เก็บอาวุธ 1

1316 Words
การเดินทางไปยังวังหลวงใช้เวลาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันตามที่กำหนด ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด มีเพียงแต่หญิงสาวที่แต่ละวันหน้าตาอมทุกข์ ข้าวปลาอาหารก็ทานได้น้อย เมื่อนางอยู่คนเดียวก็จะนั่งเหม่อไม่แม้จะมองทัศนียภาพข้างทางระหว่างการเดินทางเข้าเมืองหลวงแต่อย่างใด จวบจนขบวนมาถึงยังประตูเมือง แทนที่ขบวนจะนำไปยังจวนจวิ้นอ๋อง ทว่ามีกลุ่มชายแต่งตัวองอาจมาขวางขบวน "ข้าน้อยองครักษ์ขั้นห้า ขออภัยด้วย ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ท่านนายกองเฟิ่งสือนำขบวนของอนุจวิ้นอ๋องไปวังหลวงเพื่อพบกับฮองเฮา" "อ๋อได้สิ งั้นไปกันเลย" ขบวนก็นำนางไปยังวังหลวง เพื่อตรงไปหาฮองเฮา เมื่อถึงแล้วเหล่าข้าหลวงพาเสี่ยวหลานไปอาบน้ำ ขัดตัวและแต่งด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ก่อนที่จะพานางตรงไปยังวังเจาฉุน "เรียนฮองเฮา ข้าหลวงพาแม่นางหม่าเสี่ยวหลานเข้าเฝ้าเพคะ" "พานางเข้ามา" "เพคะ" หลังได้รับอนุญาต นางข้าหลวงก็เชิญเสี่ยวหลานเข้ามาโดยมีนางข้าหลวงสองนางคอยประคอง "เรียนฮองเฮา แม่นางเสี่ยวหลานมาแล้วเจ้าค่ะ" ฮองเฮาที่นั่งรอตรงเก้าอี้ประทาน จิบน้ำชาและลอบสังเกตเสี่ยวหลาน เห็นนางตัวสั่นงันงก นั่งคุกเข่าก้มศีรษะจรดพื้น ในใจก็นึกอยากขำถึงท่าทางดั่งกระต่ายน้อยที่ตัวสั่นเมื่อเผชิญกับนางสิงห์เช่นนาง จากนั้นพระนางก็วางถ้วยน้ำชาลงและหันหน้ามามองนางตรงๆ "เงยหน้าขึ้น ให้ข้าดูหน้าเจ้าให้ชัดๆ หน่อยสิ" เสี่ยวหลานได้ยินก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นทว่าดวงตากลับมิกล้ามองตรงไปยังฮองเฮา เอาแต่จ้องไปที่พื้นราวกับกำลังมองให้ทะลุเพื่อหาอะไรบางอย่าง "ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ เสี่ยวหลาน" ฮองเฮาตรัสถามเสียงกลั้วยิ้ม "เอ่อ..หา...หามิได้เพ...เพคะ หม่อมฉันมิกล้า พะ เพ..เพคะ " นางตอบเสียงตะกุกตะกัก เพราะนางประหม่าเหลือเกิน น้ำตาแทบจะไหลออกมาพร้อมกับวาจาที่เปล่งออกมา "ไหนเจ้ายืนให้ข้าดูเจ้าให้ชัดๆ กว่านี้สิ และเงยหน้าด้วย พื้นของข้าไม่มีอะไรน่ามองนักหรอก" "เอ่อ.. เจ้า..เอ่อเพคะ..." นางยืนเพื่อให้ฮองเฮาพิจารณานางอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในใจของฮองเฮาคิดโดยมิกล่าวสิ่งใดออกมา ‘นางยังดูอ่อนวัยนัก แต่ยังงามได้ถึงขนาดนี้ มิน่าเล่าหลงฉีถึงกล้าเอ่ยปากขอ เจ้าหลานชายตัวดีฉลาดเลือกนักนะ’ "เจ้ารู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าให้เจ้ามาเมืองหลวงเพราะเหตุใด" ฮองเฮาตรัสถาม "ทราบแล้วเพคะ" "เจ้าคงจะเสียใจมากสินะ แต่อย่างว่าถ้าเจ้าไม่อยู่กับจวิ้นอ๋องข้าก็จะพระราชทานชายสักคนให้แต่งกับเจ้า หวังว่าเจ้าคงจะฉลาดพอ" เสียงเรียบนี้กรีดเข้าที่หัวใจของเสี่ยวหลานจนนางตัวสั่นเทาขึ้นมา นางเงียบไปสักพัก ใบหน้าก้มลงสู่พื้นเหมือนเดิมก่อนตอบเสียงสั่น "เพคะ" "จวิ้นอ๋องเขาขาดแม่ตั้งแต่เล็ก จึงไม่มีใครดูแลอบรมสั่งสอน ส่วนบิดาตั้งแต่มารดาเขาเสียก็อยู่แต่ชายแดน ในตำหนักนั้นก็ไม่มีใครมากนักนอกจากพ่อบ้าน เจ้าเข้าไปก็ช่วยดูแลเขาแทนข้าด้วย เจ้ามีปัญหาหรือไม่" "..มะ ไม่มีเพคะ" "ดี...เจ้าพานางไปพบเฟิ่งสือเพื่อพานางไปจวนจวิ้นอ๋อง ข้าจะพักผ่อนแล้ว" "เพคะฮองเฮา" หลังนางข้าหลวงพาเสี่ยวหลานออกไปจากตำหนัก ฮองเฮาก็ยกมุมปากยิ้มที่ตนวางแผนหาอนุให้หลานชายได้ แต่ความหนักใจกลับตกที่เสี่ยวหลานนั่นเอง สองขาแสนจะหนักอึ้ง แทบจะไม่มีแรงก้าวลงจากรถม้า ความประหม่าระคนหวาดกลัวเข้ามาเกาะกินหัวใจอีกครั้ง ความกล้าหาญที่นางได้รวบรวมมาทั้งหมดได้ทลายสิ้น เมื่อครั้งเจอกับนางพญาหงส์แห่งแว่นแคว้น แต่ครานี้มันเหมือนกับสูบเลือดสูบเนื้อของนางจนวิญญาณแทบหลุดลอย นางจะทำอย่างไรดี หนี! แล้วนางจะหนีไปไหนได้เล่า ปลิดชีพตัวเองนางก็สุดแสนจะขลาดนัก ครอบครัวนางคงต้องลำบากเป็นแน่ ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ในสมอง ห้วงความคิดของนางก็พลันจบลงเมื่อม่านเกี้ยวถูกเปิดออกและได้ยินเสียงเรียกของชายผู้หนึ่ง "แม่นางเสี่ยวหลาน ถึงแล้วขอรับ" "เอ่อ..ข้า...ข้า ไม่ลงได้หรือไม่" "แม่นางไม่ลงไม่ได้หรอก" "ข้า... ข้าขอ...ขอนั่งตรงนี้สักพักได้หรือไม่ " "เอ่อ..สักครู่ก็แล้วกัน" ม่านถูกปิดลงอีกครั้ง ทำให้นางพยายามรวบรวมความกล้าของตนอีกครั้ง แต่ไหนเลยจะทำได้เล่า มือเท้านางเย็นซีดเช่นนี้ ใจสั่นและเต้นไม่เป็นจังหวะคล้ายกลองที่ตีรัว ตัวนางเริ่มสั่นทั้งๆ ที่มิมีอันใดเกิดขึ้นกับนางเลยแม้แต่น้อย นางพยายามหายใจเข้าปอดลึกๆ แต่ก็ไร้ผล นางพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า จนตนเองต้องปิดตาลง ใช้หัวพิงไปด้านหลังเพื่อให้ร่างกายที่หมดแรงจากความกลัวได้ผ่อนคลาย "ข้าต้องกล้า มันจะไม่มีอะไร" นางพูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา แทบจะไม่มีใครได้ยิน หลังจากนั้นนางก็หายใจเฮือกใหญ่และเปิดผ้าม่านออกเองเพื่อลงจากรถม้า สายตาเห็นคนยืนรอรับนางอยู่ที่หน้าประตูจวน ใบหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มบ้าง บางคนเพิกเฉยเพียงแต่ใบหน้าที่เด่นชัดคือใบหน้าแห่งความอยากรู้อยากเห็นนายผู้หญิงแห่งจวนจวิ้นอ๋อง นางลงจากรถมาโดยมีบ่าวรับใช้สองคนคอยประคอง บ่าวทั้งสองมีอายุมากกว่านาง อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปีที่คอยประคองนางให้ยืนมั่นคง "แม่นางเสี่ยวหลาน ข้าน้อยหมิงเจวี้ยนเป็นพ่อบ้านที่นี่ขอรับ เชิญแม่นางตามข้าน้อยเข้าจวนขอรับ" พ่อบ้านกล่าวพร้อมเคารพ "เอ่อ เจ้าคะ" เสี่ยวหลานได้ยินเช่นนั้นก็ย่อกายทำความเคารพตอบอย่างที่ไม่สมควรทำเพราะฐานะนางนั้นมากกว่าแต่นางยังคงปฏิบัติเพราะครอบครัวนางสอนมาเยี่ยงนั้น นางเดินตามพ่อบ้านเข้าไปยังประตูจวน เมื่อก้าวพ้นประตูจวนนางยังคงเดินตามพ่อบ้าน ที่หน้าตายิ้มแย้ม ระหว่างที่เดินสายตาของนางได้สำรวจโดยรอบแบบกล้าๆ กลัวๆ สิ่งที่เห็นตลอดทางเดินคือเหล่าทหารที่ยืนประจำการ ตามจุดต่างๆ อาณาบริเวณโดยรอบมีพื้นที่ใช้สอยมากยิ่ง เรือนแต่ละหลังดูโอ่อ่า ภูมิฐาน บางเรือนถึงขั้นวิจิตรตระการตา ถึงแม้จะน้อยกว่าวังหลวงมากนักทว่าในสายตาของหญิงชาวบ้านเช่นนางแล้วนี่เปรียบได้ดั่งสวรรค์ เสี่ยวหลานยังคงเดินตามพ่อบ้านจนมาสิ้นสุดที่เรือนหลังหนึ่ง ป้ายประตูเรือนเขียนไว้ว่า ***เรือนชูเลี่ยน (รักแรก) นางพูดในลำคอ แต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ "ฮูหยินน้อย นี่คือเรือนของท่าน จวิ้นอ๋องได้สั่งข้าน้อยไว้ให้เตรียมเรือนหลังนี้ให้กับท่าน" "แล้ว.. เอ่อ ทะ ท่าน เอ่อ..." "ฮูหยินน้อยหมายถึงจวิ้นอ๋องหรือ? " "เจ้าค่ะ" "จวิ้นอ๋องไม่อยู่หรอกขอรับ ท่านไปราชการที่กองทัพกับท่านแม่ทัพ เพื่อคุยเกี่ยวกับการฝึกทหารใหม่" "ขอบคุณเจ้าคะ" นางถอนหายใจอย่างโลกอกด้วยความดีใจขึ้นมาอย่างน้อยนางก็ยังต่อลมหายใจอีกนิด "เชิญฮูหยินน้อยเข้าเรือนขอรับ" พ่อบ้านเชิญนางเข้าไปยังเรือนชูเลี่ยนพลางเอ่ยแจ้งกับนางว่าหากต้องการสิ่งใดให้แจ้งแก่บ่าวสองนางที่อยู่กับเสี่ยวหลาน จากนั้นจึงหันเดินจากไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD