่งงานกับอาวิณ เพราะอยากจะอยู่กับอาวิณไปตลอดชีวิต
อีกฝ่ายยังเด็ก ถ้าจะอธิบายเรื่องแต่งงาน หรือเรื่องความรักในแบบผู้ใหญ่ให้เข้าใจ คงเป็นได้ยาก แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงในสิ่งที่เห็นก็ไม่อาจโกหกเด็กหญิงได้
“ย่าจ๋าบอกเอิงมาเถอะค่ะ นะคะ เอิงอยากรู้จริงๆ ถ้าไม่ใช่เอิงจะได้ทำใจตั้งแต่ตอนนี้เลย”
พิสมัยอึ้งไปกับคำพูดนั้นของเด็กหญิงในอุปการะ มองดูแววตาที่รอคอยคำตอบอย่างมีความหวังอย่างจดจ่อ จึงไม่อาจเลี่ยงที่จะตอบอีกต่อไป
“ใช่แล้ว โตขึ้นเอิงจะได้แต่งงานกับอาวิณ”
“เย้ ขอบคุณค่ะคุณย่า”
“แต่...”
“แต่อะไรคะ”
แต่เอิงอาจจะต้องเจออะไรหนักๆ”
หรืออาจเจ็บปางตาย
นั่นคือสิ่งที่พูดได้แค่ในใจเท่านั้น เธอไม่อาจบอกกล่าวเด็กหญิงได้
“ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่เอิงอยู่กับอาวิณตลอดไป เอิงก็ดีใจแล้ว”
“งั้นย่าฝากเอิงดูแลอาวิณด้วยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามทิ้งอาวิณเด็ดขาด”
“เอิงจะปกป้องอาวิณเองค่ะ และจะไม่ทิ้งอาวิณไปไหน” เด็กหญิงรับคำเสียงหนักแน่น
“จำไว้นะเอิง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่เอิงเป็นคนคิดดีทำดี เอิงจะผ่านทุกอย่างไปได้ แม้ว่าเรื่องนั้นจะทำให้เราเสียใจ”
“ได้ค่ะ เอิงจะเป็นคนดี จะถือศีลห้า จะสวดมนต์ นั่งสมาธิอย่างที่คุณย่าสอนตลอดไปเลยค่ะ”
“ดีมาก เด็กดีของย่า” แล้วทั้งสองก็กอดกัน คนสูงวัยแอบน้ำตาซึม
เพราะอีกไม่นานอรองค์จะต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิเพียงลำพังแล้ว
.........................