ธุระที่เชษฐ์หัวหน้าคนงานแผนกหนึ่งฝากยะมาบอก ก็คือพวกเขาพบว่ามีศัตรูพืชชนิดใหม่กำลังแพร่พันธุ์เข้ามาทำลายผลิตผลการเกษตรในไร่ และลุกลามอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าเกษตรกรรายอื่นโดนผลกระทบจึงบอกต่อเตือนกันมาปากต่อปาก จึงได้มีการป้องกันความเสียหายไว้ในระดับหนึ่งแล้ว
แต่เมื่อไม่ประสบผลสำเร็จ...จึงต้องมีการปรึกษาหารือกันใหม่ไร่ของเขาทำการเกษตรแบบอินทรีย์จึงปฏิเสธการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสารเคมีการเกษตรเหล่านี้มีผลกระทบต่อกลไกและกระบวนการของระบบนิเวศ ซึ่งในปัจจุบันธรรมชาติได้ถูกทำลายมากพอแล้ว เพราะเหตุนี้แหละจึงทำให้ระบบนิเวศผิดเพี้ยนไปหมด
แมลงที่ไม่เคยมีก็กลับมี บางสายพันธุ์พัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอด ทำให้กำจัดได้ยากขึ้น
กว่าจะเสร็จภารกิจในไร่วันนี้ทั้งวันเขาจึงขลุกอยู่กับคนงานจนกระทั่งถึงช่วงโพล้เพล้ แม้จะเป็นเจ้าของไร่แต่เขาก็ทำงานเสียจนกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายเกือบทุกวัน
“จริงสิ...” พอก้าวมาถึงหัวบันไดของบ้านไม้สักหลังใหญ่ บางอย่างก็ผุดเข้ามาในหัว เขารีบถอดรองเท้าแล้ววิ่งขึ้นด้านบนทันที แล้วเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อตรวจดูบางอย่าง
“ไม่มีจริงๆ ด้วย...หรือว่าเนื้อทองจะพูดจริง...” ปากพร่ำบ่นไปพลางแล้วก็รีบเข้าไปดูในห้องต่างๆ เผื่อว่าตนเองจะหลงลืมเผลอไผลไปเอง
“ฟักแฟง! ฟักแฟงอยู่ไหน!!”
“ค่ะนาย! ฟักแฟงอยู่นี่ค่ะ นายมีอะไรเหรอคะ” แม่บ้านเจ้าของชื่อเรียกนั้นรีบวิ่งมาตามเสียง เพราะนั่งอ่านหนังสืออยู่แถวๆ นั้นพอดี
“เห็นหมวกที่ฉันแขวนไว้ตรงนั้นไหม...” เขาชี้ไปตรงที่แขวนหมวกติดกับหน้าต่างห้องรับแขก
“เอ...ไม่นะคะ ใช่หมวกใบเดียวกับที่ทำให้เนื้อทองมีเรื่องกับพวกไอ้ต้นหรือเปล่าคะนาย”
“เธอรู้ด้วยเหรอ”
“ก็พี่ปราชเที่ยวตามพ่อแม่พวกเด็กนั้นมาสอบถามอยู่ แต่ฟักแฟงแค่รู้คร่าวๆ ค่ะเพราะวันนี้ไปช่วยในโรงครัวด้วย”
“ใช่...หมวกนั่นแหละ เมื่อเช้ามันเลอะฉันก็เลยเอามาทำความสะอาดแล้วแขวนไว้ตรงนั้น กะว่าถ้าแห้งแล้วค่อยเก็บ” เขาอธิบายสีหน้าเคร่งเครียดเขาไม่น่าละเลยคำพูดของเนื้อทอง เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้จริงๆ
“แสดงว่าหมวกของนายหล่นทางหน้าต่าง แล้วพวกไอ้ต้นเก็บไปเล่น...”
“ชิบหายเอ๊ย!!”
“นาย! แล้วนายจะไปไหนคะมืดค่ำแล้วนะ”
“ไปหาหมวก!!!”
“...” ฟักแฟงมองตาปริบๆ เมื่อร่างใหญ่กระทืบเท้าเดินออกไป ตะวันพลบค่ำแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ในไร่มีเพียงแสงไฟจากเสาที่อยู่รอบๆ รั้ว พอจะให้แสงสว่างได้บ้าง แต่นายของหล่อนจะร้อนรนไปหาหมวกใบนั้นตอนนี้ทำไมกัน
ใจหนึ่งของเขาอยากจะตามไปหาเนื้อทองและเด็กทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์มาคาดคั้นเอาความจริงอีกรอบว่าตกลงหมวกคาวบอยใบนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ มันเป็นของสำคัญสำหรับเขามาก เพราะเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากบิดาที่ได้มอบให้เขาตอนสอบชิงทุนได้ไปเรียนยังต่างประเทศ และท่านก็เสียชีวิตหลังจากนั้น
ตลอดเวลามันจึงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีบางครั้งที่เขาจะนำออกมาใช้งานบ้าง เพราะความละเลยของตัวเองแท้ๆ ที่วางของไม่เป็นที่ ทำให้เด็กในไร่เก็บไปเล่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อเนื้อทองไปเห็นเข้าคงจำได้ แต่เขาก็ลงโทษหล่อนเสียแรงเพราะเข้าใจผิด ป่านนี้เด็กนั่นคงมองเขาว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว
“เมื่อเช้าพวกเด็กๆ มันไล่ตีกันอยู่แถวนี้นี่...น่าจะตกอยู่ไม่ไกล หวังว่าคงไม่เล่นจนพังไปแล้วนะ” เขาบ่นพึมพำกับตัวเองในขณะที่ส่องไฟฉายมองหาของสำคัญ เถาแตงและไม้หลักยังคงอยู่ในสภาพระเนระนาดเพราะวันนี้ไม่มีคนงานว่างมาเก็บกวาด แสดงว่าหากหมวกตกอยู่แถวๆ นี้จริงๆ ก็อาจยังไม่มีใครมาเห็น
“ถ้าหาไม่เจอจะทำยังไง...แค่หมวกใบเดียวของพ่อผมก็รักษาไว้ไม่ได้ ผมขอโทษครับพ่อ...” สองมือเท้าสะเอวแล้วแหงนหน้าที่ก้มลงดินมองฟ้า ความมืดครอบงำจนดับมิด แม้มีแสงจันทร์แสงดาวที่ก็ไม่อาจส่องสว่างได้เท่าตอนกลางวัน
สายลมพัดเอื่อยๆ ปะทะร่างทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่ง...แต่ไม่อาจผ่อนคลายความตึงเครียดเรื่องของรักที่หายไป เขาคงต้องสงบสติให้มากแล้วรอจนถึงวันพรุ่งนี้ค่อยระดมคนมาช่วยหม่อน และถามพวกเด็กๆ ให้แน่ใจอีกทีว่าเอาไปเล่นที่ไหนกันแน่
คิดไปพลางเขาก็ยังงมเดินหาต่อชั่วครู่ใหญ่...ก่อนจะตัดใจ
“หืม...” ร่างใหญ่ชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงแว่วบางอย่าง คล้ายเสียงอะไรบางอย่างกำลังเหยียบย่ำอยู่บนกิ่งไม้ใบหญ้า
“ใครกัน...หรือพวกหัวขโมยอีก” แทนคิดแล้วก็รีบกดปิดสวิทช์ไฟฉายถอยหลังเร็วเพื่อตั้งหลัก หากเป็นคนแปลกหน้าลักลอบเข้ามาจริงๆ
“อูย...ไอ้ต้นนะไอ้ต้น โยนมาซะไกลดีที่ยังหาเจอ คอยดูเถอะจะเอาคืนให้เข็ด”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดพร้อมๆ กับร่างเล็กที่มุดคลานออกมาจากหลักเถาแตงซึ่งเอนทับกันอยู่ทำให้เจ้าของไร่ต้องขมวดคิ้วเพ่งแล้วเพ่งอีก
“เนื้อทอง! มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ที่นี่!!” ไม่ต้องบอกเขาก็จำได้ชัดว่าเป็นใคร มือกดเปิดไฟฉายอีกครั้งแล้วรีบเดินไปหาร่างที่คลานออกมาพ้นซุ้มเถาแตงที่พังยับแล้วลุกขึ้น มองเขาเลิ่กลั่ก
“นาย...”
“ยัยตัวแสบยังไม่เข็ดอีกเหรอ!!” พอใกล้ถึงตัวก็ตะคอกใส่ด้วยความโมโห
“ของนาย...”
“...” ชายหนุ่มชะงักเมื่อหล่อนยื่นมือส่งมาอย่างเร็ว มือของหล่อนถือหมวกต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในวันนี้ทั้งวันเอาไว้
“เธอพบมันแล้ว”
“เนื้อทองไม่ได้โกหกนะ” หล่อนแก้ข้อกล่าวหาให้ตัวเองแทนคำตอบ
“ฉันรู้แล้ว...แต่ทำไมต้องมาหาเอาตอนนี้ มันมืดค่ำแล้วรู้ไหม”
“ก็พ่อ!!...” หล่อนกำลังจะบอกว่าถูกพ่อขังเอาไว้ในบ้านพักเพิ่งจะหาทางหนีออกมาได้นี่แหละ แต่ก็เก็บคำตอบเหล่านั้นเอาไว้ได้ทัน
“กลับบ้านกันเถอะ...ฉันจะไปส่งเอง” เขารับหมวกมาจากหล่อนที่ยังก้มหน้างุดเบ้ปากด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“ขอบใจที่ช่วยหาให้...” บางอย่างหนักอึ้งถ่วงๆ อยู่ด้านในเมื่อเขานึกอยากกล่าวมากกว่านั้น ได้แต่มองหน้าเด็กสาวแล้วยิ้มท่ามกลางความมืดมีแสงสว่างเพียงรำไร แต่ก็มากพอที่จะทำให้เห็นว่าเนื้อทองเปื้อนเศษดินเศษใบไม้ใบหญ้าไปเต็มเสื้อผ้าไปหมด แขนขาของหล่อนเป็นรอยถลอกจากการถูกขีดข่วนมากกว่าจะเป็นรอยแผลที่โดนเขาตี
“เป็นไรล่ะ ตามมาสิ...” แทนเดินห่างออกไปแล้ว แต่เนื้อทองก็ยังยืนนิ่ง ชายหนุ่มจึงหันกลับมาอีกแล้วนั่งยองๆ ตรงหน้าของหล่อน
“ยังโกรธยังเกลียดฉันอยู่หรือไง ถ้าโกรธ...แล้วทำไมมาเที่ยวเดินหาหมวกค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ หรือแค่อยากแก้คำพูดที่ฉันว่าเธอโกหก”
“เนื้อทองโกรธ...แต่ไม่เคยเกลียดนายหรอก นายให้ที่อยู่ที่กิน ให้พ่อมีงานทำ เนื้อทองได้เรียนหนังสือก็เพราะนายส่งเสีย นายยังเคยช่วยชีวิตเนื้อทองด้วย” หล่อนผลุบตาต่ำ น้ำเสียงแม้จะสั่นแต่ก็หนักแน่นว่าหล่อนสำนึกบุญคุณของเขาอยู่เสมอไม่เคยลืม
“อืม...แล้วทำไงถึงหายโกรธ”
“ไม่ได้โกรธ”
“เมื่อกี้บอกโกรธแต่ไม่เกลียด”
“ก็...เนื้อทองหมายถึงเสียใจ ไม่ใช่โกรธแบบนั้น”
“แล้วเสียใจทำไม”
“ก็นายไม่เคยเชื่อเนื้อทองเลย เวลาพูดอะไรนายดุเนื้อทองตลอด”
“ก็เธอมันซนเป็นลิงเป็นค่าง ถ้าฉันเกลียดเธอฉันก็ไม่ดุหรอก ไม่พูดไม่คุย ไม่สนใจเสียดีกว่าจริงไหม”
“...” หล่อนนิ่ง คิดอย่างชั่งใจ
“แล้วนายจะฟ้องพ่อไหม แล้วจะตีเนื้อทองอีกไหมที่เนื้อทองออกมาข้างนอกตอนค่ำ”
“ไม่หรอก ไปเถอะฉันไปส่งเอง” เขาคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้า เป็นรอยยิ้มอบอุ่นแรกจากเขาสำหรับหล่อน ร่างใหญ่ลุกยืนเต็มความสูงแล้วเดินนำหน้าไปลิ่วๆ โดยมีเนื้อทองเขยกตามหลัง
หล่อนมองแผ่นหลังของเขาแล้วยิ้มพร้อมกับถอนหายใจลึก สำหรับหล่อนนายแทนไม่ใช่แค่เจ้านายของพ่อ แต่เขาคือ ‘เจ้าชีวิต’ หล่อนไม่มีวันเกลียดเขาได้ลงหรอก ในความคิดของเด็กสาววัยแปดขวบ หล่อนตั้งมั่นว่าจะอยู่รับใช้ทดแทนบุญคุณเขาไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว
“อุ๊ย!” ร่างเล็กหยุดเท้ากะทันหันเมื่อคนด้านหน้านั่งยองๆ ลงกับพื้นห่างจากหล่อนเพียงคืบยกหมวกขึ้นสวมศีรษะ
“เจ็บขาไม่ใช่เหรอ...มาขึ้นหลังฉันนี่”
“เนื้อทองเดินได้...เนื้อทองหนักนะนาย จะแบกไหวเหรอ”
“อย่าให้ต้องโมโหได้ไหมเนื้อทอง! เร็วเข้า”
“งื้อ...” หล่อนแบะปากขัดใจ แต่ก็ยอมกะเผลกไปเกาะหลังเขาก่อนที่ชายหนุ่มจะพาลุกขึ้นยืนแล้วจับสองขาเล็กข้างตัวไว้มั่น
“หัดเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนเสียบ้าง...ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจนัก” เสียงทุ้มแผ่วกล่าวลอยๆ ไม่เชิงบังคับขู่เข็ญเหมือนอย่างเคย ทางด้านเนื้อทองนั้นหุบปากเงียบกอดคอเขาไว้อย่างเดียว หากหล่อนพูดอะไรขัดหูสักคำมีหวังนายแทนคงจับโยนลงพื้นขาหักขางอกันพอดี
ร่างใหญ่แบกเด็กหญิงเอาไว้บนหลังแล้วพาเดินไปตามทางในร่องสวนท่ามกลางเดือนดาวที่เริ่มส่องแสงนวลเมื่อฟ้ามืดสนิทเต็มที่ สายลมในยามค่ำคืนยังคงพัดเอื่อย เสียงหรีดหริ่งเรไรบรรเลงกรีดกรายราวกับกำลังร่ายรำอยู่ในราตรีเมื่อโลกแห่งความวุ่นวายได้หลับใหลลงแล้ว
สองเท้าก้าวย่างเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน และเนื้อทองก็ไม่ได้หนักมากมายอะไรสำหรับเขา ชายหนุ่มพบว่านานมาแล้วที่เขาไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศฉ่ำใจเช่นนี้ ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกเพราะขาดเสาหลักของครอบครัว เขาก็แบกรับทุกอย่างเอาไว้ ทำงานอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตา ไม่เคยได้วิ่งเล่นหรือสัมผัสกับธรรมชาติอย่างสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ถึงแม้มันจะรายล้อมอยู่รอบๆ ตัว แต่เขามองข้ามมันไปเพราะทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจให้หมดไปกับ ‘งาน’
“หลับซะแล้ว หึ...”
“เนื้อทอง!! เนื้อทองโว้ย!! อยู่ไหน”
“...” ชายหนุ่มมองตามเสียงตะโกนเรียกโวยวายซึ่งอยู่ห่างออกไปก็พอจะเดาออกว่าเป็นณปราชที่ออกตามหาเนื้อทองนั่นเอง เขาจึงแบกเด็กสาวเดินไปทางนั้นทันที
“พี่ปราช...”
“อ้าวคุณแทน...นั่นเนื้อทองมันเป็นอะไรครับ ไปพบกันที่ไหน” ณปราชถือไฟฉายอันใหญ่ตรงปรี่เข้ามาด้วยความตกใจ แต่แทนยกมือจุ๊ปากส่งสัญญาณให้เขาเบาเสียงลง
“หลับอยู่...ผมจะพาไปเอง เนื้อทองออกมาหาหมวกให้ผมจนพบ ใจเด็ดจริงๆ เด็กคนนี้ ขนาดเจ็บไปทั้งตัวยังดันทุรังเอาอะไรต้องเอาให้ได้”
“เฮ้อ...ผมไปคาดคั้นพวกไอ้ต้นจนยอมรับกันหมด แล้วใช้ให้มาช่วยหม่อนก็หากันไม่เจอ เนื้อทองมันร้อนใจอย่างกับอะไรดีบ่ ตลอดว่ากลัวหมวกคุณแทนจะหายร่ำร้องจะออกมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วล่ะครับ ผมห้ามเอาไว้ ตอนค่ำออกไปข้างนอกแป๊บเดียวกลับมาก็ไม่อยู่ซะแล้ว”
สองคนเดินคุยกันไปในขณะที่ใกล้ถึงที่พักของณปราชและเนื้อทอง
“โตไปจะทโมนขนาดไหนกันเนี่ย”
“นั่นสิครับ...ผมก็หวั่นใจ” บางทีเพื่อลูกสาวแล้ว เขาอาจต้องทำอะไรสักอย่างให้มันถูกต้องสำหรับหล่อน
“ถึงจะซนมากเกินเด็กผู้หญิงแต่ก็ยังรักดีอยู่นะครับ” แทนบอก ยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับความซุกซนเกินตัวของเด็กในอุปการะ