“หนูขอเป็นลูกมือได้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรแค่ทำอาหารง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากหรอก”
“แต่หนูเกรงใจนี่คะ”
“เกรงใจทำไม ทางนี้สิต้องเกรงใจ พามาอยู่ด้วยแต่ปล่อยให้อยู่คนเดียวตั้งหลายวัน ขอโทษนะปิ๊งรัก พี่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนี้อีก”
“...คะ?”
พี่...เหรอ?
ขอโทษที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว...เหรอ
สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวอีก...เหรอ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“คะ? อ๋อ เปล่าค่ะ ขอบคุณนะคะแต่หนูอยู่คนเดียวได้ค่ะ เกรงใจแต่พี่นั่นแหละจะใช้งานหนูไม่คุ้มค่าจ้างเอานะคะ”
“หึ ๆๆ ถ้ากลัวไม่คุ้มค่าจ้างก็ช่วยกินอาหารที่พี่ทำให้หมดแล้วกัน ปกติไม่ค่อยมีใครกิน”
“คะ?” พูดซะน่ากลัวพูดจบก็ยิ้มอารมณ์ดีแล้วเดินเข้าไปในครัวเลยค่ะ อย่าบอกนะว่าพี่พกฤษ์เขาทำอาหาร...หมาไม่แดก เอ๊ย! สุนัขไม่รับประทานสิไอ้ปิ๊ง แหะ ๆๆ ^_^!
“ไปรอข้างนอกไป” ฉันเดินตามเข้ามาเพื่อเป็นลูกมือตามที่อาสาแต่พี่เขาที่กำลังเปิดตู้เย็นยืนพิจารณาวัตถุดิบในนั้นพูดออกมาหลังจากรู้ตัวว่าฉันยืนมองเขาที่ยืนมองของในตู้เย็นแต่ไม่ยอมหยิบอะไรออกมาสักทีอยู่พักใหญ่แล้ว
“แต่... / ไปเถอะน่า ไปทำการบ้านรอก็ได้”
“คะ?” การบ้านเหรอ? ใครจะไปทำล่ะไม่ใช่เด็กขนาดนั้นซะหน่อย -_-
“ไปทำการบ้านไง ไปเร็ว พี่จะทำอาหารแล้วอย่ามาเกะกะ”
“...ค่ะ” ฉันรับคำช้า ๆ แล้วเดินออกมาด้วยใจที่เต้นไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ก็...วันนี้พี่เขามาปรากฏตัวแบบไม่เหมือนเดิม ทั้งคำที่ใช้แทนตัวใหม่ ทั้งท่าทางอารมณ์ดีและการสนทนาที่เหมือนเราสองคนไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันเหมือนไม่กี่วันที่ผ่านมา
พี่พฤกษ์เขาเป็นคนยังไงฉันไม่รู้หรอกแต่ที่รู้คือวันนี้พี่เขา...น่ารักจัง -///-
-เวลาต่อมา-
“ปิ๊งรัก”
“คะ?”
“เสร็จแล้ว” พี่พฤกษ์เดินมาเรียกฉันที่ไม่มีอะไรทำเลยออกมารดน้ำต้นไม้ฆ่าเวลาให้เจ้าของบ้าน
“อ๋อค่ะ ขอโทษพี่ด้วยนะคะต้องออกมาตามเลย” เกรงใจจริง ๆ นะแต่พี่เขาแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วส่ายหน้า
“เรื่องแค่นี้เองขอโทษทำไม ไปครับไปกินข้าวกันเถอะ” พี่เขาบอกแล้วเดินไปปิดก๊อกน้ำให้ด้วยสิคะ
...ใจดีจัง
ฉันมองการกระทำของพี่พฤกษ์ที่ปิดน้ำแล้วหันมายิ้มบาง ๆ ให้ฉันก่อนที่พี่เขาจะเดินนำไปข้างในขาฉันก็รีบก้าวตามเพราะไม่อยากให้เจ้าของบ้านรอนานพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ
...ความรู้สึกที่เหมือนมีดอกไม้ดอกเล็กดอกน้อยสีพาสเทลบานอยู่เต็มทุ่งหญ้าสีเขียวขจี
ฉันเป็นลูกสาวคนเล็กค่ะ มีพี่ชายอยู่หนึ่งคนแต่รายนั้นสำมะเลเทเมาสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้พ่อแม่ไม่เว้นวันหนักเข้าเรื่องที่สร้างก็ลามมาลำบากถึงน้องสาวอย่างฉันจนตัวเองเอียนการมีพี่ชายไปเลย ไม่อินกับการเป็นน้องสาวที่มีพี่ชายปกป้องเลยสักนิดแต่พอมีวันนี้ได้เจอคนใจดีอย่างพี่พฤกษ์ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้รู้จักกันและยังไม่รู้จักกันดีฉันก็ดันเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ...ถ้ามีพี่ชายที่แสนดีแบบพี่พฤกษ์ก็คงดีเนอะปิ๊ง อยากให้พี่เขาเป็นพี่ชายของแกจัง ^^
“โห~ นี่พี่ทำเองจริง ๆ เหรอคะ แอบไปหยิบถุงกับข้าวในรถตอนไล่หนูออกไปจากครัวรึเปล่าเนี่ย” มาถึงโต๊ะอาหารเห็นอาหารสามเมนูบนโต๊ะฉันก็ตะลึงตาค้างไปเลยค่ะ มันดูน่ากินม๊าก~พอโดนถามพี่พ่อครัวที่เริ่มไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้วว่าเป็นพ่อครัวในมื้อนี้จริงรึเปล่าถึงกับยิ้มขำเลย
“ทำเองสิไปดูหลักฐานในครัวก็ได้” ดูจากหน้าเขาไม่น่าจะโกหกเลยนะคะ พอแน่ใจแล้วว่าเขาทำจริง ๆ ฉันก็ยิ่งแสดงอาการอึ้งมากขึ้นอีก
“...พี่ทำอาหารได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“ก็พอทำได้” ถ่อมตัวทั้งคำพูด น้ำเสียง แล้วก็สีหน้าเลยค่ะ น่าร้าก~
“แบบนี้ไม่เรียกว่าพอได้แล้วค่ะ นี่ระดับเชฟเลยมั้งคะ”
“ฮ่า ๆๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า พี่แค่เคยทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยเชฟตอนเรียนที่อังกฤษเลยได้ความรู้มานิดหน่อย”
“โห~” OoO
“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น” เขายิ้มขำหน้าฉันมากกว่าเดิมอีก แต่มันยังจำเป็นต้องถามด้วยเหรอว่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ต้องตื่นเต้นสิเพราะดูจากหลักฐานความรวยของพี่เขาแล้วคนแบบนี้ไม่น่าจะเฉียดเข้าใกล้คำว่าทำงานพิเศษแม้แต่ 0.001 เปอร์เซ็นต์
“ไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงรวยระดับนี้น่ะเหรอคะทำงานพิเศษ”
“อื้ม ตอนนั้นพี่ไม่ได้รวยไงคนที่รวยคือพ่อแม่พี่ต่างหาก ไม่อยากใช้เงินท่านเท่าไหร่เลยต้องทำงานหาเงินเองไปด้วย” พี่เขาอธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีสุด ๆ ระหว่างที่เล่าก็ตักข้าวให้ด้วยนะ ฉันที่กำลังฟังอยู่รีบรับจานข้าวจากเขาด้วยความเกรงอกเกรงใจแทบไม่ทัน
“เจ๋งสุด ๆ ไปเลยค่ะ” ^^
“เราก็เจ๋ง”
“คะ?” ฉันนี่นะเจ๋ง?
“เราก็ทำงานพิเศษเหมือนกันไม่ใช่รึไง”
“อ๋อ ก็ใช่ค่ะ” ^^
พี่เขาบอกว่าฉันเจ๋งถ้างั้นเจ๋งก็ได้ค่ะถึงแม้ความเจ๋งจะมาพร้อมเงินที่แทบจะไม่ชนเดือนก็ตาม^_^!
“เหนื่อยรึเปล่าล่ะ”
“หูย~ ขึ้นชื่อว่างานมันก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้วล่ะค่ะแต่พอเห็นเงินหนูก็หายเหนื่อยเลย” ^^ ฉันบอกตามความรู้สึกจริง ๆ เหงื่อมันเหม็นแต่เงินมันหอม เอาความเหม็นไปแลกความหอมยังไงก็หายเหนื่อย อิอิ
“หึ ๆๆ ก็จริงนะ แล้วพรุ่งนี้ไปไหนล่ะ”
“พรุ่งนี้วันหยุดหนูไปทำงานค่ะ”
“ทำงาน?”
“ใช่ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เจ๋งสุด ๆ ไปเลยใช่ไหมล่ะ
“แบบนี้เรียกแอบรับงานนอกรึเปล่า พรุ่งนี้พี่หยุดก็เลยไม่มีเพื่อนอยู่บ้านเลย” พี่พฤกษ์ยิ้มแบบยิ้มล้อเลียนฉันก็ยิ้มอ่อนทันที
“หนูขอโทษนะคะ มันเป็นงานที่รับเขาไว้แล้วค่ะ มีอีกสามอาทิตย์เลย หนูเทไม่ได้จริง ๆ ไม่งั้นหลังจากทำงานให้พี่เสร็จเขาไม่ให้หนูไปทำงานอีกแน่ ๆ แต่หนูสัญญาค่ะว่าหนูจะไม่รับงานเพิ่มแล้วหนูก็จะทำงานบ้านให้พี่ทุกอย่างเลยค่ะ” ฉันรีบอธิบายรีบสัญญา ถึงพี่พฤกษ์จะดูใจดีและต่อให้เขาเป็นคนที่ใจดีมาก ๆ ก็ตามฉันก็ไม่ควรเอาเปรียบความใจดีมีเมตตาของเขา พอพูดจบพี่เขาก็ยิ้มขำ
“ไม่เป็นไร งานที่นี่เป็นงานด่วนเองอย่ารับงานเพิ่มก็พอ ทำได้ไหม?”
“ได้ค่ะ หนูสัญญาเลยค่ะจะไม่รับงานเพิ่มเด็ดขาด”
“โอเค กินข้าวกันเถอะ” พี่เขาผายมือออกมาให้นั่งฉันก็รีบนั่งตามคำสั่งของเจ้านายทันทีแล้วจากนั้นก็เริ่มลงมือกินข้าวเย็นซึ่งขอบอกเลยว่าอาหารฝีมือพี่พฤกษ์อร่อยมาก~
“หนูไม่ได้ถ่ายรูปอัพลงโซเชียลเลย” กินเสร็จเหลือแต่ซากฉันก็เพิ่งนึกได้เลยเผลอพูดออกมาหงอย ๆ ปนงอแงนิดหน่อย
“หึ ๆๆ จำเป็นด้วยเหรอ” อย่ายิ้มเอ็นดูแบบนี้ได้ไหมคะ เห็นแล้วหนูมีความสุขเกินไป
“ก็ไม่จำเป็นหรอกค่ะแต่อาหารที่พี่ทำมันสวยแล้วก็อร่อยมาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้”
“ลงสภาพตอนกินเกลี้ยงแทบไม่ต้องล้างจานพี่ว่าพ่อครัวจะดีใจกว่านะ เพื่อนในโซเชียลเชื่อแน่นอนว่าอาหารอร่อยจริง ๆ”
“แต่มันไม่สวยนี่สิคะ”
“...” ฉันบ่นเบา ๆ แต่พี่เขาก็แค่มองฉันแล้วยิ้ม
“แต่ถ้าพ่อครัวจะดีใจหนูก็ยินดีลงค่ะ” ^^ ฉันยิ้มรับแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป ขยับมือถือซ้ายทีขวาทีหามุมดี ๆ โดยที่พี่เขาเองก็เอาแต่นั่งมองแล้วก็ยิ้มบาง ๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเขาขำนะรู้สึกเหมือนเขากำลังเอ็นดูต่างหาก
“มุมไม่ได้เลย” ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ตามองกล้องมือก็พยายามจัดจานให้ดูสวย ๆ อาร์ต ๆ เข้าไว้
“หึ ๆๆ ไม่ต้องหรอก สภาพมันก็ไม่สวยจริง ๆ แค่เห็นเรากินหมดเกลี้ยงคนทำก็ดีใจแล้ว”
“คะ? แต่... / พี่พูดจริง ๆ ไว้ทำรอบหน้าเดี๋ยวเตือนเองว่าต้องถ่ายรูปก่อนดีไหม?”
“...ค่ะ” ^^
ฉันตอบรับพี่เข้าด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยังกดถ่ายรูปต่อเพราะอยากเก็บเอาไว้ดู
พี่พฤกษ์ใจดีแล้วก็น่ารักจัง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นพูดจาแบบนั้น คงกลัวฉันจะแอบชอบเขาเหมือนคนอื่นจนเกิดปัญหาสินะ แต่ไม่หรอก ฉันคงไม่คิดอะไรกับเขาในทางเชิงชู้สาวหรอกเพราะตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกอยากมีพี่ชายที่อบอุ่นและใจดีแบบพี่พฤกษ์คนนี้มาก ๆ ต่างหากล่ะ ^^
-เวลาต่อมา-
ติ๊ด!
“...”
ผมนั่งจ้องบางอย่างในจอ ความจริงว่าจะนอนแล้วเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแต่ก็อยากรู้ว่าระหว่างที่ผมไม่อยู่เธอกินอยู่ยังไงบ้างเพราะผมแอบรู้สึกผิดที่บังคับให้มาอยู่เป็นเพื่อนแต่ผมดันปล่อยให้เธออยู่คนเดียวหลายวัน
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
ติ๊ด!
(คะนาย มีอะไรรึเปล่าคะถึงโทรหาแอร์เวลานี้)
“คุณมาบ้านผมเหรอ?”
(...)
“ผมถาม”
(...ค่ะ)
“มาทำไม?”
(แอร์เห็นนายให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเข้าไปอยู่ในบ้านแอร์กลัว...)
“ผมจำไม่ได้ว่าผมสั่งงานคุณว่าให้มาบ้านผม หรือผมสั่ง?” ปลายสายยังพูดไม่จบผมก็ถามแทรกก่อน
(..เด็กคนนั้นฟ้องนายเหรอคะ นายคะแอร์แค่เข้าไปดูความเรียบร้อยก็แค่นั้นเองค่ะ นายให้ใครเข้าไปอยู่ในบ้านก็ไม่รู้แถมปล่อยให้อยู่คนเดียวด้วยแอร์ห่วงความปลอดภัยของนายก็เลยเข้าไปดูแค่นั้นเองค่ะ) ผมฟังคำอธิบายที่ร้อนใจของปลายสายอย่างใจเย็น อยากรู้ว่าจะอธิบายว่ายังไงจะตรงกับกล้องวงจรปิดไหม แต่ก็นั่นล่ะ มันไม่ตรง จะตรงได้ยังไงในเมื่อไม่มีใครรู้สักคนว่าผมติดกล้องไว้ทั่วบ้าน ถ้ารู้ใครจะกล้าเข้ามาพูดจาแย่ ๆ แบบนั้นแล้วกล้าโกหกผมหน้าตาเฉย
“เขาไม่ได้ฟ้อง”
(ไม่ฟ้องแล้วนายจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ เขาพูดว่ายังไงบ้างคะนาย)
“ผมบอกว่าไม่ได้ฟ้องก็คือไม่ฟ้องแอริน ผมแค่ถามว่ามีใครมาบ้านผมบ้างตอนที่ผมไม่อยู่ก็แค่นั้น” ความจริงผมจะไม่โกหกก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าไม่ให้ใครรู้สักคนว่าบ้านผมมีกล้องติดไว้ทั่วบ้านเพราะฉะนั้นผมจะให้ใครรู้แค่เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้
(...เหรอคะ แอร์ขอโทษนะคะนาย แอร์แค่ห่วงกลัวเด็กคนนั้นจะไว้ใจไม่ได้)
“ทำไมถึงคิดว่าปิ๊งรักไว้ใจไม่ได้ในเมื่อผมเป็นคนพาเขาเข้ามาอยู่ในบ้านของผมเอง”
(ก็นายจ้างคนที่ไม่รู้จักมาอยู่เป็นเพื่อนนี่คะจะไม่ให้แอร์ห่วงได้ยังไง นายคะ แอร์แค่เป็นห่วงนายก็แค่นั้นเอง อย่า...)
“คุณล้ำเส้นผมแอริน บ้านของผมผมไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าออกได้อย่างอิสระ” ผมไม่รอให้ปลายสายพูดจบก็เอ่ยคำสั่งนี้ออกไป
(นาย~)
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ คุณรู้ดีว่าผมไม่สั่งงานลูกน้องซ้ำ”
(นายคะแอร์ทำงานกับนายมาตั้งนาน ที่เข้าไปก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของบ้านนาย สุดท้ายแอร์เป็นได้แค่คนนอกเหรอคะ? แล้วเด็กคนนั้นล่ะคะ นายเพิ่งรู้จักได้ไม่นานทำไมถึงยอมให้เขาเข้าไปอยู่ในบ้านได้) เหมือนแอรินจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ถึงไม่ยอมหยุดตั้งแต่ประโยคล่าสุดของผม
“มันเป็นเรื่องของผมแอริน”
(ทำไมแอร์ถึงเป็นได้แค่คนนอก~ แล้วเด็กคนนั้นล่ะคะนาย นายเพิ่งรู้จักเขาทำไมถึงจ้างเขาไปอยู่เป็นเพื่อน เข้านอกออกในบ้านนายได้สบาย ถ้าอยากได้เพื่อนนายให้แอร์ไปอยู่ก็ได้ เราสองคน...)
“เพราะผมไม่คิดจะจ้างคุณไง ผมจ้างให้คุณทำหน้าที่อะไรก็คือหน้าที่นั้น ผมจ่ายเงินให้คุณเป็นเลขาก็คือเป็นเลขา ผมจ่ายเงินคุณให้เป็นเพื่อนนอนก็คือเป็นเพื่อนนอน”
(นาย~) มีแต่น้ำเสียงตัดพ้อที่ผมไม่อยากฟัง
“ผมจ้างให้คุณเป็นเพื่อนนอนไม่ได้จ้างให้คุณเป็นเมีย ผมเคยบอกคุณแล้วอย่าทำผิดกฏ”
(นายคะ นายอย่า...)
“ตั้งแต่วันนี้งานอื่นที่นอกเหนือจากงานเลขาผมขอเลิกจ้างคุณ”
(นาย~)
“แล้วก็จำไว้ อย่ายุ่งกับปิ๊งรักอีก ถ้าคุณกล้าทำผมจะถือว่าคุณอยากลองดี คุณรู้ดีแอรินว่าคนที่คิดลองดีกับผมจุดจบมันเป็นยังไง ถ้าไม่อยากจบแบบนั้นอย่ายุ่งกับคนของผมเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด!”