บทที่ 6
คำขอจากมังกรดำ
จงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
หลิวซูลี่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ การหลับลึกจมลงสู่ห้วงแห่งนิทราทำให้นางรู้สึกสดชื่นและไม่มีอาการง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้นอนหลับเต็มอิ่ม หัวสมองจึงยิ่งโล่งโปร่ง ใบหน้าที่เคยหมองคล้ำจากการทำงานหนักมาตลอดชีวิตก็พลันกระจ่างใสขึ้น
ข้าฝันไปหรือเปล่า...
นั่นคือคำถามแรกทันทีเมื่อนางลืมตาตื่น แต่เมื่อพบว่านางขดกายนอนอยู่บนร่างใหญ่ยักษ์ของมังกรดำ คำตอบที่สงสัยก็กระจ่างออกในทันที
นางตายไปแล้วในชาติก่อน ถูกเผาบูชายัญให้ตายทั้งเป็นโดยครอบครัวที่นางรัก และนางได้โอกาสหวนกลับคืนมาเพื่อแก้แค้นอีกครั้งโดยทำสัญญากับสัตว์เทพผู้สูงส่ง
ทุกสิ่งอย่างราวกับฝันไป
คิดพลางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปจ้องมองใบหน้าของมังกรยามหลับใหลอย่างใกล้ชิด ไม่เคยคาดคิดเลยว่านางจะมีโอกาสได้พบกับมังกร อีกทั้งเกล็ดสีดำนิลที่ควรจะหยาบระคายผิวกลับให้ความอบอุ่นทำให้นางหลับใหลได้อย่างน่าอัศจรรย์นัก
นางใช้นิ้วมือลูบไปที่เกล็ดแถวๆ แผงคอ ในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้าของมังกรอย่างพินิจพิจารณา แล้วจู่ๆ เสียงของมังกรก็ดังก้องกังวานโดยที่เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนริมฝีปาก อีกทั้งดวงตายังคงปิดสนิท
ราวกับว่าเสียงสั้นดังก้องเข้ามาในหัวของนาง
“เด็กน้อยเจ้าจะจ้องมองข้าอีกนานแค่ไหนกัน”
“ทะ...ท่านหลวนหลง ทะ...ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
คนตัวเล็กแม้จะผงะด้วยความตกใจ แต่หาได้หวาดกลัวมังกรที่ขดกายอยู่บนหอตำราชั้นสามไม่ ด้วยได้ประจักษ์แก่ตนเองแล้วว่า มังกรผู้นี้มีจิตใจสูงส่งกว่ามนุษย์ร่วมสายเลือดของนางเสียอีก
“ข้าตื่นได้สักพักแล้ว”
ครานี้หลวนหลงลืมตาขึ้นก่อนจะขยับปากเอื้อนเอ่ยกับหญิงสาวคู่สัญญา
“เด็กน้อยเจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เล่า”
น้ำเสียงห่วงใยและดวงตาเปลวเพลิงที่ทอดอ่อนทำให้คนตัวเล็กรู้สึกเต็มตื้อไปทั้งหัวใจ นี่สินะความ ‘จริงใจ’ สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอุ่นร้อนไปทั้งหัวใจ มันคือสิ่งที่ชาติก่อนนางไม่เคยได้รับเลยสักครั้งเดียว
สิ่งที่นางได้รับมาโดยตลอดคือการ ‘เสแสร้ง’ แม้จะเจ็บปวดแต่นางไม่เสียใจอีกต่อไปแล้ว เพราะภายในหัวใจไม่หลงเหลือความรักใดๆ ต่อคนเหล่านั้นอีก มีเพียงความโกรธเกลียดชิงชังที่คับแน่นจนแทบระเบิดออกมาเป็นจุณ
“ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะท่านหลวนหลง ขอบคุณมากนะเจ้าคะ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณท่านเลย หากมีสิ่งใดที่ข้าสามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้ ได้โปรดบอกกับข้า”
ซูลี่เอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น มังกรร่างยักษ์หรี่ดวงตาเปลวเพลิงลงก่อนจะค่อยๆ คลายเรือนกายโอบรัดนางออกอย่างแผ่วเบา ผงาดกายสูงใหญ่จนศีรษะชิดติดกับเพดานหอตำรา
สี่เท้าเยื้องย่างไปรอบๆ กายของนางก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมา
“มีสิ...สิ่งที่ข้าอยากได้จากเจ้า”
“สิ่งใดหรือเจ้าคะท่านหลวนหลง ได้โปรดบอกข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน”
หญิงสาวทรุดกายลงนั่งคุกเข่า นางเป็นหนี้บุญคุณมังกรสูงศักดิ์ตนนี้มากมายเหลือเกิน มากจนชีวิตอันแสนไร้ค่าของนางไม่มีวันชดใช้ได้หมดสิ้น
“เด็กน้อย... สิ่งเดียวที่ข้าอยากได้จากเจ้า คืออยากเห็นเจ้ามีความสุข”
“อะ...อะไรนะเจ้าคะ!”
หญิงสาวทวนถามอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน มังกรดำผู้เป็นสัตว์เทพยิ่งใหญ่อยากเห็นนางมีความสุขงั้นหรือ
“สัญญากับข้าได้หรือไม่เล่าเด็กน้อย ว่าเจ้าจะไม่จมอยู่กับความเคียดแค้นจนลืมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ชีวิตใหม่ของเจ้าในชาตินี้เจ้าควรจะได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้สนุกสนานเฉกเช่นเด็กสาวคนหนึ่ง หาใช่การร้องไห้ชิงชังกดทับความมืดบอดเอาไว้ตลอดเวลา อย่าให้ความแค้นกลืนกินชีวิตเจ้า แต่จงใช้ความแค้นในการขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนตัวเล็กก็ถึงกับน้ำตาซึม จังหวะที่น้ำตากำลังจะหยาดหยดจากแก้มสู่พื้นมังกรก็ยื่นนิ้วมือออกมารองรับหยาดน้ำตาของนางเอาไว้อย่างทันท่วงที
“ข้าไม่ขอให้เจ้าอภัยแก่คนเหล่านั้นหรอกเด็กน้อย แต่ข้าอยากให้เจ้าใช้ความแค้นให้เป็นเพียงอำนาจในมือ เป็นดั่งอาวุธ เป็นดั่งเชื้อเพลิงให้เจ้าทะยานไปเบื้องหน้า อย่าให้มันควบคุมชีวิต อย่าให้มันควบคุมจิตใจของเจ้า อย่าให้มันกลืนกินความเป็นมนุษย์จนกลายเป็นอสุรกายเลวร้าย ชีวิตของเจ้ายังอีกยาวไกลนักเด็กน้อย”
อา...
ที่ข้ากล้าจะพูดเช่นนี้ได้ ที่ข้ากล้าจะสอนเช่นนี้ได้ เพราะครั้งหนึ่งข้าเคยถูกความแค้นกลืนกินตัวตน กลืนกินวิญญาณ กลืนกินจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี ข้าหลงละเลิงไปกับอำนาจและความเลวทราม จนทำให้ถูกขับไล่ลงจากสรวงสวรรค์ จากเซียนสูงส่งเหลือเพียงสัตว์เทพถูกจองจำอยู่ในถ้ำมืดมิดมาแสนนาน
เพราะความแค้นนั้นทำให้ข้าสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปตลอดกาล
สาสมแล้ว กับความเลวที่ข้าได้กระทำลงไป
มังกรดำแค่นยิ้มราวกับเย้ยหยันในโชคชะตาของตน
“ทำให้ข้าได้หรือไม่เล่าเด็กน้อย สัญญากับข้าสิว่าเจ้าจะไม่ปล่อยใจไปกับความมืดดำแห่งความเกลียดชัง”
คนตัวเล็กพยักหน้างึกๆ ใบหน้าแดงก่ำจากแรงสะอื้นฮัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตามังกรดำ
“ข้าสัญญาเจ้าค่ะท่านหลวนหลง ข้าจะใช้ชีวิตที่สองที่ท่านมอบให้แก่ข้าอย่างมีความสุข ข้าจะแก้แค้นไปด้วยและใช้ชีวิตไปด้วย ข้าจะมีความสุขในขณะเดียวกันก็จะเหยียบย่ำพวกมันให้จมอยู่ความทุกข์ ข้าจะใช้ชีวิตนี้เพื่อประโยชน์แก่ตัวข้า และเพื่อประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ เจ้าค่ะ”
ซูลี่กล่าวคำสัญญาออกมาด้วยความมุ่งมั่น ในเมื่อมังกรสูงศักดิ์ไม่ต้องการสิ่งใดจากนาง นางก็หมายมั่นที่จะประกอบคุณงามความดีเพื่อให้สมกับที่มังกรได้มอบชีวิตที่สองให้
“เด็กดี... เช่นนั้นเจ้าก็จงออกไปแก้แค้นเถอะ คนเหล่านั้นกำลังรอเจ้าอยู่”
มังกรดำแย้มยิ้มจนดวงตาเปลวเพลิงหรี่แสง ก่อนจะเดินหมุนวนรอบกายของหญิงสาวตัวน้อย ประหนึ่งกำลังประสิทธิ์ประสาทพรให้นางมีชัยเหนือศัตรูทั้งปวง
“เจ้าค่ะท่านหลวนหลง”
หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามังกรดำได้จางหายไปเสียแล้ว นางจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะก้าวเดินลงบันไดจากหอตำราชั้นสามด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยว
“ซะ...ซูลี่! พบนางแล้ว! นางซ่อนตัวอยู่ที่หอตำรา!”
บ่าวชายตะโกนโหวกเหวกเสียงดังก่อนจะปราดเข้าไปหมายจะจับกุมตัวฉุดกระชากลากนางไปพบกับคุณหนูหลิวที่ถูกทำร้ายร่างกายจนบอบช้ำ
“หยุดก่อน! นี่เจ้าจะทำอะไร! ลืมคำสั่งท่านประมุขไปแล้วหรือว่าห้ามทำร้ายนางเป็นอันขาด!”
ทหารที่เพิ่งวิ่งมาตามเสียงร้องเรียกตรงเข้ากระชากบ่าวชายที่กำลังถึงตัวหลิวซูลี่ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะคอกห้วนเตือนสติ
“ขะ...ข้าลืมขอรับ”
‘เผยจุน’ บ่าวชายหน้าซีดเผือด ก้มหน้างุดเมื่อถูกนายทหารต่อว่า กระนั้นกลับเหลือบตามองซูลี่ผู้มีสถานะดั่งทาสต้อยต่ำกว่าตนด้วยความแค้นเคือง เพราะตนนั้นเทิดทูนคุณหนูหลิวผู้แสนดีสุดหัวใจ
ในขณะที่ซูลี่ยังคงยืนนิ่ง ปรายตามองบ่าวชายและทหารก่อนจะแค่นหัวเราะในลำคอ เมื่อได้ยินที่นายทหารพูดก็ยิ่งมั่นใจว่าบิดาคงกลับจากเดินทางไปสำรวจถ้ำมังกรดำมาเรียบร้อยแล้วสินะ
ถึงเวลาที่จะชมการแสดงชั้นต่ำจากสกุลหลิวแล้ว...
“ซูลี่เจ้าไปกับข้าแต่โดยดีเถอะ ท่านประมุขต้องการพบตัวเจ้าเดี๋ยวนี้”
ทหารหันไปบอกซูลี่ด้วยน้ำเสียงที่ฉายชัดว่าเหนือกว่าอีกฝ่าย ก่อนจะประเมินหญิงสาวหน้าตามอมแมมแต่งกายสกปรกดั่งขอทานในใจ
“นำไปสิ”
ซูลี่ตอบพลางเชิดหน้าน้อยๆ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงก้มศีรษะมองต่ำ ประสานมือเอาไว้ที่หน้าขา เกรงอกเกรงใจนายทหารยศน้อย เกรงใจบ่าวชาย เกรงใจสาวใช้ทุกคนในจวน
แต่เวลานี้นางไม่คิดจะกลับไปอ่อนแอและไร้ค่าเช่นนั้นอีกแล้ว
“นี่เจ้า! เหตุใดจึงพูดจาไร้หางเสียงต่อนายทหารเช่นนั้น สามหาวนัก!”
เผยจุนได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจนเกือบจะปราดเข้ากระชากหญิงสาวให้คุกเข่าลง แต่นายทหารกลับส่ายหน้าแล้วส่งสายตาปรามอยู่ในที
เขาทำงานรับใช้ประมุขหลิวมานาน รู้หลบรู้หลีกและรู้ว่าควรทำสิ่งใดเพื่อไม่ให้ตนเดือดร้อน สายตาและน้ำเสียงของประมุขหลิวยามออกคำสั่งห้ามทำร้ายซูลี่นั้นฉายชัดว่าเวลานี้ซูลี่ได้กลายเป็นคนสำคัญที่เขาและใครๆ ในจวนไม่อาจแตะต้อง
แต่จะสำคัญมากน้อยแค่ไหนนั้นเขาก็ไม่อาจประเมินได้ ที่แน่ๆ หญิงสาวผู้นี้มีเลือดของประมุขหลิวไหลเวียนอยู่ สายสัมพันธ์ของบิดาและบุตรนั้นเป็นอะไรที่คนนอกอย่างตนไม่อาจแทรกแซง
“ตามข้ามาเถอะซูลี่ อย่าปล่อยให้ท่านประมุขคอยนาน”
ซูลี่จ้องมองไปยังบ่าวชายก่อนจะแสยะยิ้มที่มุมปากน้อยๆ ดั่งว่าจะยั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธจัด ก่อนจะเชิดหน้าเดินผ่านหน้าบ่าวชายผู้นั้นไปราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงฝุ่นผงที่ไม่ควรเกลือกกลั้ว
“หน็อยนังซูลี่ คิดว่าทำร้ายตบตีคุณหนูหลิวได้ จึงอวดดีวางท่ากำแหงงั้นหรือ คอยดูเถอะข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำให้จงได้!”
เผยจุนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเดือดดาล มองไล่หลังอีกฝ่ายราวกับเห็นเป็นขยะสกปรกก็ไม่ปาน