ตอนที่ 12
“คู่หมั้นของเพื่อนคุณทำไมเค้าต้องคอยกลั่นแกล้งเธอด้วย ผมไม่เข้าใจ” เขาเอ่ยถามณัฐกานต์ ระหว่างที่รอดูอาการของจิรพิมนตร์หน้าห้องฉุกเฉิน
“ก็คุณฉายดนัยบอกว่าถ้ายัยมนตร์มันยอมกินข้าวหมดจาน เค้าก็จะถอนหมั้นแล้วก็ยกเลิกงานแต่งให้ไง แต่ยัยมนต์มันก็ยังไม่ทันได้กินเลยนะ สงสัยก่อนหน้านั้นต้องเป็นฝีมือยัยพัชนั่นแน่ ๆ ”
“ทำกันเกินไปแล้ว!!!”
“ใช่ ถ้ายัยมนต์กินข้าวในจาน มีหวังต้องจบชีวิตแน่ ๆ”
“ไอ้คุณดนัยนี่มันสำคัญมากถึงขนาดที่เพื่อนของคุณต้องยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเลยรึ”
“ก็คุณฉายดนัยบอกว่าถ้ามนตร์มันยอมนั่งทานข้าวจนหมด เค้าจะยอมถอนหมั้นแล้วก็ยกเลิกงานแต่งให้ไงคะ ยัยมนตร์มันถึงจะยอมนั่งกินข้าวต่อ แต่โชคดีที่กานต์ไปถึงเสียก่อน ก็เลยห้ามทัน นี่ขนาดยังไม่ได้กินกุ้งนะคะ แค่กินน้ำต้ำยำกุ้งที่ยัยนั่นแกล้งตักมาราดในจานข้าวเฉย ๆ”
"ไม่น่าเชื่อว่ากินไปแค่นั้น อาการจะหนักถึงขนาดนี้"
ระหว่างที่นั่งรอกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ณัฐกานต์ก็แอบเห็นนภัสสรอยู่แถวโซนผู้ป่วยนอก เธอจึงหันไปบอกกับเจตนิพัทธ์
“ยัยแม่เลขาฯ ตัวดีนั่นมาที่โรงพยาบาลนี้ด้วย สงสัยว่ามันคงจะแอบมาตามผลงานของมัน” ณัฐกานต์พูดด้วยความเจ็บแค้นและจะตรงเข้าไปเล่นงาน
“แล้วเค้าจะรู้ได้ยังไงว่าเราพามนตร์มาที่โรงพยาบาลนี้” เจตนิพัทธ์รีบห้ามเธอเอาไว้
“มันก็ต้องเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดหรือเปล่าล่ะ” ณัฐกานต์ใจร้อนและตอบเขาอย่างไม่พอใจ
“คุณเฝ้าอยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมไปสืบมาให้”
หลังจากนั้นเจตนิพัทธ์จึงแอบตามคู่ขาของฉายดนัยไป จนเห็นว่าเธอไปเยี่ยมใครบางคน เขาแอบสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ พอหลังจากที่หญิงสาวเดินออกห้องมาแล้ว เขาก็แอบไปยืนดู
หน้าห้องเขียนชื่อผู้ป่วยว่า ชูโชค เงางาม เจตนิพัทธ์อยากรู้จึงแง้มประตูเข้าไปดู ก็ถึงรู้ว่าชายคนดังกล่าวคือคนที่โดนเขาเล่นงานในคืนนั้น แต่ก็ต้องแปลกใจที่ผ่านมาหลายวันแล้วแต่เขายังไม่หายดี ก่อนจะนึกไปถึงเหตุการณ์คืนวันนั้น และคิดว่าตัวเองก็จะลงไม้ลงมือหนักไปหน่อย เจตนิพัทธ์รีบออกมาจากตรงนั้น แล้วก็มาเล่าเรื่องนี้ให้กับณัฐกานต์ฟัง
“แสดงว่ายัยเลขาฯ นั่น ไม่ได้มาสืบอาการป่วยของยัยมนตร์เหรอกเหรอ”
“ใช่แล้ว ผมจำหน้ามันได้ ผมเล่นงานจนมันหมดสติ ไม่คิดเลยว่าคนที่ช่วยมันจะเป็นเลขาฯ ของฉายดนัยไปได้”
“เรื่องนี้มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันแน่ ๆ” ณัฐกานต์ครุ่นคิด
“หรือว่าไอ้คุณฉายดนัยจะเป็นคนสั่งให้ชายคนนั้นมาจัดการกับเพื่อนคุณ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นตามความคิด
“ถึงเขาจะชอบกลั่นแกล้งยัยมนตร์ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นสั่งให้คนร้ายลากไปข่มขืนหรอกมั่งคะ” ณัฐกานต์วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้
“งั้นผมคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ปล่อยไว้แบบนี้เพื่อนของคุณคงไม่ปลอดภัยแน่ ๆ ” เจตนิพัทธ์อยากให้จิรพิมนตร์ไปอยู่ในความดูแลของตนเอง ยังไงเขาจะหาวิธีพาเธอไปอยู่กับเขาให้ได้ หรือไม่ก็ต้องหาวิิธีช่วยให้จิรพิมนตร์ถอนหมั้นกับฉายดนัยให้จงได้
หลังเลิกงานนภัสสรก็ไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิรพิมนต์ให้เพื่อนของเธอฟัง ติ๊กกี๋และนาว สองคนที่เป็นเพื่อนของนภัสสรหัวเราะเยาะจิรพิมนตร์กันอย่างสนุกสนาน
“ฉันยินดีด้วยนะที่แกสามารถตัดคู่แข่งออกไปได้” ติ๊กกี๋เอ่ยขึ้นกับเพื่อน
“ยังหรอก นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่เสียดายที่วันนี้มีคนมาช่วยมันไว้ได้ทัน”
“ใครกันเหรอ..ที่มาช่วยศัตรูของแก” นาวเพื่อนในกลุ่มเดียวกันที่เป็นนางแบบ เอ่ยขึ้นบ้าง
“ก็คุณเจตไง เจตนิพัทธ์ ทายาทธุรกิจหมื่นล้าน” นภัสสรตอบเพื่อน
“หูย!..เสียดายจัง วันหลังถ้าแกเจอเค้าอีก โทรมาบอกฉันด้วยสิ ฉันอยากเจอเค้าอีกสักครั้ง” นาวพูดขึ้นด้วยความเสียดาย
“เค้าคงจะอยากคุยกับแกหรอกนะ เห็นแต่ไปหาแม่นั่นทุกวัน ทั้งที่แม่นั่นมันก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วแท้ ๆ ” ติ๊กกี๋ตำหนิเพื่อน ก่อนจะหันมาถามนภัสสร
“แกว่าคุณดนัยของแกจะได้แต่งงานกับแม่นั่นจริง ๆ รึเปล่า” ติ๊กกี๋ถามด้วยความอยากรู้
“ไม่รู้สิ แต่เขาก็เคยบอกฉันว่า..เขาไม่ได้รักคู่หมั้นของตัวเอง ดูอย่างเวลาฉันแกล้งแม่นั่นสิ คุณดนัยยังไม่เคยว่าอะไรฉันเลยสักคำ”