ตอนที่ 8
“คุยกับฉันก็มองหน้าฉันนี่! อย่าเอาแต่จ้องเลขาฯ แกอยู่ได้! ตอนนี้ยังเต่งมันก็ดูดีอยู่หรอก อีกหน่อยก็หย่อยก็ยาน อย่าหมกมุ่นให้มันมากนัก”
ร่างหนาเอนหลังกับเก้าอี้ท่านประธาน แล้วไขว้มือกอดไว้ที่อก ยกคิ้วขึ้นแล้วถามกลับ
“แล้วแม่ไม่ห่วงเด็กนั่นหรือครับ ไม่กลัวผมจัดการเด็กเส้นของแม่หรือไง”
“คิดจะหลอกล่อคนอย่างฉัน แกต้องเกิดทันรุ่นปู่ของแกโน่น คนอย่างแกไม่คิดจะแลหนูมนต์เขาหรอก....ฉันรู้” คุณประภาศรีเห็นมนต์นภาแล้วก็เลยแกล้งยั่วลูกชายไปอย่างนั้นแหละ ‘รับรองเจ้าพีร์เอ้ย! ถ้าแกได้เห็นหนูมนต์ แกไปไหนไม่รอดหรอกคอยดูเถอะ’
“มันก็ไม่แน่นะครับ ผมอาจเปลี่ยนใจ...แม่ก็รู้ว่าผมมันไว้ใจ ไม่ได้” คุณประภาศรีหัวเราะลูกชายก่อนตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านแต่กลับเขย่าขวัญอีกฝ่ายจนสั่นสะเทือน
“แกอยากจัดอะไรก็ได้ตามใจแก แต่ขอให้รู้ไว้! ถ้าแกมีอะไรกับหนูมนต์เมื่อไร เตรียมตัวเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสได้เมื่อนั้น....แกจะมีเมียชื่อมนต์นภาแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์!”
“มันไม่มีวันนั้นแน่นอนครับ คุณแม่เลิกคิดไปได้เลย” ลูกชายที่ แพ้ทางให้มารดาเค้นเสียงกระซิบลอดไรฟัน เพราะดูจากสายตามุ่งมั่นของคนตรงหน้าบอกได้คำเดียวว่า ‘เขาไม่รอด’ ลองคุณประภาศรีได้ออกโรงและประกาศโต้ง ๆ แบบนี้ต่อให้เขาปฏิเสธหรือค้านจนหัวชนฝาอย่างไร ท้ายที่สุดก็ต้องจบที่ความพอใจของผู้เป็นแม่อยู่วันยังค่ำ และในเวลานี้เขาก็เครียดเกินกว่าจะรับมือไหว จึงได้แต่หลับตาและพยักหน้ารับอย่างจำยอม
“ฉันจะคอยดู แล้วก็ดูแลหนูมนต์เขาดี ๆ ล่ะ แม่จะให้จัดโต๊ะทำงานของหนูมนต์มาไว้ในห้องแกนะ”
“แล้วแต่แม่เถอะครับ ถ้ามันทำให้แม่สบายใจ ผมไม่กล้าขัดหรอกครับ” พีรวิทย์พูดด้วยความเหนื่อยใจ
“ชี้! ก็ลองขัดดูสิ ฉันจะจัดการผู้หญิงของแกไม่ให้เหลือสักคน” คุณประภาศรีขู่ลูกชาย
“บอกแล้วไงครับ...ผมตามใจแม่ แม่มีเรื่องอื่นจะคุยอีกไหม ครับ ถ้าไม่มี...” คุณประภาศรีแอบเห็นลูกชายส่งสายตาให้เลขาฯ ของเธออีกครั้ง แม่ก็คนนี้ก็จริง ๆ เลยเห็นพีรวิทย์เป็นไม่ได้
“มี” คุณนายใหญ่แห่งบริษัทในเครือธีระทรัพย์ตวัดสายตาอันเฉียบขาด พร้อมทั้งตวาดเสียงเข้มไปที่เลขาฯ สาวของเธอจนฝ่ายที่เดินเข้ามานั้นสะดุ้งเฮือก ตาเหลือกโพลงด้วยความตระหนก
“ห้องฉันมันร้อนนักหรือยะ! ถึงต้องแหวกเสื้อโชว์เนื้อหนังอยู่นั่น....แล้วไอ้เสื้อที่ใส่เนี่ย ซื้อที่มันตัวใหญ่กว่านี้ไม่ได้หรือไง เห็นแล้วขัดลูกตาจริง ๆ กระดุมก็มีทำไมไม่ติด หรือจะให้ฉันช่วย”
“ตะ....ติดแล้วค่ะ ไม่เป็นไรค่ะท่านประธาน” เลขาฯ สาวกลัวรีบละล่ำละลักบอก มือเรียวทั้งสองข้างรีบตะครุบสาบเสื้อให้มาชิดกันเพื่อปิดบังปทุมถันอันอวบอิ่มล้นทะลัก พีรวิทย์เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ จึงออกปากขอร้องมารดา ให้ลดองศาดีกรีเดือดลงสักนิด
“อย่าดุนักเลยครับ ผมว่าแม่น่าจะให้โอกาสคุณภาวิณีได้พิสูจน์ตัวเองบ้าง” เสียงเข้มหงุดหงิดติดรำคาญถูกบังคับให้ลดระดับความกระด้างเหลือไว้เพียงความนุ่มนวล เขายอมอ่อนข้อให้มารดาทุกอย่าง ขอเพียงให้อย่าดุเลขาฯ ของเขานักเลย ขนาดว่าเขาไม่มีเลขาแม่ยังไม่ค่อยจะยอมให้เขา ยืมตัววิภาณีเลย บอกแต่ให้เขารอยัยเด็กเส้นมาเป็นเลขาฯ
“ยังจะต้องพิสูจน์อีกหรือเจ้าพีร์ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าอะไร มันเป็นอะไร! แกกับเลขาฯ ของฉันทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร กี่ครั้ง ฉันรู้ทุกอย่างนั่นแหละ..ฮึ! ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหมให้เลิกไอ้นิสัยกินไก่วัด ไม่เลือกหน้า แต่ในเมื่อแกทำไม่ได้ ยังกินไก่ไม่เลือกเวลาอยู่แบบนี้ ฉันก็คงต้องใช้วิธีที่ฉันคิดว่ามันน่าจะได้ผล...ฉันจะให้หนูมนต์มาเริ่มฝึกงานทันทีที่สัปดาห์หน้าเลยเป็นไง ส่วนเธอ...” คนพูดหันช้า ๆ ขยับตัวยืนขึ้น ก่อนค่อยๆ เดินมาหาเลขาฯ สาวที่ยืนรออยู่ตรงมุมห้อง พีรวิทย์ได้แต่มองตาม เพราะถ้าน้ำเชี่ยวแล้วเขายังฝืนเอาเรือเข้ามาขวางคงมีแต่ล่มกับจมดิ่งลงไปในพายุโทสะของมารดา
“ช่วยเลิกทำตัวเป็นปลิงคอยตามลูกฉันสักที และหวังว่าฉันจะไม่เจอเธอป้วนเปี้ยนใกล้ลูกฉันอีกไม่ว่าที่ไหนถ้าทำไม่ได้ฉันจะให้เธอลาออก” เสียงตบโต๊ะดังสนั่น พร้อมกับคำถามที่คาดคั้นน่าเกรงขาม มีผลกระทบต่อร่างงามโดยตรง เลขาฯสาวคุณประภาศรีสะดุ้งโหยงจนแทบร่วงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ปากบางที่อ้าค้างรีบเปล่งเสียงรับคำสั่งปนสะอื้น
“ขะ....เข้าใจค่ะ ดะ....ดิฉันจะทำตาม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณพีร์ อีกเลยค่ะ”
“ดีมาก” รอยยิ้มเยือกเย็นส่งผลให้อีกคนหนาวยะเยือกตามแนวสันหลัง ก็เคยได้ฟังมาบ้างว่ามารดาของรองประธานหนุ่มน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นสยองขวัญสั่นประสาทได้ถึงเพียงนี้ ส่วนตัวต้นเหตุที่ชินชากับมาดนางพญาของผู้เป็นแม่ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วถามมารดา
“แม่มีเรื่องจะคุยกับผมแค่นี้ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ก่อนนะครับ”
ออกจากห้องคุณประภาศรีมาได้ พีรวิทย์ก็รีบโทรกลับเบอร์ที่มิสคลอมาหลายสาย เขาแอบปิดเสียงไว้ แต่เธอก็ดันโทรไม่หยุด
“ฮัลโหล ว่าไงโรส”
“คุณพีร์ขา มาหาโรสหน่อยสิคะ วันนี้โรสเหงาจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับ วันนี้ผมต้องทำงาน” เพิ่งโดนคุณแม่เล่นงานมาเลยทำให้เขาไม่มีอารมณ์สักเท่าไหร่
เมื่อกลับมาที่ห้องรองประธานประตูด้านหน้าปิดลง ร่างสูงสง่าจึงขยับนั่งลงเก้าอี้ประจำตำแหน่ง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่มือหนายกขึ้นคลึงขมับเพราะเครียดจัดกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่
“โธ่เว้ย! นี่เราต้องทนเห็นหน้าเด็กนั่นทั้งวันจริงหรือวะ” พีรวิทย์สบถออกมาด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะขับรถยนต์หรูมาในตอนพักเที่ยง และจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังเดิมที่เขาคุ้นเคยในวัยเด็ก เพราะมันคือบ้านของคุณเพ็ญศรี แม่ของเขาพามาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าก็แผ่กิ่งก้านสาขา จนปกคลุมพื้นที่หน้าบ้านจนเกือบทั้งหมด ม้านั่งหินอ่อนและโต๊ะกลม ๆ เข้าชุดที่เขาชอบมากกลับถูกจับจองจากเจ้าของร่างเล็กที่เขาไม่ถูกชะตา กับมนต์นภายายเด็กจืดชืดที่มารดาพยายามยัดเยียดเข้ามาในวงจรชีวิต ของเขา จะไม่รับก็ไม่ได้เพราะคำสั่งคุณแม่ แม้แต่อดีตประธานบริษัทอย่างพ่อของเขา....ยังต้องยอม! พ่อเขาเสียไปก็ได้แม่ที่คอยเลี้ยงดูมาตลอด พีรวิทย์ไม่เคยขัดใจแม่เลยสักครั้ง
แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิดว่าอาทิตย์หน้าที่จะมาถึง ชีวิตการทำงานที่เคยกระชุ่มกระชวยจะเหี่ยวเฉาสักแค่ไหน เพราะนอกจาก ‘เด็กเส้น’ ของมารดาจะมีหน้าตาเป็นอาวุธแล้ว คุณประภาศรีคงต้องให้เธอคอยรายงานพฤติกรรมของเขาเป็นแน่
แล้ววันนั้นคงเป็นวันที่แย่ทีสุดในชีวิต วันที่พีรวิทย์จะต้องรับหญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบมาทำงานในตำแหน่งเลขาฯ คนใหม่ของเขา ที่คุณแม่เลือกให้ เพราะหลังจากเธอคนนั้นฝึกงานจบ ก็คงทำงานต่อเลย ‘สงสัยต้องขู่ให้หงอ จะได้ไม่กล้าหือกับเรา’