12
เช้าวันใหม่
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องว่างของใบหน้าที่โบกพัดตามแรงลม เข้ามาทางหน้าต่างที่มีเหล็กดัดติดอย่างแน่นหนา ลำแสงอ่อนๆ นั้นกระทบเข้ากับดวงหน้าหวานสวยของเพลงมีนาที่หลับตาสนิท ไม่รู้สึกอุ่นร้อนใบหน้าจากแสงตะวันที่สาดส่อง เป็นเพราะหญิงสาวที่ติดอยู่ในห้วงนิทราเพิ่งหลับสนิทในตอนใกล้ฟ้าสาง หลังจากที่ค่ำคืนที่ผ่านมา ต้องนอนผวาปะปนกับความหวาดกลัวกับเสียงจิ้งจก สัตว์ที่เธอขยะแขยงและกลัวที่สุดในชีวิต
“จะนอนไปถึงไหนแม่คุณ คนอื่นเขาตื่นมาทำงานกันหมดแล้ว”
มือแข็งแรงของกวินภพคว้าจับท่อนแขนเล็ก ออกแรงกระชากร่างสวยที่ยังคงนอนหลับให้เธอลุกขึ้นมาอย่างแรง ก่อนจะแผดเสียงพูดใส่หน้าเพลงมีนาที่สะดุ้งตัวตกใจกับการกระทำและน้ำเสียงของเขา
“คุณเรียกฉันเบาๆ ก็ได้ ไม่ต้องตะโกนดังขนาดนี้หรอก ปลุกฉันดีดีฉันก็ตื่น”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แม้ว่าจะตกอยู่ในอาการงัวเงีย พูดจบก็หาววอดยาวๆ หนึ่งครั้ง
“นี่เธอกล้าสั่งสอนฉันเหรอ ฉันเป็นเจ้าของไร่นี้จะทำยังไงก็ได้”
คนตัวโตขี้โมโหตวาดกลับ จ้องมองเพลงมีนานิ่ง คำพูดของเขาทำให้อาการง่วงนอนของเธอหายในฉับพลัน โต้ฝีปากกลับไปบ้าง
“ก็รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของไร่ แต่ก็น่าจะสำรวมกิริยาเอาไว้บ้าง ไม่ใช่แสดงความป่าเถื่อนอย่างนี้” สาวปากดีโต้กลับ
“ฉันเนี่ยน่ะเหรอป่าเถื่อน ฉันใจดีสุดๆ แล้วนะ ถ้าป่าเถื่อนจริงเมื่อคืนคงปล่อยให้เธอร้องกรี๊ดจนเอ็นคออักเสบหรือไม่ก็ขาดไปแล้ว คงปล่อยให้เธอนอนอยู่ร่วมห้องกับจิ้งจกอีกด้วย แล้วก็คงไม่ให้ลูกน้องของฉันไปเอากระเป๋าของเธอขึ้นมาไว้บนห้องนี้หรอกนะ ถ้าเธอกล้าว่าฉันว่าป่าเถื่อนอีกครั้ง ฉันจะให้เธอไปนอนร่วมห้องกับจิ้งจก”
เพลงมีนาหน้าเศร้าลงทันที ไม่ว่าจะทางไหนดูเหมือนว่าเธอจะแพ้เขาทุกทาง แล้วอย่างนี้จะหนีรอดเงื้อมมือเขาไปได้อย่างไร เล่นขู่เช่นนี้
“ฉันไม่ว่าคุณก็ได้” เธอตอบรับเสียงเบา
“ดี!!” เขาพูดเสียงเน้น “พูดง่ายๆ อย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย ลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว วันนี้เธอต้องทำงานตามที่ฉันสั่ง”
“โอเค ฉันขอตัวสักสิบห้านาทีก็แล้วกัน” เธอพูดเสียงเหนื่อยหน่ายใจ ขี้เกียจเถียงชายเอาแต่ใจ
“สิบนาที ฉันให้เวลาเธอสิบนาที ไม่มีต่อรอง ถ้าเธอไม่ลงไปข้างล่างตามที่ฉันกำหนดเวลาไว้ ฉันจะขึ้นมาอุ้มเธอลงไปข้างล่างเอง” คนเอาแต่ใจสั่งอีกรอบ
“ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะให้อาบน้ำลวกๆ ได้ยังไง มันก็ต้องมีขัดตัว ถูกขี้ไคลกันบ้าง ยี่สิบนาทีก็แล้วกัน” เธอต่อรอง
“เก้านาที ฉันให้เวลาเธอเท่านี้ ถ้าเธอไม่ลงไปข้างล่างตามเวลาที่กำหนด ฉันจะปล้ำเธอ”
กวินภพดวงตาวับวาวทันทีที่พูดประโยคท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง คิดในใจว่าหากเขาอยู่ในห้องนี้ต่ออีกหนึ่งหรือสองนาที เขาได้ทำตามคำขู่ที่เปล่งออกไปแน่นนอน คนที่ฟังอยู่ถึงกับหน้าแดงระเรื่อ มองแผ่นหลังกว้างของเขาด้วยความเขินอาย
“คนบ้า คนป่าเถื่อน คนไร้อารยธรรม”
เธอตะโกนไล่หลังร่างของเจ้าของไร่ จากนั้นก็ก้าวลงจากเตียงรีบวิ่งไปหยิบผ้าขนหนูกับของใช้ส่วนตัวในกระเป๋าเดินทาง แล้วเดินไปยังห้องน้ำนั้น อาบน้ำแต่ตัวอย่างว่องไวเพื่อให้ทันตามกำหนดเวลาของกวินภพ เสร็จสิ้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง
“เธอมาช้าหนึ่งนาทีสามสิบวินาที”
เสียงห้าวพูดขึ้นเมื่อร่างสาวที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้าโซฟาตัวใหญ่ที่เขานั่งอยู่ เขามองรูปร่างของเธออย่างพิจารณา วันนี้น้องหนูแต่งกายมิดชิด สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ หากเป็นเมื่อก่อนเขาและคนงานในไร่จะต้องได้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง เนื้อหนังมังสาที่เปิดเผย ชวนกลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักเพราะคิดว่าเธอแสดงละคร
“เลยนิดหน่อยเอง” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ
“นิดหน่อยก็ไม่ได้ กฎก็ต้องคือกฎ เธอเป็นใครถึงมาแหกกฎที่ฉันตั้งไว้” เสียงใหญ่ตวาดสั่งสอน
“ขอโทษ ทีหลังจะไม่ทำอีกแล้ว” เพลงมีนากล่าวคำขอโทษอย่างจำใจ
“คราวหน้าถ้าเธอไม่ทำตามกฎของฉันอีกล่ะก็ ได้ไปนอนกับจิ้งจกแน่” หญิงสาวหน้ามุ่ยทันทีที่ได้ยินคำขู่ของเขา
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องขู่หรอก”
“เรามาเริ่มงานแรกของเธอกันเลยดีกว่าน้องหนู”
เขามันมือที่จะกลั่นแกล้งสาวตรงหน้าเต็มทนแล้ว และงานแรกที่เขาจะให้เธอทำนั้น เป็นอะไรที่จัดไว้ให้เธอโดยเฉพาะ
“งานอะไรล่ะ?” เธอไม่รู้จริงๆ ว่างานที่น้องหนูเคยทำนั้นคืออะไร
“งานที่นอกเหนือจากการยั่วผู้ชายยังไงเล่า” เขานึกว่าเธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ จึงตะโกนก้องออกไป
“ก็รู้แล้วว่างานที่น้องหนูเคยทำ แต่มันงานอะไรล่ะ?” คนไม่รู้ยังคงโต้เถียงกลับไป
“เธอสมองเสื่อมหรือไงถึงจำไม่ได้ว่าเธอเคยทำอะไรกับไร่นี้ไว้บ้าง”
เพลงมีนาทำราวกับว่า ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่ตนเองฝากฝังไว้กับคนที่อยู่ในไร่พฤกษา เขาจึงบัลดาลโทสะ ตวาดเธอลั่นบ้าน คนที่ถูกตวาดถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ก็หาช่องทางเอาตัวรอดได้ในฉับพลัน ต้องเออออห่อหมกไปก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องหนีก็ยังไม่สาย
“ชะ...ใช่ๆๆ หมอบอกว่าฉันสมองเสื่อม จำไม่ได้ว่าทำอะไรกับไร่นี้ไว้บ้าง คุณบอกฉันได้มั้ยว่าฉันทำอะไรบ้าง?”
เธอหาทางออกได้ในที่สุดหลังจากได้ยินคำพูดของเขา ชายหนุ่มเจ้าของไร่ทำคิ้วชนกัน หน้ายุ่งเล็กน้อยกับประโยคที่เธอพูดมา
“เธอเนี่ยนะความจำเสื่อม ฉันไม่เชื่อเธอหรอก คนความจำเสื่อมอะไรเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวได้ อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก?”
กวินภพเท้าเอวพูด หรี่ตามองอย่างคนไม่เชื่อคำพูดของเธอ ในกระเป๋าสะพายของเธอที่เขารื้อค้นพบเจอตั๋วเครื่องบินจากประเทศนิวซีแลนด์มายังประเทศไทยหนึ่งใบ แล้วยังจะเรื่องที่เขาพบเจอหญิงสาวที่สนามบินมันก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอไม่ได้ความจำเสื่อม มีแต่คนความจำดีเท่านั้นที่เดินทางไปต่างประเทศได้
“ก็ฉันตกบันไดหัวฟาดพื้น ความจำตอนที่อยู่ที่นี่มันก็เลยหายไป แต่ความทรงจำในส่วนอื่นๆ มันยังอยู่ครบไง ถ้าฉันจำได้ว่าตัวเองคือน้องหนูก็ต้องยอมรับตั้งแต่อยู่ในรถแล้วสิ ไม่เถียงกลับจนคุณ...คุณจูบฉันหรอก แล้วที่ฉันยอมรับว่าใช่น้องหนูเพราะคำขู่ของคุณต่างหาก พอฉันก้าวลงจากรถฉันยังถามคุณเลยว่า ที่นี่ที่ไหน เห็นมั้ยว่าฉันจำไม่ได้จริงๆ นะ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหน ทำอะไรไว้บ้าง จำไม่ได้ด้วยว่าฉันเคยชื่อน้องหนู ฉันความจำเสื่อมจริงๆ ไม่งั้นก็ต้องจำได้บ้างล่ะใครที่จะจำสถานที่ที่ตัวเองเคยทำผิดไว้ไม่ได้บ้าง”