ร่างทะมึนเดินเข้ามาในตัวเรือนใหญ่ มิลาวรรณนั่งรถเข็นรอพี่ชายอยู่ในบ้านหันขวับไปมองด้วยรอยยิ้มและสีหน้าเป็นห่วงเมื่อเลอสรรอยู่ในสภาพเนื้อตัวเปียกมอมแมมยืนยีผมตัวเองพลางยิ้มละมุนมาที่เธอ
“พี่สรร ทำไมถึงได้เปียกขนาดนี้กันคะ” มิลาวรรณกดปุ่มเคลื่อนล้อตรงไปหาพี่ชาย
“พี่ติดธุระในไร่ข้าวโพดน่ะ ว่าแต่เราเถอะ ทำไมไม่รีบเข้านอนล่ะฮื้ม”
“ก็มิลรอพี่สรรไงคะ”
“โถ ถ้าสมมติคืนนี้พี่ไม่มา เราก็จะทนรอถึงเช้าเชียวหรือ?” เลอสรรลูบศีรษะหล่อนอย่างเอ็นดู
“ก็วันนี้ทั้งวันมิลไม่ได้เจอพี่สรรเลย มิลเป็นห่วงค่ะ ก็มีแต่พี่แหละที่ไม่ห่วงน้อง”
“ใครบอกว่าพี่ไม่ห่วงเราฮื้ม”
“ไม่รู้สิ นึกว่าจะนอนค้างอ้างแรมกับสาวๆที่ไหนซะแล้ว”
“เห้อ ยัยเด็กแก่แดดไปนอนได้แล้วไป”
เลอสรรบีบจมูกน้องสาวบุญธรรมอย่างหมั่นเขี้ยวในความช่างจ้อ
“ม่ะ ก่อนมิลไปนอนขอหอมแก้มพี่ชายหน่อย”
ร่างสูงใหญ่โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงต่ำให้น้องสาวได้หอมแก้มก่อนเข้านอนตามปรกติ
“มะ..ม้วฟฟ ฝันดีนะคะพี่ชายสุดหล่อ”
“ครับผม ไปนอนได้แล้ว”
เลอสรรยืนมองน้องสาวเข้าห้องซึ่งอยู่ชั้นล่างมีพี่เลี้ยงคอยเข็นรถพายังห้องนอน มิลาวรรณเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกแม่แท้ๆใจร้ายทิ้งเธอเอาไว้ที่หน้าไร่เลอสรรด้วยอายุเพียงสามวัน คุณโฉมฉายได้พบทารกในห่อผ้าสีชมพูถูกวางไว้ที่พงหญ้าใบหน้าจื้มลิ้มแก้มแดงระเรื่อร้องไห้โยเยจึงเกิดความสงสารและเอ็นดูเลี้ยงดูฟูฟักให้เธอเป็นลูกสาวอีกคน หญิงสาวอายุ20ปีอนาคตกำลังสดใส ชีวิตกลับต้องมาประสบเคราะห์ร้ายให้ต้องพักการเรียนอย่างไม่มีกำหนดเพราะขาของเธอหักสามท่อนจากอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งคิดเขายิ่งโกรธกรวลัยเป็นเท่าตัว การข่มเหงหล่อนในวันนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผิดแม้แต่น้อย กลับรู้สึกว่ามันน้อยไปด้วยซ้ำ
ครืดดดด
เลอสรรหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์สายเรียกเข้า เขาขบคิดชั่วครู่ก่อนจะรับสายด้วยน้ำเสียงปกติ
“ว่าไงครับเสี่ยชัชชาย”
“ไม่ทราบว่าผมโทรมารบกวนมั้ย”
“อืม ไม่เป็นไรครับเสี่ย ผมยังไม่เข้านอน”
“งั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เมื่อตอนกลางวันมีคนมาขัดขาผม”
“ยังไงครับ?"
“แน่ใจนะว่าคุณไม่มีส่วนรู้เห็น?"
“นี่ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า?" เขาย้อนถาม
“ผมกำลังจะได้ตัวนังเด็กกำไลนั่นแล้ว”
“นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมมาก ให้ทางนี้ช่วยอะไรบอกได้นะครับเสี่ย” เลอสรรแกล้งทำเป็นไขสือ
“เกือบจะได้แล้ว ผมจับตัวพ่อแม่มันหวังล่อให้มันมาหา แต่ดันมีคนมาช่วยไอ้สองผัวเมียนั่นได้ สงสัยว่าคงเป็นไอ้ภูผาแน่ๆ”
“ก็คงจะแบบนั้นแหละครับ ไอ้ภูผาน่ะ มันเอาพวกพ้องปกป้องลูกน้องมันอย่างกับอะไรดี แถมนังเด็กกำไลนั่นยังเป็นเพื่อนสนิทของเมียมันอีก มีหรือที่มันจะไม่ยื่นมือไปช่วย”
“เจ็บใจชะมัด!!”
“ใจเย็นๆครับเสี่ย ผมว่าเราอย่าเพิ่งใจร้อนไป ต้องรอโอกาสเหมาะๆสักสองสามเดือนให้พวกมันได้ใจก่อน แล้วผมจะพายัยเด็กนั่นไปให้เสี่ยแก้แค้นแทนน้ำชาเสียให้สาสมใจเลย”
“ดี ยังไงฝากคุณช่วยอีกแรงด้วยนะ”
“แน่นอนครับ”
.........
“ฟู่วว” เลอสรรยิ้มเยือกเย็นพร้อมพ่นลมหายใจโล่งอก
กรวลัยคงต้องเป็นสมศรีไปสักพักใหญ่ๆ ส่วนพ่อแม่ของหล่อนนั้น เขาได้พาตัวไปหลบพักอยู่ต่างจังหวัดโดยส่งต่อให้ภูผาจัดการดูแลแทน
ผู้หญิงคนนี้เป็นของเขาทั้งพฤตินัยและนิตินัย ฉะนั้น คนที่มีสิทธิ์จะลงทัณฑ์เธอ คือเขาคนเดียวเท่านั้น!!
.............................
กรวลัยนอนซมเป็นผักนานเกือบสามวันกว่าจะรักษาตัวจนหายเป็นปกติ โดยมีป้าแววคอยดูแลหาหยูกยาและข้าวปลาอาหารให้เธอจนหายดี ป้าแววได้กำชับกับเธอว่าต่อแต่นี้ เธอคือสมศรี เป็นหลานสาวของป้า โดยเธอสมัครมาเป็นคนงานในไร่ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รีดนมวัวในตอนเช้าตรู่และทำความสะอาดคอกม้าจนถึงเที่ยง ส่วนตกบ่ายถึงเย็นนั้นจะไปช่วยงานในไร่ข้าวโพด หน้าที่ของเธอหนักหนากว่าตอนทำงานในไร่ภูผาเป็นเท่าตัว แน่นอนผู้บงการงานหนักๆนี้คงหนีไม่พ้นเจ้าของไร่อย่างเลอสรร
กรวลัยนั่งกอดเข่าเหม่อลอยหลบผู้คนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในเวลาพักเที่ยง เธอมาอยู่ที่นี่ครบอาทิตย์แล้ว คิดถึงพ่อแม่เหลือเกิน ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน หากหนีออกไปจากที่นี่คงจะยาก ไหนจะต้องเสี่ยงอันตรายกับเสี่ยชัชวาลย์ที่จ้องจะทำร้าย อยากจะโทรติดต่อหาสายป่านก็ไม่กล้ายืมมือถือใครกลัวว่าความลับจะแตก
“สมศรีเอ้ย”
...
“นังสมศรี เอาข้าวไปกินเร็ว”
....
“อีศรี!!”
“จ้า... จ้ะป้า”
“มึงจะกินมั้ยข้าวน่ะ ...นี่ไอ้ใบ้ เอาข้าวแกงไปให้นังศรีมันไป ” ป้าแวววานให้นายใบ้หลานชายแท้ๆของเธอนำข้าวราดแกงไปให้สมศรี
นายใบ้เป็นชายหนุ่มเต็มวัย อายุ25ปี ร่างสูงใหญ่ ผิวสีคล้ำด้วยเป็นคนงานตากแดดตากลมจนผิวเกรียม กล้ามใหญ่เป็นมัดๆ ใบหน้าก็คมเข้มหล่อเหลาใช่ย่อย หากแต่เสียอย่างเดียวที่พูดไม่ได้มาแต่กำเนิด เป็นคนหนักเอาเบาสู้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังใจดีคอยยกของหนักๆช่วยกำไลอีกแน่ะ นายใบ้มีนิสัยชอบเก็บตัว มักหลบมุมอยู่คนเดียวเหมือนสมศรีอย่างกับแกะ พวกคนงานด้วยกันจึงแซวป้าแววอยู่บ่อยๆว่ามีหลานไม่ชอบเข้าสังคม
“แบะ แบะๆ”
นายใบ้วางกับข้าวข้างกายเธอแล้วทำท่าทางตักอาหารเข้าปาก
“อืม รู้แล้วน่า ขอบใจนะใบ้”
นายใบ้พยักหน้ารับแล้วยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว
“นี่ ใบ้ นายเจอคุณเลอสรรบ่อยมั้ย”
เมื่อเห็นนายใบ้ส่ายหัวเธอจึงถามต่อ
“แล้วส่วนใหญ่คุณเลอสรรเค้าจะอยู่ที่ไหน?”
กรวลัยเลียบๆเคียงๆถามนายใบ้เพราะต้องการเจอหน้าเลอสรรซึ่งเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยให้เธอได้ติดต่อกับพ่อแม่ได้ กว่าจะเข้าใจภาษามือที่นายใบ้สื่อก็ใช้เวลานานหลายนาทีอยู่เหมือนกัน
เช้าวันต่อมากรวลัยอู้งานรีดนมวัวโดยให้นายใบ้ช่วยทำแทน เธอแอบเข้าไปที่สนามม้า ซึ่งพอเหมาะเจาะที่วันนี้เป็นวันเสาร์มีการแข่งขัน และที่สำคัญเจ้าของไร่อย่างเลอสรรไม่เคยพลาดงานนี้เสียด้วย เจ้าของไร่หนุ่มกำลังฝึกซ้อมอยู่บนหลังเจ้าเทอร์โบม้าคู่หูตัวโปรดของเขา กำไลปกปิดใบหน้ามิดชิดท่ามกลางผู้คนที่รอชมการแข่งขันอย่างเนืองแน่น ร่างเล็กเดินดุ่มๆเบียดเสียดเข้าไปเกาะรั้วใกล้ขอบสนาม สายตาคู่หวานมองร่างทะมึนนั่งอยู่บนอานม้าอย่างสง่าผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวรูปปั้นกำลังขมวดคิ้วเข้มสายตามุ่งมั่นยกก้นควบม้ารวดเร็วในใจหล่อนไหววูบพาลนึกเปรียบเทียบตอนที่เขาควบขย่มบนร่างของหล่อน ใบหน้าหวานเห่อแดงภายใต้ผ้าขาวม้าปกปิดมองเห็นเพียงสองลูกกะตาของเธอที่โผล่พ้น เมื่อเขาควบม้าผ่านเธอไป ฝุ่นดินละลิ่วมากระทบม่านดวงตาหวาน หล่อนรู้สึกระคายยกมือขยี้เบาๆพลางกระพริบตาถี่ๆมองตามเขาปนน้ำตาไหลเล็ดออกมาทางหางตา
กรวลัยยืนมองการแข่งขันอย่างตื่นเต้น ในใจแอบเชียร์เจ้าของไร่ สุดท้ายเขาสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างหวุดหวิด เมื่อเลอสรรกับม้าคู่ใจทะยานเข้าสู้เส้นชัย ร่างบางเผลอไผลกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจกลมกลืนกับผู้คนที่ส่งเสียงเชียร์เขา แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่าคนที่หล่อนกำลังยืนเชียร์อยู่นั้นใจร้ายขนาดไหน หญิงสาวจึงก้มหน้างุดแววตาเศร้ามาแทนที่
“ไม่สินังกำไล แกมาเพื่อให้เค้าช่วยโทรหาพ่อแม่นะ”
กรวลัยดึงสติตัวเอง
“เอาวะ นังกำไล เป็นไงเป็นกัน วันนี้แกต้องได้คุยกับพ่อแม่ให้ได้” หล่อนเดินตรงไปยังเขาที่กำลังจูงม้าเชื่องช้าพลางยืนคุยกับผู้ร่วมแข่งขันด้วยกัน
แต่เมื่อสายตาดันสะดุดกับชายคนหนึ่งที่เธอรู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ชายใบหน้าตอบ ผิวดำร่างผอมแห้ง ผมหยิกๆแบบนี้
ใช่แล้ว!! นายคนนี้ ที่ฉกกระเป๋าเธอไปในวันเกิดเหตุนี่นา
เมื่อนึกได้ดังนั้น กรวลัยรีบหันขวับเดินตามไอ้โจรวิ่งราวคนนั้นจนลืมตระหนักว่าต้องปกปิดใบหน้า หนำซ้ำยังเดินชนผู้คนเพื่อวิ่งตามให้ทันจนผ้าขาวม้าหลุดลุ่ย
เลอสรรเดินพูดคุยกับเพื่อน พบร่างบางที่เหมือนเขาจะคุ้นเคยดีท่าทีลนลานไม่เข้าพวก แถมผ้าขาวม้าที่เธอสวมกำลังปลิวว่อนจนผมกระเซิงสยายออกมา
“กรวลัย!!”
เขาครางเสียงแผ่วเมื่อมองแผ่นหลังนั้นมั่นใจเกินร้อยว่าเป็นหล่อน เจ้าของไร่หนุ่มรีบวิ่งตรงไปยังสาวเจ้าปัญหาที่ยืนหน้ามุ่ยเตรียมจะวิ่งตามใครบางคนจนลืมปกปิดใบหน้า
“หยุดนะ ไอ้โจรกระจอก!!!”
เธอเผลอตะโกนร้องเรียกมัน ผู้คนหันขวับมาทางเสียงเล็กแหลม
แต่แล้ว...
“อุ๊ยยยย!!!”
กรวลัยถูกเจ้าของไร่หนุ่มรวบต้นคอเธอเข้าหาจนใบหน้าหวานแนบชิดกับอกแร่ง
ตึกๆ ตึกๆ
หัวใจกรวลัยเต้นระส่ำจมูกรั้นเชิดแนบชิดกลิ่นโคโลญหอมๆปนเหงื่อแล้วแทบจะหลอมละลายลงเสียให้ได้ เธอรู้ว่าเป็นเขา แต่ไม่กล้าขยับขาหรือแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของไร่หนุ่มกดศีรษะเธอไว้พร้อมถอดเสื้อเชิดมาปกปิดใบหน้าหญิงสาวไม่ให้ใครเห็น