วันเวลาล่วงผ่านไปอีก 2 ปี
ฮูหยินใหญ่ไป่ยวี่สิ้นใจไปหลังจากหลินซีเพิ่งผ่านการปลุกชีพจรลมปราณได้ไม่นาน
เพี๊ยะ!
ท่านพ่อตบหน้าท่านแม่อย่างแรง พวกเราสามพี่น้องต่างอ้ำอึ้งและหวาดกลัว
ไม่เคยมีครั้งไหนสักครั้ง…ที่ท่านพ่อจะลงมือตบตีท่านแม่
“ท่านพี่…ฮึก”
“อย่ามาเฉไฉ!! หมอหลวงตามปกติแล้วจะต้องรักษาฮูหยินใหญ่ของจวนเจ้าเมืองก่อนผู้ใด แต่ทำไมตอนที่ไป่ยวี่กำลังอาการทรุดหนักถึงไปตามมาไม่ได้ จะต้องเป็นฝีมือของเจ้า!!”
“นางแพศยานั่นมีดีอะไรกัน? นางไม่สมควรได้รับการรักษาโดยหมอหลวงด้วยซ้ำ แค่หมอธรรมดาๆ ก็นับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว…”
“เจ้า!!”
“ตามธรรมเนียมปฏิบัติในแคว้นหลาน เชื้อพระวงศ์ของราชสกุลหลานที่มีอาการเจ็บป่วยจะได้รับการรักษาจากหมอหลวงก่อน เผอิญในช่วงนั้นท่านพี่ของข้าทรงประชวรกะทันหัน หมอหลวงจึงไปรักษาเขาก่อน ทำให้เชื้อสายของราชวงศ์จิ้นในอดีตต้องรอทีหลัง เพราะเป็นแค่เชื้อสายของราชวงศ์ที่ล่มสลาย เข้าใจไหมเจ้าค่ะ…ท่านพี่”
ท่านพ่อกําหมัดแน่นด้วยความโกรธ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก จากนั้นจึงเดินออกไปด้วยสีหน้าที่เสียใจและผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากท่านพ่อจากไป ท่านแม่ทรุดเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลนองบนใบหน้า ท่านพี่เสวี่ยนกงก็รีบเข้าไปประคอง ส่วนหลินเยว่ก็เดินตามท่านพ่อไป
หมายความว่าอย่างไร? ท่านพ่อไม่เคยทำร้ายท่านแม่มาก่อนเลยสักครั้ง เป็นเพราะนางเด็กไร้ค่าคนนั้นงั้นหรือ…ท่านพ่อจึงลงไม้ลงมือทำร้ายท่านแม่เช่นนี้ ไฟแห่งความโกรธเริ่มปะทุขึ้นในจิตใจของหลินฮวา
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกหลายเดือนจากวันนั้น
หลินฮวาและหลินเสวี่ยนกงต่างไม่สนใจไยดีต่อน้องคนเล็กสุดของบ้านเลยแม้แต่น้อย พวกเขาแกล้งหลินซีต่างๆ นาๆ ทว่าน่าแปลกใจที่หลินเยว่กลับไม่ทำตามคำสั่งของนางและท่านพี่เสวี่ยนกงเลย
“นางเด็กไร้ค่า อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไสหัวไปซะ!”
“ท่านพี่…” หลินซีเอ่ยเรียกเสียงสะอื้น หยดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลออกมาจากเบ้าตาของเด็กสาวขณะมองมายังหลินฮวา
ปั๊ก!
หลินฮวาเตะไปที่ร่างบอบบางของน้องคนเล็กสุดอย่างแรง จนร่างนั้นปลิวกระเด็นถลากับพื้นออกไปหลายสิบก้าว
“ไสหัวไปซะ! อย่ามาเรียกข้าว่าพี่อีก…” หลินฮวากล่าวเยาะเย้ย ในดวงตาสีมรกตที่ส่งออกไปเป็นสายตาที่ดูถูกดูแคลนราวกับว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่ง
ดวงเนตรอำพันของเด็กสาวตัวเล็กมีน้ำตาใสๆไหลพราก ร่องรอยแห่งความเสียใจและไม่เข้าใจพาดผ่านไปมาบนดวงตาคู่งาม
หลังจากวันนั้น…ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
หลินซีป่วยหนัก… หยู่เจี่ยสาวใช้ของนางเด็กนั่นมาคุกเข่าขอร้องท่านพ่อที่หน้าเรือนหลักเพื่อขอให้ส่งหมอไปรักษาอาการป่วย
นี่มันชักจะข้ามหน้าข้ามตาท่านแม่ของนางเกินไปแล้ว!
ในห้องของหลินซีตอนนี้มีหมอวิ่งเข้าวิ่งออกไม่หยุดหย่อน เพื่อที่จะรักษาเด็กสาวเพียงคนเดียว
หลินฮวาในตอนนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตอนที่ท่านแม่และตัวนางล้มป่วยยังไม่เคยมีหมอวิ่งเข้าวิ่งออกมากขนาดนี้มาก่อนเลย
หลังจากหลินซีไม่ได้สติมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ ในที่สุดนางก็ฟื้นขึ้นมา และในวันเดียวกันนั่นเอง…นางก็มาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่โถงหลักของตระกูลด้วย
ทำไมไม่ตายไปซะ!
ทว่าหลินซีเดินเข้ามายังโถงหลักของตระกูลด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีความหวาดกลัวบนใบหน้าหน้าเลย ดวงเนตรสีอำพันคู่นั้นทอประกายความเย็นประดุจภูเขาน้ำแข็ง สายตาที่นางจับจ้องไปยังผู้คนบนโต๊ะอาหารคล้ายกับไม่รู้จักใครเลย (ไม่รู้จักจริงๆ)
ครอบครัวของเราเริ่มการทานอาหารด้วยความความกระอักกระอ่วนในใจเล็กๆ ทว่าบรรยากาศก็เริ่มกลับมาชื่นมื่นดังเดิม พวกเราชวนท่านพ่อคุยอย่างสนุกสนาน หลินเยว่ก็กินข้าวพลางอ่านตำราประหลาดพลาง ทั้งชีวิตนางจะมีแต่หนังสือหรืออย่างไร?
ส่วนท่านพี่ยังคงเหน็บแนมหลินซีอย่างสนุกปาก แต่ผิดคาดหลินซีกลับทานอาหารอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใครเลย หลังจากกินเสร็จก็ขอตัวกลับห้องทันที
เห็นพวกเราเป็นอากาศธาตุหรือยังไงกัน!
“ข้าบอกให้เจ้าหยุด…ไม่ได้ยินหรืออย่างไร! คมมีดวายุ” ท่านพี่เสวี่ยนกงปามีดที่ผสมผสานธาตุลมพุ่งใส่หลินซี
ตายแน่นางเด็กไร้ค่า!
หมับ
ฉึก!
หลินฮวาสะดุ้งโหยง นางเด็กไร้ค่าคนนั้นกลับคว้ามีดที่ท่านพี่ปาออกไปอย่างง่ายดาย และปากลับไปยังเก้าอี้ที่ท่านพี่เสวี่ยนกงกำลังนั่งอยู่ อีกแค่นิดเดียว…มีดนั้นจะปักคอท่านพี่อยู่แล้ว
ท่านพี่เสวี่ยนกงถึงกับหน้าซีดเหงื่อไหลไม่หยุด…
“นี่มันอะไรกัน?” ท่านแม่ลุกขึ้นมาตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวจากการกระทำของหลินซี ส่วนหลินเยว่ก็ยังคงอ่านหนังสืออยู่ตามปกติ ทว่าครั้งนี้กลับต่างจากเดิมเล็กน้อย นางกำลังขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างในหนังสือ
เยว่เอ๋อร์ช่างแปลกนัก!
“ผู้ที่คิดจะทำร้ายคนอื่น คือคนที่พร้อมจะถูกทำร้ายกลับ จำใส่หัวไว้ซะ…” นี้มันเรื่องบ้าบออะไรกัน? ...หลินซีโต้กล้าตอบพวกเราด้วยน้ำเสียงยโสโอหัง
ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ! อีกทั้งท่านพ่อยังเข้าข้างมันอีกด้วย นะ…นี่มันจะมากเกินไปแล้ว