บทที่ 4
วิ่งนี้มีรักนะ
“แล้วเฮียคิดว่าผมหือกับเฮียได้ปะล่ะ” พี่ราชันทำหน้านิ่ง ตอบกลับอย่างใจเย็น แต่ความจริงแล้ว พี่เขาทั้งสองกำลังฟาดฟันกันด้วยสายตาเยือกเย็นที่ไม่มีใครยอมใคร
“พี่ราชัน”
ซึ่งเป็นฉันเองที่เข้าไปสะกิดจับแขนพี่ราชันเพื่อให้เขาใจเย็น การที่พี่เขามายุ่งเรื่องนี้กับรุ่นพี่เพราะฉันมันไม่ดีแน่
“เด็กมึง?” พี่ไฟมองตามมือของฉันที่เกาะแขนพี่ราชัน แล้วเงยหน้าขึ้นริมฝีปากหยักของพี่ไฟกระตุกยิ้มถามพี่ราชัน
“ไปกันเถอะค่ะ” ฉันเห็นพี่ราชันไม่ตอบอะไรจึงรีบดึงแขนพี่เขาให้เดินตามมา เพราะกลัวว่าอยู่นานกว่านี้ จะต้องมีเรื่องแน่นอน…
ไม่ถึงสิบนาทีฉันและพี่ราชันก็มาถึงสนาม..
“จะวิ่ง?” พี่ราชันยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกง สายตานิ่งมากของเขามองรอบสนามอันกว้างใหญ่
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าให้เขา ทั้งที่ไม่ยอมมองหน้าคนตัวสูง เพราะฉันสาละวนหาที่วางของ
“ไม่ต้อง” ผมรีบคว้ามือเธอ แล้วกระชากจนเธอเข้ามายืนชิดหน้าอกของผม ยอมรับเลยว่าเธอตัวเล็กมากสูงแค่หน้าอกผมเอง
“ไม่เอา หนูจะวิ่ง หนูทำผิดนะ” ฉันรีบผละออกจากพี่ราชัน นี่ทำไมฉันต้องมีอาการแบบนี้ด้วยนะ ใจเต้นแรงมาก หน้าก็ร้อนผ่าว
“ดื้อนะเธอ” ผมกระตุกยิ้ม
“ถ้าพี่ยังไม่กลับ ฝากของหน่อยนะคะ” ฉันบอกแล้ววิ่งไปที่สนามอย่างร่าเริง เหมือนสนุกคนเดียวแหละ ผ่านไปรอบแรกฉันก็หันมายิ้มให้พี่ราชันที่ยืนดูอยู่ ส่วนรอบสองก็ยังพอไหวนะ
“แฮ่ก แฮ่ก เหนื่อยง่า” พอฉันวิ่งได้รอบที่สามก็เริ่มไม่ไหวแล้ว วิ่งมาถึงตรงที่พี่ราชันยืนอยู่กับเพื่อนของเขาที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ฉันก็ทำหน้างอแง
“บอกแล้วไม่เชื่อ” พี่ราชันกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วเปิดน้ำเย็นที่อยู่ในมือเขาใส่หลอดเอามาจ่อปากฉัน
“ขะ ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดเสียงหอบพลางดูดน้ำ แล้วยื่นขวดน้ำให้พี่ราชัน แล้วจะวิ่งต่อ แต่ฉันก็หยุดชะงักเมื่อพี่พาสเอ่ยบอกฉันว่า
“พอแล้วน้องเหมย เฮียมันก็แค่แกล้ง”
“นั่นสิ ไม่ต้องวิ่งหรอก” พี่ๆ คนอื่นก็รีบพยักหน้าตาม
“ไม่เอาค่ะ ไม่อยากเสียสัจจะ อีกแค่ 27 รอบ จิ๊บๆ” เอาจริงๆ ประโยคสุดท้ายที่ฉันเอ่ย คือฉันกำลังหลอกตัวเองอยู่แหละ
“ไอ้ชัน มึงพูดไรมั่งดิ” พี่พาสตะคอกใส่พี่ราชัน
“พี่อย่าห่วงเลยค่ะ”
ฉันบอกพี่ๆ แล้วเอาน้ำในมือพี่ราชันดูดน้ำต่อ ส่วนพี่ราชันก็เหมือนกันแพทย์สนาม มีทั้งน้ำแล้วทิชชูที่ตอนนี้กำลังเอามาซับหน้าฉันอยู่
“เหนื่อยมากเหรอ หน้าแดงมาก”
นี่คือคำตอบที่พวกเพื่อนมันอยากให้ผมพูด พูดแล้วไง และผมก็ไม่สนสายตาของพวกมันหรอกที่มองตาค้าง ทำไมผมจะซับหน้าให้น้อง
“พะ พี่” ฉันยืนใจเต้นตึกๆ ไม่ใช่เพราะเหนื่อยนะ แต่เป็นเพราะพี่ราชันที่คอยแต่ซับเหงื่อให้ฉันอย่างอ่อนโยน ฉันนี้อายมากอยากจะมุดดินหนีเสียเหลือเกิน
“บอกแฟนมึงเลิกวิ่งได้แล้วไอ้ราชัน” เสียงพี่ไฟ ทำให้ทุกคนหันไปมอง ซึ่งพี่เขาเดินมากับเพื่อนๆ พี่เฮดว๊าก
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่อยากให้คนอื่นมาว่าไม่มีความรับผิดชอบ” ฉันพูดประชด
“เหอะ อวดดี” พี่ไฟกัดฟันพูด
“ก็ดีกว่ารุ่นพี่เผด็จการ” ฉันเองก็ตอบกลับไปเช่นกัน
“เด็กนี่” พี่ไฟหันมามองฉันเคืองๆ ซึ่งฉันก็จ้องพี่แกกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“โอ๊ยย!! กูปวดหัว มึงก็หยุดต่อปากต่อคำกับน้องได้แล้วไอ้ไฟ ส่วนน้องก็พอแล้ว ไม่ต้องวิ่งแล้วรีบกลับบ้านไปเถอะ”
พี่เฮดว๊ากอีกคนรีบห้ามทัพ
“ชิ” ฉันสะบัดหน้าหนีไอ้พี่ไฟแล้วหันมามองพี่ราชันที่ตอนนี้ถือกระเป๋าฉันอยู่
“กูเชื่อมึง หมาเห่าอย่าเห่าตอบ แล้วไม่ใช่หมาธรรมดานะ หมากระเป๋าด้วย”
เสียงพี่ไฟพูดกระทบฉันแน่ ฉันจึงหันขวับ แล้วพูดไปว่า “ถ้าหนูหมากระเป๋า พี่ก็พิตบูลที่กำลังเป็นว้อดีๆ นี่แหละ”
“หนอย!! ยัยเตี้ย” พี่ไฟถมึงทึงตาสีเข้มที่แดงก่ำใส่ฉัน
“ชิ” ฉันจิ๊ปากอย่างไม่พอใจที่เขาว่าฉันอย่างงั้น ไม่ได้เตี้ยเว้ย แต่ไม่ทันจะได้ตอบโต้อะไรพี่ราชันก็รีบลากฉันออกมา
“เหมยหยุดพูด” ผมรีบจับแขนเล็กและอีกข้างก็ถือกระเป๋าของเธอลากบ้างเดินบ้างออกจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง…
เวลา 19.23 น.
ความจริงเมื่อเลิกเรียนแล้ว ถ้าไม่ได้เข้าไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่หน่อย ฉันจะนั่งรถเมล์กลับบ้านทุกวัน แต่วันนี้พี่ราชันขันอาสามาส่งฉันที่บ้าน โดยที่ระหว่างทางก็พาฉันไปทำแผลที่คลินิกและแวะกินข้าวด้วย
ช่วงเวลาที่นั่งอยู่ในรถ ไม่ได้คุยอะไรกับพี่ราชัน ฉันก็ถือโอกาสไลน์ไปบอกพี่หน่อยว่าวันนี้ไม่ได้ไปทำงาน เพราะรุ่นพี่เรียกพบ ซึ่งแกก็ไม่ได้ว่าอะไร ร้านไม่ได้ยุ่งมาก แล้วอีกอย่างก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ทำงานอยู่ที่นั่นกะดึก
“จอดหน้าปากซอยนี่แหละค่ะ” พี่ราชันหาทางขับรถเข้าไปในซอย แต่ทางเข้าบ้านของฉันเป็นทางเดิน จะมีแค่มอเตอร์ไซค์และจักรยานเท่านั้นที่เข้าได้
“ไหนบ้านเธอ” ผมเหลือบตามองเธอเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมองข้างทาง ตรงกระต๊อบมุงหญ้ามีพวกหนุ่มแก่หนุ่มน้อยวินมอเตอร์ไซค์มองมาทางรถผม
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันไม่ตอบคำถามของพี่เขา ซึ่งบ้านของฉันอยู่ในซอยต้องจอดรถไว้ปากซอย แล้วเดินเข้าไป บ้านหลังนี้เป็นบ้านของยายและฉันก็อยู่มาตั้งแต่ตัวเท่าลูกหมา
“ยังไม่บอกเลยบ้านเธอหลังไหน” เมื่อเห็นเธอกำลังจะเปิดประตูรถ ผมก็รีบคว้ามือเธอไว้ ดึงเบาๆ จนหลังของเธอเข้ามาชนแผ่นอกของผม
“อยู่ข้างในค่ะ เดินเข้าไปไม่ถึงสิบนาทีหรอก” ฉันเอียงหน้ามองเขาด้านข้าง จนแก้มชนกับปลายจมูกโด่ง เฮ้ย! นี่ยัยเหมย แกจะใจเต้นแบบนี้ไม่ได้ อย่าไปหลงเชื่อคารมของเขาเด็ดขาด ฉันว่าตัวเองในใจแล้วรีบผละออกจากพี่เขา
“หึ!” ผมกระตุกยิ้มมุมปาก มองคนตัวเล็กที่นั่งหน้าแดงเป็นมะเขือเทศ
“หนูไปนะคะ” สายตาสีเข้มจ้องฉัน จนฉันไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ฉันจึงทำหน้าเลิ่กลั่กมือสั่นระริกจับผิดจับถูกจะเปิดประตูรถ
“เดี๋ยว!”
“คะ?” เสียงของพี่ราชันเยือกเย็นมาก จึงทำให้ฉันนั่งตัวเกร็งแข็งเลยล่ะ
“พี่ไปส่ง” ผมลงจากรถ เดินมือล้วงกระเป๋าข้างเดียวไปเปิดประตูให้เธอ
“พี่กลับบ้านไปเถอะ หนูเดินไปคนเดียวได้” ฉันก้าวมายืนข้างฟุตบาท มองเขายืนเกาะประตูรถ ยอมรับว่าเขาสูงมาก นี่เขายืนย่อตัวแล้วนะยังสูงกว่าฉันอีก
“ทางเปลี่ยวมากเลยนะ จะไปส่ง” ผมถือของและกระเป๋าให้เธอ พลางปิดประตูรถ
“ทางนี้หนูเดินมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่มีใครทำไรหนูหรอก พวกพี่วินมอเตอร์ไซค์นั้นก็ดูแลหนูได้” ฉันบอก เพราะพี่ราชันมองไปทางพี่ๆ วินมอเตอร์ไซค์
“เดินนำหน้าสิ” ผมไม่ได้สนใจฟังน้องบอก แต่สายตาของผมสนใจแต่พวกหนุ่มๆ วินมอเตอร์ไซค์ที่มองมาทางผมและเธอ..
เธอพาผมเดินเข้ามาในซอย และไม่ถึงสิบนาทีเธอก็หยุดตรงประตูรั้ว ผมมองบ้านไม้เก่าๆ สองชั้น แล้วก้มลงมองเธอเมื่อเธอเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณค่ะ”
“เธออยู่..” คำว่าเธออยู่นี่เหรอ ถูกเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งป้าคนนี้ก็เดินเข้ามาหาเหมย
“วันนี้ไม่ทำงานเหรอเหมย”
“วันนี้หนูหยุดค่ะ” ฉันยิ้มให้น้าพร น้าพรเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกับยายและฉันมาก ช่วงที่ยายป่วยและเสียไปก็ได้น้าพรนี้แหละคอยช่วยเหลือ และทุกวันนี้ฉันก็ยังได้น้าพรนี้แหละคุ้มครองฉัน
“เอ้านี่ ต้มจืดวุ้นเส้น น้าทำมาให้”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้น้าพร และพยายามไม่สบตาน้าพร เพราะไม่อยากให้น้าพรเห็นรอยฟกช้ำบนหน้าของฉัน
“สวัสดีครับ ผมราชันรุ่นพี่เหมยที่มหาวิทยาลัยครับ” เป็นเพราะถูกมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ผมที่ยืนฟังและจับใจความได้เวลาสองสาวคุยกัน นั้นก็คือ เหมยเธออยู่ที่บ้านนี้คนเดียวเหรอ
“อ้อ” น้าพรพยักหน้า แล้วหันมามองฉัน
“น้าพรค่ะ บ้านอยู่ข้างๆ นี่เองค่ะ” ฉันแนะนำให้พี่ราชันให้รู้จักคนข้างบ้านที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“อื้อ” ผมพยักหน้ารับรู้ และผมจะต้องรู้เรื่องของเธอให้มากกว่านี้ ว่าเธอมีชีวิตยังไงอยู่กับใครกันแน่
เมื่อคนที่เดินผ่านไปมาเอาแต่มองเธอกับชายหนุ่มมาดแมนหล่อเหมือนพระเอกเกาหลี ฉันประหม่านะ จึงรีบบอกเขาว่า
“เอ่อ หนูเข้าบ้านก่อนนะ”
เมื่อเห็นเธอเปิดประตูรั้ว และกำลังจะเข้าไปในบริเวณสนามหน้าบ้าน ผมก็รีบเรียกเธอ “เดี๋ยว!”
“พี่ราชันมีอะไรคะ” ฉันหันไปถาม
“ลืมยา” เขายื่นกระเป๋าและถุงยาให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับมาถือไว้ แล้วค่อยๆ ดันประตูรั้วหน้าบ้านให้ปิด ซึ่งพี่ราชันยังยืนมองฉัน
“งั้นพี่ไปนะ” ผมยิ้มให้เธอ แล้วเดินถอยหลัง แต่สายตาของผมยังจับจ้องเธอเดินเข้าไปในบ้าน และเมื่อเห็นแสงไฟในบ้าน ซึ่งผมมั่นใจว่าเธออยู่ในบ้านแล้ว ผมก็หันหลังเดินกลับไปยังรถที่จอดอยู่หน้าปากซอย…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา..
หลังจากพี่ราชันไปแล้ว ฉันก็เข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ และออกมานั่งเอนหลังพิงพนักเตียง เปิดโทรทัศน์ดู และไม่ถึงยี่สิบนาที ฉันก็มองไปยังหน้าต่างเมื่อ...
“เหมย นอนหรือยัง” เสียงเรียกดังอยู่นอกรั้วหน้าบ้าน ทำให้ฉันละสายตาจากจอโทรทัศน์
“ดึกขนานนี้ใครมาเรียกนะ” ฉันปิดโทรทัศน์ แล้วเดินไปแง้มหน้าต่าง เห็นเพื่อนสองคนยืนโบกไม้โบกมืออยู่นอกรั้วหน้าบ้าน
“พวกเราเอง” กอบัวและเฟิร์นพูดพร้อมกัน เมื่อเห็นหน้าฉันโผล่ออกจากหน้าต่าง
“เปิดประตูเข้ามาเลย” ฉันโยนกุญแจข้ามรั้วที่มีกุญแจบ้านรวมอยู่ด้วยให้เพื่อน และเมื่อเพื่อนกำลังเปิดประตูรั้ว ฉันก็ออกจากห้องนอนไปเปิดประตูบ้าน
“ยังไม่ถึงสามทุ่มจะนอนแล้วเหรอแก” เพื่อนฉันสองคนถามพร้อมกัน ซึ่งมันแปลกมากที่วันนี้พวกเธอพูดพร้อมกันทุกคำ
“พวกเธอมาทำไม” ฉันไม่ตอบคำถามของพวกเธอ แต่ถามกลับและเดินนำหน้าพาไปนั่งที่มุมนั่งเล่น
“ไปผับกัน” แล้วทั้งสองคนก็พูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
“อะไรนะ” ฉันตกใจนะเอาจริงๆ เพราะปกติฉันจะไม่เที่ยวกลางคืนอยู่แล้ว เพื่อนสองคนนี้เธอก็รู้ดี
“แกได้ยินชัดแล้ว” กอบัวพยักหน้าให้ฉัน
“ไปงานวันเกิดเพื่อนไง แกจำไม่ได้เหรอ” เฟิร์นอธิบายเหตุผลร้อยแปด เพราะอยากให้ฉันไปเที่ยว เอาจริงๆ ฉันจะปฏิเสธก็ได้นะ เพราะคนที่เกิดนะไม่ใช่เพื่อนฉันหรอก เป็นเพื่อนของยัยสองคนนี้ต่างหาก
“ไหนว่าจัดพรุ่งนี้ตอนเที่ยงที่ห้างไม่ใช่เหรอ” ฉันถามพวกเพื่อนๆ
“นางเปลี่ยนใจแล้ว” เฟิร์นบอกว่าเธอเปลี่ยนใจ จริงหรือเปล่าไม่รู้ เพราะท่าทีของเพื่อนฉันนี้มีลับลมคมในกันมาก
“หน้า..” ฉันยังไม่ทันได้บอกพวกเธอว่า ‘หน้าฉันบวมเป่งยังงี้จะไปได้ไง’ เพื่อนฉันทั้งสองก็ช่างพร้อมใจกันเอ่ยขึ้นว่า
“หรือพี่ราชันไม่ให้ไป”
“เฮ้ย! จะบ้ารึไง พี่ราชันมาเกี่ยวอะไรด้วย ฉันจะไปไหนมาไหนทำไมต้องแคร์พี่เขาด้วย ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ฉันรีบโบกมือปฏิเสธอย่างอายๆ
“ถ้าไม่เป็นไรกันก็ดีแล้ว ไป” เพื่อนทั้งสองฉันรีบชวน
“พวกเธอมาชวนฉันไปเที่ยวผับนี่ ได้มองหน้าฉันบ้างไหม” ฉันชี้มือที่หน้าของฉัน
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา กอบัวจัดการ” เมื่อสิ้นคำพูดของเฟิร์น ฉันก็ถูกเพื่อนสองคนลากเข้าไปแต่งตัวแต่งหน้าในห้องนอนของฉัน…
ที่ผับ R เวลา 22.24 น.
ในที่สุดฉันก็โดนยัยเพื่อนสองคนลากมาจนได้ โดยทำการแต่งหน้าให้ฉันอย่างเนียนกริบ จนฉันปฏิเสธพวกเธอๆไม่ได้ แต่ก็ถือว่าพวกเธอพาฉันมาเปิดหูเปิดตาละกัน เพราะฉันไม่เคยมาสถานที่แบบนี้เลยจริงๆ
แต่ก็แปลกนะ อายุฉันสิบเก้าปี นี่เข้าผับได้แล้วเหรอ แต่พอถามยัยเฟิร์นยัยนั่นก็บอกว่าเพื่อนคนที่เป็นเจ้าของวันเกิดน่ะเป็นน้องสาวของพี่วิน ชื่อว่าวาวา แล้วเพื่อนพี่วินก็เป็นเจ้าของผับ ทำให้มาจัดงานที่นี่ได้สบายๆ พอถามว่าไปรู้จักกันได้ไง พวกนั้นก็บอกว่ารู้จักกันตอนไปออกค่ายอาสาตอน ม.6 ซึ่งฉันไม่ได้ไปสาเหตุที่ไม่ได้ไปก็ตอนนั้นยายป่วยหนักมากและก็เสียชีวิตลง
“หวัดดีทุกคน” แล้วพอมาถึงโต๊ะกอบัวก็ทักทายทุกคน
“อ้าว มาแล้ว นั่งสิ” ทุกคนในโต๊ะหันมามองพวกฉันเป็นตาเดียว แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันคิดว่าคงเป็นเจ้าของวันเกิดรีบเชิญให้เพื่อนๆ และฉันนั่ง
“เหมย นี่วาวา เจ้าของวันเกิด” กอบัวนั่ง แล้วแนะนำให้ฉันรู้จักเจ้าของวันเกิด
“หวัดดี เราเหมยนะ” ฉันแนะนำตัว
“หวัดดีจ้ะ ดีใจจังพวกแกมา” วาวาทักทายฉันเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับเพื่อนฉันอย่างดีใจ
“พวกฉันต้องมาสิ งานใหญ่งานช้างอย่างนี้” เฟิร์นที่นั่งข้างฉันพูดบ้าง
แล้วจากนั้นวาวาก็แนะนำเพื่อนเธอให้ฉันรู้จัก ซึ่งในโต๊ะมีประมาณหกคน รวมพวกฉันก็เป็นเก้าคน วาวาสั่งเป็นค็อกเทลมาให้ฉัน เพราะฉันไม่เคยดื่มเหล้า เห็นลุคแรงๆ แบบนี้ฉันไม่ใช่สายเที่ยวนะ ต่างจากเพื่อนสองคนนี้เที่ยวบ่อยมาก…
เวลา 00.14 น.
ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มเลื้อยแล้ว มีแค่บางคนที่ดูจะคอแข็งพอสมควร เพราะพวกเธอนั่งนิ่งกันเลย ส่วนเพื่อนฉันน่ะเหรอ เลอะค่ะ
“นี่ๆ วาวา ชนแก้ว” ยัยกอบัวน่ะไปแล้ว พูดทีลิ้นพันกันเลย ส่วนยัยเฟิร์นเหรอ รายนั้นค่อนข้างคอแข็งอ่ะ นั่งจิบเหล้าชิวมาก
“เหมยดื่มสิ” ยัยเฟิร์นชนแก้วที่อยู่ในมือฉัน
“ฉันมะ..” ฉันกำลังจะยกแก้วเหล้าดื่ม แต่ก็ต้องอุทานเสียงดัง
“อุ๊ย!” ฉันตกใจนะ ที่จู่ๆ ก็มีมือหนาคว้ามือฉัน แล้วดึงให้ฉันลุกขึ้นยืน แล้วลากฉันออกจากกลุ่มเพื่อนๆ พาเดินไปทางห้องน้ำ
“นี่ ปล่อยนะ” ฉันกลัวมาก เพราะทางที่เขาพาฉันมามืดด้วย และเมื่อเขาเปิดประตูห้องที่ไม่ใช่ห้องน้ำ
“เข้าไป!” เขาดันฉันให้เข้าไปข้างใน ฉันหันมองรอบๆ ก็เห็นเป็นห้องเก็บของจำพวกเหล้า แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องสนใจ
“พะ พี่ราชัน” ฉันหันไปมองคนที่ลากฉันออกจากกลุ่มเพื่อนมาที่ห้องนี้
พี่ราชันเดินต้อนฉันจนหลังฉันติดผนังห้อง พี่เขายิ้มน่ากลัว แขนแข็งแรงยังโอบเอวของฉันไว้ จนฉันและพี่เขาแนบชิดกัน แล้วเขาก็ก้มหน้ามากระซิบเสียงทุ้มข้างหูฉันว่า
“หนีเที่ยวเหรอ”
“คะ ใครหนีเที่ยว” ฉันใจเต้นแรงตึกตักๆ มากตอนนี้ ยอมรับแหละว่ากลัวเขา สั่นไปทั้งตัวและเสียงที่เอ่ยถามก็สั่น เพราะพี่ราชันยังไม่เอาหน้าออกมาแถมยังซุกเข้าไปที่ซอกคอฉันอีก
“เธอไง เด็กไม่ดี หนีเที่ยว” พี่ราชันบอกชิดซอกคอของฉัน
“พะ พี่ราชัน เอาหน้าพี่ออกไปห่างๆ หนูเลย”
ฉันพยายามดันคนตัวสูงให้ออกจากตัว แต่ออกแรงแค่ไหนก็ไม่ได้ผล เพราะพี่เขายืนชิดฉัน แขนกำยำข้างที่ไม่ได้โอบเอวฉันยันผนังห้องกักขังฉันไว้
“รู้มั้ย เด็กไม่ดีต้องโดนลงโทษยังไง”
นานเกือบห้านาที ในที่สุดพี่ราชันก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันตรงๆ ทำให้ฉันเห็นว่าตอนนี้ตาพี่เขานี่แดงก่ำและเยิ้มเชียว เมาแหละ
“ยังไงคะ อื้อออ”…