ระหว่างที่อาร์ซูกำลังล้างคราบสบู่ให้ อารียาก็พยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากเงื้อมมือชีคจอมเถื่อนตลอดเวลา
จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง การอาบน้ำที่แสนผ่อนคลายก็ผ่านพ้นไป
อารียาในชุดอาบาย่าสีหวานยาวกรอมเท้า ก็ถูกอาร์ซูสาวรับใช้ส่วนตัวพามานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหารกับเจ้าของพระตำหนัก ที่มีร่างสูงสง่าในชุดกาลาไบยาสีทรายสะอาดยาวกรอมเท้าประทับอยู่ก่อนแล้ว
“รู้สึกว่าเจ้าจะตัวหอมขึ้นเยอะนะ ฮาบิบตี้” ชีคหนุ่มหยอดคำหวาน เรียกเธอว่า ‘ที่รัก’ แต่ทว่าอารียากลับรู้สึกหวาดหวั่นในใจลึกๆ ว่าภายใต้คำหวานนั้นอาจซุกซ่อนความคิดชั่วร้ายไว้ภายในก็ได้
“หม่อมฉันไม่ใช่คนรักของพระองค์ อย่าเรียกหม่อมฉันว่าฮาบิบตี้เลยเพคะ” อารียาเริ่มใช้คำราศัพท์กับชีควาคิลบ้าง เผื่อว่าจอมโจรทะเลทรายจะกลับใจพาเธอกลับไปส่งบ้านเกิด
“เจ้าพูดราชาศัพท์พอใช้ได้นี่ ภาษาของเจ้าดีไม่น้อย”ชีคหนุ่มกล่าวชม อารียาเพียงแค่ก้มหน้าอยู่ในอาการสงบแค่นั้น
พอดีกับที่สาวรับใช้นำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ อารียาจึงได้เงยหน้ามองอาหารแต่ละอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกอยากทานอาหารแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่ทานก็คงจะไม่ได้ เพราะท้องไส้เริ่มปั่นป่วนขึ้นมาทันทีที่ได้กลิ่นของอาหารที่เต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ
“ทานสิ เจ้าคงหิวแย่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจเรา ทานเยอะๆ จะได้มีแรง แล้วก็ไม่ต้องกลัวอ้วนนะ เราไม่ชอบผู้หญิงผอม แต่ประมาณนี้ก็กำลังดี”
ดูเขาพูดเข้าสิ เธอจะกินข้าวลงมั้ยเนี่ย จะกลืนลงคอได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าไม่ทานอะไรเลย เธอต้องหิวจนเป็นลมแน่ๆ หญิงสาวจึงเลือกทานมันบด กับน้ำซุปสีเหลืองทองที่ไม่รู้ทำมาจากอะไร แต่ก็คล่องคอดี
มื้ออาหารผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพราะอารียาต้องการถ่วงเวลาให้มากที่สุด อย่างน้อยเวลาทานข้าวเธอก็ยังมีอาร์ซูคอยรับใช้อยู่ห่างๆ และยังมีราชองครักษ์อยู่รายรอบถึงสองคน ก็ยังรู้สึกปลอดภัยกว่าการต้องอยู่กับเขาเพียงลำพัง แต่ถึงจะยืดเวลาไปอีกนานแค่ไหนก็คงไม่เกินครึ่งชั่วโมง เพราะอาหารเช้ามีแค่ไม่กี่อย่าง
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จแล้วชีคหนุ่มก็รับสั่งให้อาร์ซูและอาดัมพาอารียาไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ ที่อุทยานหลวง
ซึ่งอุทยานหลวงแห่งนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์พร้อมกับบ่าวรับใช้ของตนเองเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ แต่อารียาได้สิทธิพิเศษนั้นจากชีคหนุ่ม เพราะเธอเป็นนางสนมเอกที่ชีคแห่งดาร์บูย่าโปรดปรานมากที่สุดในตอนนี้
และอาร์ซูก็เชื่อว่าอีกไม่นาน นายสาวของเธอจะต้องถูกเลื่อนตำแหน่งไปเป็นท่านหญิงแน่ๆ และบางทีนายสาวของเธออาจจะโชคดีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงพระชายาหรือชีคคาของชีควาคิลก็ได้ใครจะไปรู้
“อาร์ซู”
“เจ้าคะ นายหญิง” อาร์ซูขานรับคำนายสาวของเธองงๆ ไม่รู้ว่านางมีเรื่องอันใดจะซักถามเธอ
“เธอมีคนรักหรือยัง”
จู่ๆ นายหญิงก็ถามคำถามที่เธอตอบยากขึ้นมาทำให้อาร์ซูทำหน้าไม่ถูกเลย ในเมื่อคนที่เธอแอบรักก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเธอเท่าไหร่นัก ทำให้สาวรับใช้ที่กำลังริเริ่มจะมีความรักต้องรีบก้มหน้างุดหลบสายตาจับสังเกตของคนเป็นนายพัลวัน
“เอ่อ...อาร์ซูยังไม่มีหรอกเจ้าค่ะ”
อาร์ซูรีบปฏิเสธไว้ก่อน เพราะสาวใช้ที่ตำหนักนี้ทุกคนไม่ต่างกับสมบัติของท่านชีค ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีคนรัก หรือไม่ก็ต้องรักแบบหลบๆ ซ่อนๆ ถ้าโชคดีหน่อยท่านชีคเมตตาก็อาจจะสมหวัง แต่นั่นต้องมาจากฝ่ายชายต้องเป็นคนไปทูลขอจากท่านชีคเอง
“ถ้าไม่มีแล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”
แล้วอารียาก็หันไปมองราชองครักษ์หนุ่มที่ลอบอมยิ้มเล็กน้อยเพราะได้ยินการสนทนาระหว่างอาร์ซูกับนายสาวทุกประโยค
“แล้วเธอล่ะ อาดัม เธอมีคนรักแล้วใช่มั้ย”
“เอ่อ...คือว่าผม...ผมยังไม่กล้ารักใครตอนนี้หรอกขอรับ” ทั้งๆ ที่รักหญิงสาวผู้นั้นอยู่เต็มอก รักมาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่อาจแตะต้องได้ นั่นเพราะเธอคือสมบัติของเจ้านาย คนที่เป็นเพียงแค่ทหารรับใช้จะมีสิทธิ์อะไร
“ที่เธอไม่กล้า เพราะเธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นมีเจ้าของแล้วใช่มั้ย”
อีกครั้งที่อารียาปรายตาไปทางอาร์ซู ก็พบว่าฝ่ายนั้นหลบตาเธออีกแล้ว หญิงสาวจึงพอจะเดาออกว่าสองคนนี้ต้องแอบมีใจให้กันเป็นแน่ แต่เพราะอาร์ซูเป็นสาวรับใช้ของชีคจอมเถื่อนนั่นหรือเปล่า อาดัมจึงไม่กล้าแตะต้องของของนายซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท
“เอ่อ นายหญิงขอรับ ทางโน้นมีดอกกล้วยไม้สวยๆ ที่มาจากประเทศไทยด้วยนะขอรับ” อาดัมรีบเบี่ยงประเด็นออกจากตัวทันที ก่อนที่จะต้องอยู่ในสภาพที่อึดอัดไปมากกว่านี้ เขาไม่รู้ว่านายสาวของเขาคนนี้มีจุดประสงค์อันใดจึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา
เชลยสาวพอจะเข้าใจว่าอาดัมคงจะอึดอัดที่จะคุยเรื่องส่วนตัวของเขาให้เธอฟัง แต่เพราะเธอต้องการอยากจะบอกกับทุกคนว่า เธอเองก็มีคนที่เธอคิดว่ามีใจให้เขาแล้วเหมือนกันที่เมืองไทย เธอจึงไม่อยากตกเป็นเมียของท่านชีคของพวกเขา และอารียาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาจับตัวเธอมาทำไม
แต่อารียาก็หยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านั้นก่อน แล้วก็เดินไปดูดอกกล้วยไม้สีสวยส่งกลิ่นหอมอยู่ตรงหน้า หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ในดินแดนที่เต็มไปด้วยทะเลทรายที่แสนจะแห้งแล้งและอบอ้าวเช่นนี้ จะยังมีดอกไม้สวยๆ อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย
“ใครเป็นคนนำดอกไม้พวกนี้มาปลูกเหรออาดัม” หญิงสาวถามด้วยความอยากรู้
“ดอกไม้บางอย่างท่านชีคเป็นคนนำมาจากประเทศไทยขอรับ พระองค์มีพระสหายอยู่ที่นั่น นานๆ ครั้งถึงจะเสด็จประพาสที่เมืองไทย”
อารียาพยักหน้าเข้าใจ และมีความรู้สึกอยากจะรู้จักชีคทะเลทรายคนนี้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“อาร์ซู”
“เจ้าคะ นายหญิง”
“ฉันยังไม่รู้จักชื่อของ เจ้านายของพวกเธอเลย เขาชื่ออะไรหรือ”
“พระองค์มีชื่อเต็มๆ ว่า ท่านชีควาคิล บินราอิด อันราอูล เจ้าค่ะ”
อาร์ซูตอบยิ้มๆ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้พูดถึงเรื่องราวของเจ้าเหนือหัวที่เธอเคารพบูชา ถึงแม้ว่าท่านชีคของเธอจะป่าเถื่อนกับคนที่ทำผิดไปบ้าง แต่สำหรับเธอยังไม่เคยถูกพระองค์ลงโทษแม้แต่ครั้งเดียว ท่านชีควาคิลใจดีกับเธอมากๆ แต่ที่เธอจำเป็นต้องพูดอะไรเกินจริงไปบ้างก็เพื่อให้นายหญิงคนใหม่ยอมทำตามพระประสงค์ของท่านชีคเท่านั้น
“แล้วทะเลทรายแห่งนี้ หรือว่าเมืองนี้มีชื่อเรียกมั้ย”
“ที่นี่คือ เมืองดาร์บูย่าเจ้าค่ะ เป็นเมืองที่มีองค์เอเมียร์ซาฮัล บินซาริด อันราอูล พระบิดาของท่านชีควาคิลเป็นผู้ครองนครเจ้าค่ะ”
อาร์ซูอธิบาย เพื่อให้นายหญิงของเธอเข้าใจมากขึ้น โดยไม่ได้สอดแทรกความคิดเห็นลงไปแต่อย่างใด เธอมีสิทธิ์แค่รายงานไปตามความจริงที่สามารถเล่าให้นายหญิงของเธอฟังได้เท่านั้น
“ฉันพอเข้าใจแล้วล่ะ ที่ดาร์บูย่ามีองค์ราชาเป็นประมุข ที่เมืองไทยของฉันก็มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข หรือคนไทยเรียกว่าในหลวง ฉันรักและบูชาในหลวงมาก พวกเธอเองก็คงจะรักและบูชาองค์เอเมียร์และท่านชีคของพวกเธอมากเหมือนกันสินะ”
อาร์ซูกับอาดัมหันมามองหน้ากัน ก่อนที่จะส่งยิ้มและพยักหน้ารับเล็กน้อยมาให้นายสาวของพวกเขาเป็นเชิงรับคำ
อารียาจึงคิดว่าหากเธอคิดจะให้สองคนนี้พาเธอหนีไปจากที่นี่คงจะยากเต็มที เพราะทุกคนคงไม่มีใครกล้าทรยศองค์เหนือหัวที่พวกเขารักและเคารพได้ ร่างบางจึงถอนหายใจออกมาอย่างทดท้อ แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว