บทที่ 10
คนจะได้รู้ไงว่าคนนี้ราชันจอง
ล่วงเลยมาจนถึงวันรับน้องคณะ
วันนี้ฉันมาเองเพราะพี่ราชันโดนพี่ไฟเรียกให้มาเตรียมงานตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้ติดต่อกับพี่เขาเลย
“น้องชื่ออะไร น้องชื่ออะไร” รุ่นพี่ถามพวกฉัน
และตอนนี้ฉันกำลังนั่งปรบมือแปะๆ อยู่แถวหน้า นั่งดูพี่ๆ ลงโทษคนที่มาช้า และวันนี้พี่ราชันบอกว่าไม่ได้หนักอะไร เป็นแค่กิจกรรมรับน้องเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ในคณะ ให้รู้จักกันมากขึ้นก็แค่นั้นเอง
จากนั้นก็ทำการแบ่งกลุ่มไปทำกิจกรรม ฉันและเพื่อนๆ ถูกแยกกันออกไปรวมกับสาขาอื่นกันหมดเลย แต่ก็ดีนะ จะได้รู้จักคนเยอะๆ โดยกิจกรรมที่พี่ๆ แบ่งให้ไปทำก็ถูกควบคุมโดยรุ่นพี่แต่ละปี
ซึ่งขอบอกว่าสนุกมาก หลายคนบอกว่ากิจกรรมรับน้องมหาวิทยาลัยน่ากลัว ฉันก็ขอบอกว่ามันมีทั้งดีและเสีย ที่บอกว่าดีก็เพราะมันเป็นกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ให้เรามีสายรหัส รู้จักรุ่นพี่ แต่ขอยอมรับว่าฉันไม่ชื่นชอบการว๊ากมากที่สุด เพราะมันเหมือนการถูกกดดัน ถูกด่า แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ยอมรับว่าการรับน้องมันทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้นจริงๆ
ทั้งเรื่องตรงเวลา การเคารพรุ่นพี่ แม้ว่าฉันจะกัดกับพี่ไฟทุกครั้งที่เจอหน้าก็ตาม กับคนอื่นฉันก็ไม่เถียงหรอก แต่กับพี่ไฟนี่ไม่ไหวจริงๆ ฉันพยายามแล้ว แต่เขาชอบกวนฉัน
อย่างเช่นตอนนี้..
“ไหวอ่ะป่าวว”
ด่านนี้เป็นด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านปิดตาจกไห ส่วนคนที่พูดกับฉันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่ไฟนั่นเอง เขาให้ทุกคนไปล้วงไหอื่นแล้วดึงฉันให้มายืนอยู่ตรงหน้าไหนี้ จนเพื่อนๆ ล้วงกันหมดแล้วเหลือแค่ฉันนี่แหละ
“เหอะ ไม่กลัวอยู่แล้ว” ฉันทำใจกล้า ทั้งๆ ที่หวาดกลัวแทบตาย ไม่รู้ว่ามีอะไรในไหนั่น
“เฮ้ยๆ”
และขณะที่ฉันกำลังจะล้วงลงไปในไห พี่ไฟก็ร้องขึ้นเสียงดังจนฉันสะดุ้ง แต่ไม่ได้กรี๊ดออกมา แต่ใจฉันนี่เสียหมดแล้ว
“ฮ่าๆ” พี่ไฟชี้หน้าฉันแล้วหัวเราะอย่างสะใจ
“ถ้าหนูจับได้ว่ามันเป็นอะไรแล้วหนูไม่กลัว หนูจะจับใส่พี่” ฉันพยายามตั้งสติแล้วบอกเขาแค้นๆ
“คนอย่างพี่ไม่กลัวอะไรหรอกไอ้น้อง” พี่ไฟทำหน้ามั่นใจยิ่งทำให้ฉันหมั่นไส้
“ไอ้ไฟมันกลัวกบ” พี่ว๊ากคนหนึ่งเดินมายืนข้างหลังฉันแล้วกระซิบเบาๆ
ฉันล้วงเข้าไปแล้วพยายามคลำดูว่ามันคืออะไร
ปิ๊ง!!
ชัดเลย ถึงว่า ทำไมพี่ๆ มองมาแล้วยิ้มแปลกๆ ใช่แล้ว ข้างในมันคือกบ ซึ่งไอ้พี่ไฟคงคิดว่าฉันกลัวกบ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ฉันกลัวแค่สัตว์เลื้อยคลานแค่นั้นแหละ อย่างเช่นพวกงู จิ้งจกน่ะ แค่กบเนี่ย ฉันไม่กลัวหรอก
ฉันพยายามจับกบตัวนี้ไว้ในมือ แล้วแสร้งทำหน้าเสียมองหน้าพี่ไฟอย่างน่าสงสาร พี่ไฟเขาก็มองมาที่ฉันแล้วยิ้มเยาะ
“เฮ้ยๆๆ เหี้ยยยย” พี่ไฟสะดุ้งร้องเสียงหลงจนแทบจะตกเก้าอี้ เพราะฉันจับกบขึ้นมาแล้วโยนใส่พี่ไฟ
“ฮ่าๆ” ฉันหัวเราะออกมาอย่างสะใจที่เห็นพี่ไฟหน้าเสียเลย
“เหี้ย พวกมึงมาเก็บดิ” พี่ไฟพยายามเดินเบี่ยงตัวหนีกบที่ฉันยื่นให้
“คิก ไหนว่าเก่งไง” ฉันยืนกอดอกมองพี่อย่างสะใจ
“ไม่เอา ไอ้เคน ช่วยกูด้วย” พี่ไฟส่ายหน้าแล้วหันไปร้องขอความช่วยเหลือจากพี่เคน
“ฮ่าๆๆ ไอ้ห่า กูนึกว่าจะแน่” พี่เคนหัวเราะเพื่อนเขา แล้วเดินมาจับกบไปใส่ในไหเหมือนเดิม
“คิกๆ” ฉันยังคงหัวเราะไม่หยุดอย่างสะใจมากที่ได้แกล้งพี่ไฟ
จนพี่ๆ ผู้หญิงเอาน้ำมาให้ล้างมือ ฉันก็ล้างไปหัวเราะไป
พี่ไฟรีบคีพลุคทำหน้าขรึมแล้วพูดขึ้นว่า
“เกินไป เกินไปล่ะ”
“หึหึ ไม่ทันแล้ว” ฉันบอกเขาไปว่าไม่ทันแล้ว ตะกี้นี่แต๋วแตกเชียว
“เด็กนี่ แม่ง” แล้วพี่ไฟก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วเดินหนีไปไหนก็ไม่รู้
“หึหึ กัดกันทุกครั้งที่เจอหน้า” พี่เฮดว๊ากคนอื่นพูดขึ้น
“เอาล่ะๆ ไปรวมกับเพื่อนได้แล้ว” พี่เคนบอก แล้วกลุ่มพวกฉันก็เดินกลับไปรวมกับเพื่อนๆ
จนถึงเวลาจับกลุ่มช้า พี่ๆ ก็เรียกให้แต่ละกลุ่มไปนั่ง จนเหลือแค่กลุ่มพวกฉันและอีกสองกลุ่ม เพราะไอ้พี่ไฟนั่นแหละ ทำฉันช้า
“ที่เหลือสามกลุ่มนี้ต้องโดนลงโทษนะคะ” พี่กานดาสาวสองที่เป็นพิธีกรพูดขึ้น แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันโห่แซว
“ฮิ้ว / โห่”
“เงียบๆ กันก่อน ขอถามก่อนว่าจะลงโทษเป็นกลุ่มหรือตัวแทนคะ” พี่พิตต้า พิธีกรอีกคนหันไปถามคนที่นั่งอยู่
“กลุ่มๆ” แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันตอบ
“งั้นก็จะเป็นการลงโทษง่ายๆ นะคะ เครื่องสำอางมาค่ะ” พอพี่พิตต้าพูดจบ พี่ๆ ก็ยกเครื่องสำอางมา ทุกคนก็หันมามองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก
“เอาล่ะค่ะ เห็นเครื่องสำอางแล้วคงรู้กันเนอะ” พี่พิตต้าบอก
“งั้นเชิญพี่ๆ ขึ้นมาเลยค่า” พี่กานดาเรียกพี่ๆ แล้วก็มีพี่คนอื่นเดินขึ้นมาเลือกเครื่องสำอางแล้วจับน้องไปแต่งหน้ากันทีละคน
“ว๊ายย นี่ตาฉันฝาดไปรึเปล่าคะ น้องราชันก็มาด้วย” พี่พิตต้าพูดขึ้นใส่ไมค์ ทำให้ฉันหันไปมองก็เห็นพี่ราชันเดินขึ้นมาบนเวที แล้วเดินไปหยิบลิปสติกมาแท่งหนึ่งพร้อมกับกระจก
พี่ราชันเดินตรงมาจับมือฉันให้ไปนั่งเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้ โดยไม่สนใจสายตาคนที่มองมาเลย ฉันมองลิปสติกในมือเขาอย่างหวาดๆ แล้วพี่ราชันก็เริ่มเขียนที่แก้มฉันเป็นอย่างแรก
“พี่ราชัน เอาสวยๆ นะ” ฉันจริงจังนะจึงบอกเขา
“หึหึ” เขาเริ่มระบายสีบนหน้าฉันต่อแล้วหัวเราะเบาๆ
“อย่าหัวเราะสิ” ฉันทำหน้ามุ่ย
“สวยอยู่แล้ว” แล้วเขาก็พูดขึ้น
“หมายถึงหนูใช่ปะ สวยอยู่แล้ว” ฉันเล่นมุก
“อื้ม เหมยสวยอยู่แล้ว” ผมบอกจากใจ
“เขียนไปเลย ห้ามพูด” ฉันยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ แล้วพยายามกลั้นยิ้ม อะไรคือการชมกันหน้านิ่งมาก
พี่ราชันละเลงหน้าฉันอยู่นานแล้วจับมือฉันออกจากปากเขาแล้วบอกว่า
“เสร็จละ”
จากนั้นเขาก็ยื่นกระจกมาให้ฉัน ฉันรับมาส่องดูหน้าตัวเองแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แก้มทั้งสองข้างถูกวาดรูปแมว ที่จมูกมีรูปหัวใจเล็กๆ
แต่..ทำไมที่หน้าผากถึงมีคำว่า ‘จอง’
“พี่เขียนอะไรเนี่ย” ฉันทำตาโตแล้วหันไปแว๊ดใส่เขา ฉิบหายแล้ว เขียนอย่างงี้แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“คนจะได้รู้ไง ว่าคนนี้ราชันจอง” เขาพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“หนูเสียหายนะ” ฉันย่นหน้าใส่เขา
“ไปรวมกับเพื่อนไป”
พี่ราชันยื่นมือมาให้จับ แล้วพาฉันเดินไปรวมกับเพื่อนๆ ฉันก็เดินไปอย่างเลื่อนลอย และพอตั้งสติได้ ก็เอามือมาปิดหน้าผากไว้อย่างอายๆ
ทุกคนรู้หมดแหละว่าคนที่เขียนหน้าฉันเป็นใคร เพราะพี่พิตต้าประกาศซะขนาดนั้น ตายๆ ตายแน่ๆ ยัยเหมย
แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือ พี่ๆ จัดการประกวดว่าหน้าใครจะตลกที่สุด แล้วก็โดนจับไปทีละกลุ่ม จนเหลือพวกฉันเป็นกลุ่มสุดท้าย พี่ๆ ก็จับไปโชว์ตัวกันทีละคน ซึ่งฉันเป็นลำดับสุดท้าย
“มาคนนี้กันบ้าง” พี่กานดาเชิญฉัน
“แหมๆ น้องคนนี้นี่ดูพิเศษกว่าใครเลยน้า”
พี่พิตต้าจับฉันให้เดินมาตรงหน้า แล้วแซวจนฉันอยากมุดดินหนี
“ยังไงคะ” พี่กานดาพูด
“ก็คนนี้ถูกลงโทษโดยน้องราชันของเรายังไงล่ะคะ” พี่พิตต้าพูดแล้วหันมามองหน้าฉัน
“กรี๊ด!! อยากโดนน้องราชันลงโทษบ้าง” พี่กานดากรี๊ดออกมาทันที
“โอ๊ยย!! ทำบุญมาด้วยอะไรคะหนู น้องราชันของเราถึงได้มาเขียนกลางหน้าผากว่าจองอย่างนี้” แล้วยิ่งพี่เขาย้ำขนาดนี้ฉันก็แทบจะไม่กล้าเงยหน้าไปมองใครเลย
“ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ ค่ะคุณกิตติ”
“ได้โปรดอย่าเรียกชื่อนั้นค่ะคุณพายัพ”
แล้วจากนั้นพิธีกรก็ตีกัน แล้วทุกคนก็เบี่ยงเบนความสนใจจากฉันไปหัวเราะพี่ๆ สาวประเภทสอง
พอใกล้เวลาจบกิจกรรม พี่ๆ ก็ปล่อยให้มาพบพี่สายรหัส ซึ่งฉันมีพี่รหัสเป็นพี่ริน ลุงรหัสเป็นพี่เคน ตาคือพี่สอง และทวดคือพี่เฟรนด์ ซึ่งพี่รินพาฉันไปหาพี่ๆ มาหมดแล้ว เลยได้คุยกันและสนิทกันระดับหนึ่ง
“พี่ๆ หวัดดีค่ะ” ฉันเดินไปสวัสดีสายรหัสที่นั่งรวมกันอยู่
“อ้าว นั่งๆ ไอ้หลาน” พี่สองหันมามองแล้วชี้ที่นั่งให้ฉันนั่ง ฉันเดินไปนั่งข้างพี่เฟรนด์ที่มันว่างๆ
“ตอนแรกได้ยินว่าราชันจีบเด็กปีหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นเหลนรหัสคนนี้” แล้วบทสนทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่พ้นเรื่องฉัน
“อย่าแซวหนู” ฉันฟุบหน้าลงที่ฝ่ามืออย่างอายๆ วันนี้ฉันโดนจนน่วมแล้วนะ
“หึๆ แล้วเอาไงเรื่องเลี้ยงสาย” ได้ยินพี่เคนหัวเราะเล็กน้อยแล้วถามขึ้น ฉันจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพี่ๆ
“ก็เหมือนเดิม” พี่สองพูดขึ้น
“แต่น้องเหมยยังอายุไม่ถึงนะ” พี่รินแย้งขึ้น
แต่เดี๋ยวนะ อายุไม่ถึง เลี้ยงสายนี่จะพาฉันไปผับเหรอ
“รินลืมไปแล้วรึไงว่าผับใคร” พี่เคนพูดแล้วหันมามองหน้าฉัน
ชัดเลย ไปผับชัวร์ แล้วมองหน้าฉันอย่างนี้คงไม่พ้นผับพี่ราชัน
“งั้นให้น้องไปขอไอ้ราชันก่อน ถ้ามันไม่อนุญาตน้องก็ไม่ได้ไปหรอก” พี่เฟรนด์พูดขึ้น
“เออ แล้วค่อยนัดกันอีกที” พี่เคนบอก
“เข้าใจมั้ยน้องเหมย” พี่สองหันมาถามฉัน
“กะ ก็พอเข้าใจค่ะ” ฉันได้แต่ทำหน้าเอ๋อๆ เพราะไม่รู้จะแย้งอะไร ก็พี่ๆ ตกลงกันเสร็จสรรพขนาดนี้แล้ว
“นู้นไง มันมาโน้นล่ะ” แล้วพี่เคนก็ชี้ไปทางด้านหลัง ทั้งโต๊ะเลยหันไปมอง ก็เห็นว่าพี่ราชันกำลังเดินมาทางนี้
“เสร็จรึยัง” พี่ราชันเดินมาหาฉันแล้วถามขึ้น
“เสร็จแล้วค่ะ” ฉันบอกเขาพร้อมยิ้มกว้างให้
“งั้นกลับ” จากนั้นเขาก็ลากฉันออกมาทันที นี่ฉันยังไม่ได้ลาพี่ๆ เลยนะ
“เดี๋ยวๆ พี่ราชัน” ฉันพยายามขืนตัวไว้
“อะไร”
“วันนี้หนูจะนั่งรถเมล์กลับเองค่ะ”
“อื้ม” พี่ราชันพยักหน้ารับรู้
“อื้ม นี่คือเราต้องแยกกันกลับนะ” ฉันพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“กลับด้วย”
“อะไรนะ พี่จะนั่งรถเมล์เหรอ” ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ราชันจะโหนรถเมล์เป็น
“อื้ม ถามมาก...ไป...เดี๋ยวรถติด” จากนั้นเขาก็คว้ามือฉัน แล้วเดินออกไปจากตรงนี้…
แต่ความเป็นจริงแล้วพี่ราชันลากฉันมาขึ้นรถของเขาต่างหาก และเมื่อฉันและพี่เขาขึ้นไปนั่งในรถ พี่ราชันก็ถามฉันว่า
“หิวมั้ย”
“หิว แต่หนูขอสั่งไปกินที่บ้านได้มั้ย”
ฉันหันไปบอกเขาพร้อมกับสำรวจตัวเองไปด้วย หน้าเละๆ บวกกับสภาพอย่างงี้ให้ไปกินที่ร้านคงไม่ไหว
“งั้นวันนี้ไปนอนห้องพี่ก็แล้วกัน อยากนอนกอด”
พี่ราชันหันมามองฉันเล็กน้อย แล้วหันไปมองทางด้านหน้า เขาขับรถตรงไปที่พักของเขา
“ถามหนูมั้ย” ฉันถามเขา พูดเองเออเองตลอด แถมยังจะให้ฉันไปนอนห้องเขาอีก
“ไม่ถามหรอก พี่รู้ว่าเธอก็อยากนอนกอดพี่” ผมบอกน้องตามความจริง เพราะรู้ว่าใจเธอตรงกับใจผม…