“ค่ะ...มันก็แค่ความบังเอิญเท่านั้น แล้วตอนนี้ลินก็ไม่ได้มีอาการอะไรอย่างอื่นนอกจากเจ็บแผลผ่าตัดแต่กินยาเดี๋ยวก็หายขอบคุณมากนะคะที่พี่วีร์ช่วยผ่าตัดคลอดให้ลิน เดี๋ยวพี่วีร์ต้องตรวจคนไข้ห้องต่อไปนี่ไม่ใช่เหรอคะ ก็ขอเชิญเถอะค่ะ ลินจะได้ให้นมลูกต่อ”
“ลิน...พี่อยากคุยกับลิน”
“เรื่องอะไรเหรอคะ? ถ้าเป็นเรื่องอาการโดยทั่ว ๆ ไปมันก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ ลินคิดว่าลินแข็งแรงและสบายดี จะมีปัญหาก็เพียงแต่ว่าลูกยังไม่ได้กินนมของลินก็เท่านั้น”
มัสลินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนว่าไม่ใส่ใจนัก หัสวีร์ขยับเข้าไปใกล้เขาอดที่จะชะโงกหน้าเข้าไปดูทารกน้อยที่กำลังกินนมแม่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กกำลังใช้ความพยายามในการดูดนมเพื่อให้น้ำนมไหลออกมา ภาพที่ปากเล็ก ๆ กำลังอมยอดอกของมัสลินนั้นช่างน่ามองเสียนี่กระไร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหนูน้อยดื่มกินนมจากอกของแม่ที่สำคัญคือเขารู้อยู่แก่ใจว่าทารกเกิดใหม่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ในช่วงเวลานั้นความรู้สึกสำนึกผิดกลับแล่นปราดขึ้นมาจากหัวใจของนายแพทย์หนุ่ม สายตาของเขาที่จ้องมองทารกน้อยทำให้มัสลินกอดกระชับลูกไว้ในอ้อมกอดราวกับว่ากลัวเขาจะยื้อแย่งไปกระนั้นเพราะแม่หนูน้อยน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน
“พี่วีร์อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ ลินจะให้นมลูก”
“ลินเลี้ยงลูกคนเดียวอย่างนั้นเหรอ?”
“ค่ะ...ก็นี่เป็นลูกของลินนี่คะ ลินอุ้มท้องแล้วก็คลอดเขาออกมา แล้วพี่วีร์คิดว่าใครจะมาช่วยลินดูแลลูกกันล่ะคะ
“ลินต้องแจ้งเกิด เด็กต้องมีพ่อนี่ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เห็นจะยากเลยนี่คะพี่วีร์...ลินก็แค่แจ้งว่าพ่อของเด็กน่ะเสียชีวิตไปแล้ว และเราก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสด้วยกัน ลินนก็คือแม่เพียงคนเดียวของลูกเท่านั้น”
น้ำเสียงจริงจังและคำตอบนั้นของมัสลินทำให้หัสวีร์ถึงกับผงะงัน ความรู้สึกหลายอย่างจู่โจมเข้าไปในหัวใจของเขา ท่าทางของมัสลินยังโกรธมาก โกรธที่เขาเคยปฏิเสธ ไม่ยอมรับทั้งเธอและเด็กในท้องซึ่งก็นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ที่เขาได้พบเธออีกครั้งและพบหน้าหนูน้อยที่แสนน่ารักน่าชังจะทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ
“แล้วลินเลี้ยงลูกเองคนเดียวได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่เห็นแปลกเลยค่ะพี่วีร์ ลินอยู่กับตัวเองมาตั้งนานแล้วตอนที่อุ้มท้องลูกของลินก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอดถึงแม้ว่าจะต้องไปทำงานแต่ก็โชคดีที่เจ้านายกับเพื่อนร่วมงานมีน้ำใจกับลินทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกับลินแต่ก็ยังอุตส่าห์แสดงมิตรไมตรีแสดงน้ำใจให้ความช่วยเหลือลินทุกอย่าง มันก็น่าตลกดีนะคะ ครั้งหนึ่งลินเคยพยายามจะให้คนที่ลินรักเขาหันมารักมาสนใจและคิดว่าจะฝากชีวิตของลินกับลูกไว้กับเขาได้แต่ทำไปทำมากลับกลายเป็นว่าคน ๆ นั้นผลักไสลินออกจากชีวิตของเขา ลินเข้าใจค่ะว่าเขาต้องการอิสระและไม่ต้องการภาระผูกพันเพราะฉะนั้นแล้วรินก็ต้องหันกลับมาให้กำลังใจตัวเอง ต้องพยายามสู้ชีวิตและคับประคองตัวเองกับลูกในท้องให้ผ่านพ้นเวลาที่ยากลำบากไปได้ แล้วรินก็ผ่านพ้นมันมาได้จริง ๆ ค่ะ”
“ลิน...พี่...”
หัสวีร์อึกอักอักและขณะที่เขากำลังกลั่นกรองความคิดของตัวเองเพื่อที่จะบอกอะไรบางอย่างกับมัสลินประตูห้องก็เปิดออกและใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมด้วยข้าวของที่หอบหิ้วมาเต็มไม้เต็มมือ
“ลิน...เป็นยังไงบ้าง แม่หนูน้อยของฉันตื่นแล้วใช่ไหม?”
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดลำลองแต่ก็ดูเรียบหรูหอบหิ้วข้าวของมาตั้งเอาไว้บนโซฟาข้างเตียงผู้ป่วยก่อนที่จะหันกลับมา และเมื่อเห็นว่ามีนายแพทย์ยืนอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้เขาก็ยกมือไหว้และกล่าวว่า
“สวัสดีครับคุณหมอ....ไม่ทราบว่าคุณหมอเข้ามาตรวจเยี่ยมอาการของคนไข้ใช่ไหมครับ?”
หัสวีร์พยักหน้าและตอบว่า
“ใช่ครับ...ผมคือหมอหัสวีร์เป็นแพทย์ที่ผ่าตัดคลอดให้กับคุณมัสลินครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับคุณหมอ...ผมแดนสรร เป็นเพื่อนของมัสลินครับ เป็นคนเฝ้าไข้ลินด้วย แล้วไม่ทราบว่าตอนนี้อาการของ ลินหลังผ่าตัดคลอดเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ผมก็เพิ่งเข้ามานี่ล่ะครับคุณแดนสรร ก็จะเข้ามาสอบถามอาการโดยทั่ว ๆ ไปหลังจากการผ่าตัดคลอด แต่ดูท่าทางคุณแม่กับลูกก็แข็งแรงดีครับเพียงแต่ว่าคุณแม่จะต้องใช้ความพยายามให้นมลูกสักหน่อยเพราะว่าคนที่ผ่าตัดคลอดน้ำนมจะมาช้าเท่านั้นครับ”
หัสวีร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มันราบเรียบมากที่สุดทั้งที่ในหัวใจของเขากระตุกเต้นแรงเมื่อได้เห็นแดนสรรที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของมัสลินและเป็นคนที่มาคอยเฝ้าไข้ แดนสรรเป็นผู้ชายตัวโตหน้าตาหล่อเหลาและดูสะอาดสะอ้านดูภายนอกเป็นผู้ชายหน้าตาคมเข้ม หัสวีร์อดที่จะนึกต่อไปไม่ได้เลยว่านอกจากเป็นเพื่อนแล้วแดนสรรยังมีอะไรพิเศษกับมัสลินอีกบ้างหรือเปล่า หากทว่าตอนนี้ความยินดีของเขากลับมีมากกว่าข้อสงสัยที่ติดลึกในใจเมื่อหันกลับไปเห็นแม่หนูน้อยที่กำลังกินนมจากอกแม่เสียงดังจุ๊บ ๆ ไม่ยอมหยุด