'ตึกๆ'
เสียงเคาะไมค์เทสเสียงทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองสเตเดียมตามมารยาท ตอนนี้คณบดีและอาจารย์เริ่มพูดแล้ว แต่ระหว่างนั้นฉันก็ยังถามยัยเพลงอยู่เรื่อยๆ
"เมื่อก่อนฉันรู้จักกับเขาใช่ไหมเพลง"
"รู้จัก"
"แล้วทำไมเป็นแบบนี้"
"ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก แต่แกจำเขาไม่ได้เลยเหรอเดวา" ฉันจำไม่ได้เลย ตอนฉันตกต้นทุเรียนตอนประถมจริงอยู่ที่ความจำหาย แต่ไม่กี่วันความจำเก่าๆก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แถมฉันเช็คสมองแล้วด้วย หมอก็บอกว่าปกติ
ฉันนั่งมองตรง และเขี่ยนิ้วตัวเอง พยายามใช้ความคิดขนาดหนักหาคำตอบเรื่องผู้ชายคนนั้น แต่ยังไงก็จำไม่ได้...การบอกเล่าต่อปากไม่นานก็ลืม ถ้าอย่างนั้นมันคงต้องใช้ความรู้สึกเหมือนที่ยัยเพลงบอกจริงๆใช่ไหม
แต่ฉันจะหาคำตอบเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ไปทำไม?
ลืมไปแล้ว ก็แล้วไปสิ...
"อย่าคิดเลยแก เพราะเมื่อก่อนแกเคยพยายามคิดมาแล้วแต่แกก็ลืมเขาอีก แถมยังไปมีแฟนเป็นไอ้หน้าโง่ชื่อแฟรงค์ แกเป็นตัวแกแบบนี้แหละเดวา...เดี๋ยวเขาจัดการเอง"
"ฉันไม่ได้คิด ก็แค่สงสัยน่ะ" ฉันแกล้งตอบกลับไป และจริงๆแล้วไม่อยากให้เพลงรู้เลยว่าตอนจูบกับคนแปลกหน้าคนนั้นหัวใจฉันเต้นแรงแค่ไหน เดี๋ยวจะโดนแซวเอาเปล่าๆ
"จ้าาา งั้นรอดูสามีแกเป็นวิทยากรดีกว่า และรอดูด้วยนะว่าสาวๆจะกรี๊ดแตกแค่ไหน..."
ฮอตขนาดนั้นเชียว
ถึงในใจจะเถียงเพื่อน แต่สายตาฉันไม่ละออกไปจากเวทีเลย จนคณบดีของคณะเริ่มเอ่ยถึงเขา
คณบดี : ผมไม่อยากเสียเวลาเลยครับ เพราะเวลาหลังจากนี้มีค่ากับนักศึกษาทุกคนที่อยู่ที่นี่ ผมชื่นชมนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งมาก เขาเก่งและประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย และในอนาคตผมมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้ทุกคนลองได้รู้จักกับเขาครับ
นักศึกษา : กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
เสียงกรี๊ดปรอทแตกทำให้ฉันหันไปมองหน้ายัยเพลงอย่างไม่ตั้งใจ แต่ยัยเพลงกลับกอดอกแล้วยิ้มที่มุมปากกลับมา มีฉันคนเดียวรึเปล่าที่ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
จนได้ยินเสียงนักศึกษาสาวคนที่หนึ่งและสองดังอยู่ข้างหลัง
'แกๆเขาไม่ได้เจอตัวง่ายๆนะ'
'ใช่! ตึกสามสี่ตึกย่านทำเลทองเขาซื้อหมดแล้วแก บริหารเก่งมาก'
'เขามีแฟนยังนะ'
'ไม่มีหรอก คุณแทนคุณไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงเลย'
เขาชื่อแทนคุณ...
'หรือเขาเป็นเกย์'
และจากนั้นก็มีเสียงที่สามแทรกเข้ามา
'เขาไม่ได้เป็นเกย์ เขาเคยให้สัมภาษณ์นานแล้ว บอกว่ามีคนในใจอยู่'
'อ๋อ คนในใจคนนั้นฉันเอง'
'มโนเก่งงงงง'
'ก็อยากเป็นผู้หญิงโชคดีคนนั้นนี่หว่า!'
แล้วยัยเพลงก็โน้มมากระซิบฉันอีกคน
"แต่คนในใจคนนั้น...คือแกนะเดวา"
ค่ะ...หัวใจฉันกระตุกวูบ และหน้าก็ร้อนผะผ่าวจนถึงใบหู ถึงแม้ตาจะยังมองตรง แต่ภายในปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก จนเขาคนนั้นเดินออกมาพร้อมกับบอดี้การ์ดสองคนไปที่สเตเดียม เสียงกรี๊ดจากสาวๆก็ดังทวีคูณขึ้นเป็นสองเท่า
แต่ฉันต้องก้มหน้าลงเมื่อประสานสบตาเขา
เขาคนนั้น : สวัสดี ผมแทนคุณ
พอสาวๆจะกรี๊ดอีก บอดี้การ์ดก็ยกมือปราม ฉันจึงใช้โอกาสนี้แอบเงยขึ้นมองเขาอีกครั้ง
เขาคนนั้น : หลายคนอาจจะรู้จักผม แต่ก็ยังมีคนที่ยังไม่รู้จักผมเช่นกัน ผมขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมแทนคุณ วรพงศ์กุล ประธานกรรมการบริษัทไลออนคอนทรัคชั่น บริษัทอสังหาริมทรัพย์เบอร์ต้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากนั้นเขาก็แนะนำตัวต่อ...จนฉันได้รู้จักเขามากขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ อายุมากกว่าฉันสามสี่ปี แต่ตอนนี้มีอิทธิพลในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เป้าหมายของเขาคือการเติบโตที่ไม่หยุดอยู่กับที่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แววตานิ่งลึก ดูไม่ออกว่ารู้สึกยังไง แต่ทุกคนกลับตั้งใจฟังราวกับถูกต้องมนต์ แม้แต่ฉันเองก็ละสายตาไปจากเขาไม่ได้
เขาคนนั้น : ฉะนั้นแล้ว... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร อย่ากลัวการเผชิญหน้าและการล้มเหลว เพราะผลลัพธ์เป็นยังไง...มันอยู่ที่ตัวพวกคุณเอง
ทันทีที่พูดจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นกระหึ่มห้องประชุม ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะก้าวถอยหลังแล้วกระชับเสื้อสูทเดินออกไปพร้อมกับบอดี้การ์ด ขนาดคณบดีเดินผ่านยังไม่มองหน้าเลย เขาไม่แคร์ใครทั้งนั้น และเมื่อก้าวลงจากเวทีก็หายไปอย่างลึกลับพร้อมกับชายสูทดำ
จนฉันกับยัยเพลงลุกขึ้นบ้าง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับคอนโด
แต่รู้ไหมคะ...ผู้ชายแปลกหน้าที่ฉันเริ่มรู้จักคนนั้นยังอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา ฉันขับรถเปิดเพลงฟังนิ้วชี้เคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะ แต่ในหัวกลับคิดถึงเขา มันต้องมีอะไรสักอย่างสิ ต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น
ให้ตาย...ตั้งใจให้มันจบแค่นี้ แต่หยุดคิดไม่ได้เลย
เขาน่าค้นหาเป็นบ้า แถมยังจูบดีย์อีกต่างหาก~
ฉันจอดรถติดไฟแดง แล้วฟุบหน้าลงพวงมาลัยรถ
"โอ๊ยเดวา แกเป็นอะไร! มีเรื่องเขาในหัวมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ"
'ก๊อก ก๊อก ก๊อก'
ฉันเงยหน้าขึ้น และหันไปมองกระจกรถฝั่งตัวเอง จนเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเคาะกระจกรถและชี้บอกอะไรบางอย่าง ฉันจึงตัดสินใจเลื่อนกระจกลงเล็กน้อยเพื่อถาม สมัยนี้มิจฉาชีพเยอะ ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
"มีอะไรเหรอคะ"
"มีลูกแมววิ่งไปหลบใต้รถคุณค่ะ ช่วยเปิดไฟผ่าหมากและจอดรถอยู่ก่อนได้ไหมคะ"
ฉันพยักหน้าแล้วให้ความร่วมมือเธอ แถมยังเข้าเกียร์พีและใส่เบรกมือก่อนจะลงไปช่วย แต่ก้มๆเงยๆใต้ท้องรถไม่เห็นจะมีแมวสักตัวเลย
"แมวมันไปไหนแล้วคะ" ฉันเงยขึ้นถามผู้หญิงคนนั้น แต่เธอกลับเปิดประตูรถฉัน แล้วขึ้นไปนั่งล็อกประตูไว้
"เฮ้ยคุณ! รถฉันนะ!"
ฉันทุบกระจกรถตัวเองแล้วมองตัวเลขไฟแดงที่ลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้มันได้วิ่งไปที่เลขตัวเดียวแล้ว
"ช่วยด้วยค่ะ ผู้หญิงคนนั้นขโมยรถฉัน"
ฉันวิ่งไปบอกรถคันหลังและเคาะกระจกขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อคันนั้นเมินเฉยก็เดินไปหาอีกคัน จนเห็นรถหรูคันหนึ่งที่คุ้นตา ขาที่ก้าวของฉันก็หนักราวกับถ่วงหินไว้
รถเขาคนนั้น...
ใช่ ใช่ไหม
ฉันพยายามไม่มองเดินผ่านไปเคาะรถคันอื่น แต่เมื่อตัวเองผ่านประตูหลังเท่านั้นแหละ ประตูบ้านั่นก็เปิดออก พรึบ! พร้อมกับอ้อมแขนอันทรงพลังที่ฉุดฉันเข้าไป
"กรี๊ด ปล่อยนะ!"
"ไฟเขียวแล้ว..." เขาพูดขึ้นมาหลังใบหู และขณะนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปพอดี แต่ตอนนี้สุ่มเสี่ยงมาก! ฉันนั่งอยู่บนตักเขาแถมยังตัวเอนไปข้างหลังจนหลังแนบอกอีกด้วย
นี่มันอะไรกัน ฉันหนีจากความคิดตัวเองไม่ได้ไม่พอ ยังมาเจอเขาตัวเป็นๆอีก
"รถฉันโดนขโมย คุณต้องปล่อยฉันลงนะคะ"
"ฉันจะซื้อให้ใหม่..."
"แต่..."
"เงียบ"
"ไม่เงียบค่ะ คุณไม่มีสิทธิ์อุ้มฉันขึ้นรถแบบนี้ ฉันลูกมีพ่อมีแม่ ฉันมีศักดิ์ศรี อีกอย่างเราไม่ได้รู้จักกันขนาดที่จะทำอะไรแบบนี้ ปล่อยฉันลงค่ะ"
เขาโอบรัดฉันแน่นขึ้นแล้วกัดฟันกระซิบกลับมา
"แน่ใจ?....ว่าไม่รู้จักฉัน"
ตัวฉันแข็งทื่อเพราะไออุ่นจากริมฝีปากเขา และสมองปลาทองก็ดันกลับตาลปัตร หวนคิดไปถึงรสจูบหวานๆที่กลบความขมของวิสกี้
"นะ แน่ใจค่ะ"
"หรือฉันควรยัดเยียดให้เธอตั้งแต่ตอนนี้...เธอจะได้รู้จักฉันมากขึ้น" ว่าแล้วริมฝีปากร้อนก็ขบเบาๆที่ติ่งหูฉัน ฉันเอียงคอรับสัมผัส แต่ร้อนวาบไปทั่วร่างกาย หัวใจดวงน้อยแอบหวั่นไหว มันมีปฏิกิริยากับไออุ่นเขาอย่างชัดเจน
"ยะ อย่าทำนะคะ"
เมื่อเห็นว่าฉันปวกเปียก มืออันทรงพลังของเขาก็สอดเข้าใต้รักแร้อุ้มฉันหันหน้าไปหาตัวเอง ใช่ค่ะ...ท่ามันสุ่มเสี่ยงคูณสอง ฉันนั่งควบตักตาจ้องตา โดนอะไรบ้างก็ไม่รู้แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกอึดอัดเป็นบ้า
สายตาของเขาที่มองมาฉันคาดเดาไม่ได้เลย จนเขาค่อยๆใช้สายตาอันตรายคู่นั้นพินิจใบหน้า... ลำคอ มาจนถึงเนินอก
"เธอโตเป็นสาวแล้ว..."
"ใช่ เพราะเป็นประจำเดือนแล้วค่ะ"
พอรู้ว่าหลุดพูดอะไรออกไปฉันก็ยกมือปิดปากตัวเองทันที เกิดอะไรขึ้นกับเดวา ประโยคนั้นมันออกมาเองโดยที่ฉันไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ
แต่กลับกัน...ริมฝีปากสวยคู่นั้นยิ้มที่มุมปากอย่างไม่ถือสา
"แสดงว่ามีลูกได้..."
เขาพูดถึงการมีลูกทำไม เมื่อก่อนฉันเคยคุยแบบนี้กับเขาเหรอ
"เรารู้จักกันมาก่อนจริงๆเหรอคะ"
"ยิ่งกว่ารู้จัก..."
"ครั้งก่อนคุณบอกว่าเป็นสามีฉัน นั่นหมายถึงเรา..."
ยังพูดไม่จบนิ้วชี้เรียวก็แตะที่ริมฝีปากฉัน ตอนนี้แหละ...ฉันรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เย็นชาอย่างที่คิด เขากำลังร่ายมนต์สะกดบางอย่างผ่านแววตา
เพราะยิ่งมอง ฉันยิ่งอยากค้นหา และยิ่งโดนนิ้วชี้แตะริมฝีปากแบบนี้ มันยิ่งทำให้ฉันอยู่ใต้อำนาจแววตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉันมองตาเขา...
เขามองตาฉัน....
โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่ารถเคลื่อนไปที่ไหน และลืมรถมินิสีเหลืองของตัวเองไปอย่างไม่รู้ตัว