หลังออกมาจากหอรักษาของสำนักชั้นนอก หลินเยว่และหลินซีมุ่งตรงไปยังตำหนักคุมกฏทันที
หลินซีสังเกตบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วน แต่ล่ะส่วนของสำนักล้วนถูกออกแบบให้ดูหรูหราและยิ่งใหญ่ สมกับเป็นสำนักศึกษาหลวงที่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็มาถึงยังด้านหน้าตำหนักใหญ่โตมโหฬาร ที่ด้านหน้าทางเข้ามีป้ายที่ทำจากทองคำสลักอักษรไว้ว่า ‘ ตำหนักคุมกฏ ’
“พวกเรามาถึงยังตำหนักคุมกฏแล้ว รอพี่ประเดี๋ยวหนึ่งนะ…” หลินเยว่กล่าวจบขึ้นพลันเดินไปแจ้งให้ทหารหลวงที่เฝ้ารักษาการณ์หน้าทางเข้าของตำหนักทราบ
“.....”
นี่มันตำหนักหรือพระราชวังกันแน่…ช่างใหญ่โตโอ่อ่านัก
หลังจากหลินเยว่พูดคุยกับทหารหลวงเสร็จ ก็เดินกลับมาหาหลินซี
“ตำหนักคุมกฏช่างใหญ่โตโออ่านัก…ท่านพี่”
“ก็อย่างที่เจ้าเห็น ทว่าจริงๆ ตำหนักแห่งนี้มีไว้สําหรับตัดสินโทษของพวกชนชั้นสูงเช่นพวกเรา ถ้าเป็นสามัญชนจะไปติดสินอีกสถานที่หนึ่ง”
มิน่าเล่า…ทำไมตำหนักคุมกฏจึงดูโหญ่โตและหรูหรากว่าตำหนักอื่นในสำนัก แท้จริงเป็นเช่นนี้นี่เอง…
จากนั้นทั้งสองพลันเดินเข้าไปยังด้านในตำหนักทันที พร้อมกับเสียงประกาศดังก้องของทหารหลวง “คุณหนูหลินเยว่ และ คุณหนูหลินซี มาถึงแล้ว…’’
ต้องประกาศชื่อด้วยเรอะ….น่าอายยิ่งนัก
หลังจากผ่านประตูทางเข้ามา ก็จะพบทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตา ทว่าพอเดินไปจนสุดทางเดินยาวกลับพบประตูอีกต่อหนึ่ง
พวกเขาให้เด็กทารกมาออกแบบตำหนักให้หรืออย่างไร? ช่างปวดเศียรเวียนเกล้ากับทางเข้าของตำหนักนักยิ่งนัก…
ด้านในตำหนักคุมกฏ
เสียงประกาศของทหารหลวง ทำเอาหลินฮวาสะดุ้งโหยงขณะนั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง
เสี่ยวซีมาด้วยงั้นเหรอ...อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีแท้ๆ จะมาทำไมกัน?
หลินฮวาที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้คุมกฏพลันรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คุณหนูหลินฮวา ยังฟังอยู่หรือไม่?” เสียงของผู้อาวุโสคุมกฏคนหนึ่งกระแทกเสียงดัง
“ขะ…ข้ากำลังฟังอยู่” หลินฮวากล่าวตอบเสียงสั่นเครือ
“คุณหนูหลินฮวาจากสกุลหลิน ทำผิดกฏร้ายแรงของสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่ ทำการประลองกับศิษย์ร่วมสำนักโดยมีจุดมุ่งหมายเอาชีวิตของคู่ประลอง อีกทั้งยังลอบใช้ศาสตร์อัญเชิญต้องห้ามของแคว้น ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจและหมิ่นเกียรติของราชวงศ์เป็นอย่างมาก ด้วยการกระทำผิดที่ร้ายแรงเช่นนี้ เจ้าจะได้รับโทษสูงสุดของตำหนักคุมกฏ มีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่วตำหนักหลังฟังคำตัดสินจากผู้คุมกฏ ในห้องโถงขณะนี้…เจ้าเมืองหย่งเฉินหลินเฟิ่งก็มานั่งรับฟังคำตัดสินของบุตรสาวคนโตด้วยเช่นกัน
ใบหน้าของเขาตอนนี้ดูเคร่งเครียดและกังวลเป็นอย่างมาก
ไม่นึกเลยว่าจะร้ายเเรงถึงปานนี้…กระทั่งผู้พิทักษ์กฏของราชวงศ์หลานยังลงมาตัดสินด้วยตนเองเช่นนี้
“ขะ…ข้ายอมรับแค่เรื่องการประลอง ตะ…แต่ว่าเรื่องที่จะเอาชีวิตน้องสาวของข้า ขอปฏิเสธ! แม้จะเคยโกรธกันมาก่อนก็จริง ตะ..แต่เรื่องการอัญเชิญมารอสูร บทความวิธีการอัญเชิญมันยังมีอยู่นะ ทั้งมันยังเป็นการอัญเชิญปกติด้วย”
หลินฮวาตวาดเสียงดัง น้ำเสียงของนางดูสั่นกลัวอย่างมาก ชั่วชีวิตนี้…ตัวนางไม่เคยคิดคิดฆ่าใครเลยสักครั้ง อีกทั้งศาสตร์อัญเชิญต้องห้าม วิชาอัญเชิญนี้มันมีอยู่ในหน้าสุดท้ายของตำราที่หลินเสวี่ยนกงมอบให้ ตำราเล่มนั้นไม่มีข้อความใดๆ เลยที่บอกว่ามันเป็นศาสตร์ต้องห้าม
ปัง!
“ข้ามีหลักฐานเรื่องการใช้ศาสตร์ต้องห้าม ยังจะมาแก้ตัวอีก…” ผู้พิทักษ์กฏของราชวงศ์กล่าวเสียงแข็งพร้อมเปิดตำราศาสตร์อัญเชิญซึ่งเป็นของกลางและเป็นหลักฐานชั้นดีในการกล่าวโทษ จากนั้นจึงยื่นมันให้กับหลินฮวาอ่าน
ทว่าพอหลินฮวาเปิดตำราศาสตร์การอัญเชิญเล่มนั้นอีกครั้ง และเปิดไปที่หน้าสุดท้ายของบทความกลับพบข้อความที่เขียนกำกับไว้ว่า ‘ ศาสตร์การอัญเชิญต้องห้าม ’
มะ…ไม่จริง ตอนนั้นมันยังไม่มีข้อความเช่นนี้เขียนเอาไว้เลย
“เเอบศึกษาศาสตร์อัญเชิญต้องห้ามด้วยตนเอง ทั้งยังคิดที่จะสร้างความวุ่นวายในเมืองหลวง คุณหนูหลินฮวาแห่งสกุลหลินจะถูกขับออกจากสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่ และจะถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน และโทษของการใช้ศาสตร์อัญเชิญต้องห้ามคือจะถูกทำลายตันเถียน…”
หลังจากได้ฟังคำตัดสินของผู้พิทักษ์กฏราชวงศ์ หลินฮวาหน้าซีดเป็นไก่ต้มพลันทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความอ่อนระทวย
การทำลายตันเถียนไม่ต่างอะไรกับให้ไปตาย เพราะการทำลายตันเถียนคือการทำลายจุดกักเก็บลมปราณ หากตันเถียนถูกทำลาย ลมปราณที่กักเก็บภายในตันเถียนจะเหือดแห้ง จะไม่มีการไหลเวียนของลมปราณไปหล่อเลี้ยงยังจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คนผู้นั้นถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้เลย หากชีพจรในร่างกายไม่มีการหล่อเลี้ยงโดยลมปราณ
การฝืนธรรมชาติแบบนี้เหมือนการทรมานร่างกายตนเองไปเรื่อยๆ ผู้ที่โดนทำลายตันเถียนจะแม้จะไม่เสียชีวิตในทันที ทว่าสุขภาพของพวกเขาจะทรุดโทรมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตายไปในที่สุด
“ข้าไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนั้น ทะ…ท่านพี่เสวี่ยนกง ท่านเป็นคนมอบตำราเล่มนั้นให้น้องเอง ท่านต้องเคยอ่านมันมาก่อนนี่…”
หลินฮวาไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาด นางหันไปขอความช่วยเหลือกับพี่ชายของตนเองด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มที
ทว่าหลินเสวี่ยนกงพลันสายศีรษะไปมาคล้ายปฏิเสธ ใบหน้าหล่อของเขาเผยรอยยิ้มประหนึ่งมารร้าย
ช่างเป็นเด็กที่ไร้ประโยชน์เสียจริง…
“น้องรอง…พี่เคยอ่านตำราเล่มนั้นมาก่อนก็จริง ทว่ายังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย พี่ขอโทษด้วยจริงๆ ผลการตัดสินของผู้พิทักษ์กฏมันออกมาแล้ว….”
หลินฮวามีสีเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกมีดนับพันแทงหัวใจ ทำไมท่านจึงพูดเช่นนั้นกันล่ะ? หยาดน้ำค่อยๆ ไหลรินออกมาจากเบ้าตาคู่งาม ไหล่บางไหวสั่นไม่เป็นจังหวะ
“ท่านผู้พิทักษ์กฏ มันจะต้องมีอะไรไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ได้โปรดตัดสินใหม่อีกครั้งด้วย…” พี่เยว่ฉานเอ่ยท้วงขึ้นมา
“พวกข้าเองก็สงสัยเช่นกัน เรื่องนี้มันจะต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่ ขอให้ท่านโปรดทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง…” หลิงมู่และเซวียนเจิ้นรีบเอ่ยแย้งขึ้นมา
แม้นิสัยของหลินฮวาจะไม่ดีไปบ้าง แต่นางก็ไม่มีทางที่จะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้แน่
เสียงเอะอะดังไปทั่วตำหนัก จนกระทั่งหลินเฟิ่งลุกขึ้นยืนจากที่นั่งพลางคุกเข่าลงที่ด้านข้างหลินฮวา
“ทะ…ท่านพ่อ” หลินฮวามองผู้เป็นพ่อที่คุกเข่าลงอย่างเสื่อมเสียเกียรติเพื่อตัวนางเอง
นางสมเพชตัวเองนัก…ที่ทำให้ท่านพ่อจะต้องมาเสื่อมเสียเกียรติเพื่อลูกสาวผู้โง่เขลาคนนี้
“ผู้พิทักษ์กฏ…ได้โปรดพิจารณาการตัดสินใหม่อีกครั้งด้วยเถิด ไม่มีทางที่ลูกสาวของข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้นได้ ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของประมุขตระกูลหลิน..” หลินเฟิ่งกัดฟันกรอดขณะเปล่งวาจา เหตุการณ์นี้ทำให้เขาต้องตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว…
“ฮืม…แล้วท่านมีอะไรมารับประกันให้ว่าลูกสาวของท่านจะไม่ทำเรื่องพวกนี้เล่า….” ผู้พิทักษ์กฏเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่แอบแฝงนัยยะบางอย่าง
ไอ้สารเลว! หลินเฟิ่งสบถในใจพร้อมเอ่ยของประกันออกไป
“ข้าจะใช้สมบัติประจำตระกูลหลินเป็นสิ่งประกัน แหวนเทวา…” กล่าวจบ หลินเฟิ่งพลันถอดแหวนสีทองออกมาจากนิ้วมือของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“อย่านะ…ท่านพ่อ แหวนวงนั้นมัน…” หลินฮวารีบเอ่ยห้ามด้วยเสียงสั่นเครือ
แหวนประจำตระกูลหลิน มันเป็นแหวนที่สะสมพลังฟ้าดินเอาไว้ภายในอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่ครอบครองมันก็เสมือนครองครอบแกนกลางของพลังฟ้าดินอันไร้ขีดจำกัด ซึ่งแหวนนี้นี่เอง…ที่ทำให้ตระกูลหลินครองความยิ่งใหญ่ในแคว้นหลานมาหลายสามร้อยปี
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว มันเป็นแค่แหวนวงหนึ่ง ชีวิตของลูกย่อมสำคัญกว่ามันเป็นเท่าทวี” หลินเฟิ่งกล่าวเสียงอ่อน แม้หลังจากนี้ตระกูลหลินจะไม่ใช่ตระกูลอันดับหนึ่งของแคว้นหลานก็ตามที
“ลูกขอโทษ ขอโทษ ฮึก…ขอร้องอย่าทำแบบนี้เพื่อลูกเลย” หลินฮวาร้องไห้หนักเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อได้ยินคำพูดของบิดา
ทําไมตอนถึงทำอะไรโง่เขลาเช่นนั้นลงไปกัน…
ผู้พิทักษ์กฏรับแหวนมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มพลางสวมแหวนเทวาไว้ที่นิ้วมือของตนเองทันที
“ช่างเป็นแหวนที่ทรงพลังจริงๆ ข้าจะพิจารณาเรื่องการขับไล่นางออกจากสำนักศึกษาหลวงอีกครั้ง แต่เรื่องการใช้ศาสตร์อัญเชิญต้องห้ามจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทัังสิ้น…”
ปัง!
หลินเฟิ่งลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ รัศมีพลังปราณแข็งกร้าวดั่งทะเลคลั่งแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตำหนัก
จอมยุทธ์ขุมพลังเซียนยุทธ์ขั้นสูงสุด…
ด้วยรัศมีลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงโปร่งของหลินเฟิ่ง ทำเอาทหารหลวงที่ประจำการอยู่ในโถงตำหนักคุมกฏทรุดลงไปกองกับพื้น เนื่องจากโดนแรงกดดันประหนึ่งขุนเขาทับร่าง
นี่คือพลังยุทธ์ของประมุขตระกูลลำดับที่หนึ่งของแคว้นหลาน จักรพรรดิสงครามหลินเฟิ่ง
“....คิดจะผิดสัญญากับข้าหรืออย่างไร? ไอ้บัดซบ...จิ้งหลัน”
“โอหังนัก ตัวเจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูลหลินที่รับใช้ราชวงศ์หลานมาหลายชั่วอายุคน แต่กลับพูดจาโอหังใส่ข้าผู้เป็นถึงผู้พิทักษ์กฏของราชวงศ์เชียวรึ!”
พลังยุทธ์ของผู้พิทักษ์กฏจิ้งหลันพุ่งทะลักออกมาอย่างมหาศาล หลังจากที่เขาได้ครอบครองแหวนไร้ขีดจำกีด ทำให้เขาประหนึ่งเป็นพยัคฆ์ติดปีก ระดับพลังของเขาพุ่งทะยานขึ้นสู่ขุมพลังกึ่งแดนสวรรค์ผันแปรชั่วคราว
ด้วยพลังยุทธ์ขอบเขตกึ่งแดนสวรรค์ผันแปร เพียงแค่การแผ่รัศมีลมปราณเพียงครั้งเดียว ทำเอาคนในตำหนักคุมกฎกับหอบหายใจแรง
หลินเฟิ่งที่อยู่เพียงขอบเขตเซียนยุทธ์ขั้นสูงสุด ไฉนจะต้านทานพลังที่แฝงเร้นในแหวนเทวาได้ เข่าข้างหนึ่งของเขาแนบกับพื้น ที่มุมปากพลันปรากฏคราบเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมา
“ท่านพ่อ…ข้ายอมแล้วๆ ข้าขอยอมรับโทษครั้งนี้” หลินฮวาร้องไห้พลางประคองผู้เป็นพ่อเอาไว้
รัศมีพลังของผู้พิทักษ์กฏจิ้งหลันมลายหายไปหลังจากสิ้นคำพูดของหลินฮวา ทั่วทั้งตำหนักสงบลงอีกครั้ง
“ไร้สาระมามากพอแล้ว…มีใครจะคัดค้านอีกหรือไม่? คำตัดสินของข้าถือเป็นที่สิ้นสุด การทำลายตันเถียนของคุณหนูหลินฮวาจะเริ่มในอีกสองวัน…” ผู้พิทักษ์กฏจิ้งหลันตัดสินอย่างเด็ดขาด ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากคัดค้านอีก
เยว่ฉานรีบลุกไปดูอาการของเจ้าเมืองหลินเฟิ่ง ส่วนหลิงมู่และเซวียนเจิ้นกำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจ
พวกเขาทั้งสองคนก็เป็นหนึ่งในบุตรชายของหนึ่งในเจ้าเมืองทั้งสี่เช่นเดียวกันกับหลินฮวา มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าพวกราชวงศ์คิดจะลดทอนอำนาจของเจ้าเมืองทั้งสี่ โดยพวกมันเริ่มที่ตระกูลหลินก่อนเป็นตระกูลแรก
“ข้าไม่ยอมเด็ดขาด” เจ้าเมืองหลินเฟิ่งตวาดลั่น ซุ่มเสียงของเขาเต็มไปด้วยโกรธเกรี้ยว
“ท่านพ่อ…อย่าทำให้ลูกรู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลย ลูกขอโทษสำหรับทุกอย่าง”
‘ พ่อจะช่วยลูกให้ได้ พ่อจะให้คนพาลูกหนีไปจากพิธีทำลายตันเถียนซะ ลูกไม่ต้องกลัว… ’ เจ้าเมืองหลินเฟิ่งโน้มตัวกระซิบที่ข้างหูผู้เป็นลูกสาวพลางลูบหัวเพื่อกลบเกลื่อน
หลินฮวาส่ายหน้าทั้งน้ำตา พร้อมเผยรอยยิ้มที่ดูเด็ดเดี่ยวออกมา
‘ ลูกจะไม่หนี ถ้าลูกหนีไป ตระกูลของเราก็จะโดนลงโทษจากราชวงศ์ไปด้วย ลูกจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของตระกูลต้องมาด่างพร้อย ลูกขอฝากน้องทั้งสองคนให้ท่านพ่อดูแลด้วยนะเจ้าค่ะ…’
ผู้พิทักษ์กฏจิ้งหลันแสยะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ ถึงคราวเรืองอำนาจของราชวงศ์หลานแล้ว ต้องขอบใจพี่ชายผู้โง่เขลาของเจ้าจริงๆ ที่ทำให้ข้าไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงมากมาย
“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นถึงประมุขตระกูลหลิน ข้าจะไม่เอาความเรื่องหมิ่นประมาทข้าเมื่อครู่ คําตัดสินของข้าถือเป็นที่สุด ข้าขอปิด…” ผู้พิทักษ์กฏจิ้งหลันที่กำลังจะปิดการพิพากษาของตำหนักคุมกฏ
จู่ๆ มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากหญิงสาวทั้งสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาใหม่
แปะ แปะ
“ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเห็นการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมขนาดนี้มาก่อนว่าไหม?…ท่านพี่หลินเยว่”
“อืม…ไม่คาดคิดจริงๆ” หลินเยว่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ทั่วทั้งตำหนักคุมกฏมองไปที่หญิงสาวสองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ
โดยเฉพาะผู้พิทักษ์กฏของราชวงศ์หลานอย่างจิ้งหลันที่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางขบกรามแน่นจนเป็นสันขณะจับจ้องไปยังหญิงสาวเรือนผมสีเงินผู้งดงามดั่งนางฟ้าตรงหน้า
สายเลือดราชวงศ์จิ้นคนสุดท้ายที่น่ารังเกียจ หลินซี